หลินซูซินหยุดความคิด “พี่เกาหมิง” นางแย้มยิ้มทักทายตามมารยาท
“เจ้ามาคนเดียวกระมัง ให้ข้าพาเดินนะ จะได้ช่วยถือของ” เกาหมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้างามสง่าตลอดเวลา
นางเอียงหน้ากะพริบตาช้าๆ เพียรกักแววตากังขายามลอบพิจารณาอย่างมิให้เขาสงสัย
ภายใต้ความกระจ่างใสในรอยยิ้มอ่อนหวานหลินซูซินเพียรแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและรักษาระยะห่างไว้พอดี มิได้แสดงความสนิทสนมมากเกินไปหรือห่างเหินจนดูไม่งาม
“เป็นการรบกวนท่านหรือไม่?”
“เจ้าอย่าได้เกรงใจ”
หลังจากทักทายนางหลายประโยคสายตาของเขาก็บังเอิญเห็นจางจิ่วเม่ยยืนอยู่อีกฝั่ง จึงเอ่ยปากทักทายกันตามมารยาท
“อ่า...นั่นน้องจิ่วเม่ยมิใช่หรือ?”
แววตาสีหน้าอันอ่อนโยนนั้นคือเพิ่งบังเอิญเจอจริงๆ
จางจิ่วเม่ยเองก็แนบเนียนยิ่ง “ช่างเหมาะเจาะเสียจริง ได้เจอท่านพี่ทั้งสองเช่นนี้ ข้าเดินคนเดียวกำลังเหงาพอดีเลยเจ้าค่ะ ขอไปด้วยคนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ทั้งตำแหน่งที่เจอและคำพูดจาเหมือนในฝันทุกประการ
เกาหมิงก็เช่นนี้ เขายังคงรักษากิริยาที่สุภาพรอบคอบไว้ มิเคยเผยสิ่งใดให้เป็นที่แคลงใจค้านสายตา
ส่วนจางจิ่วเม่ยนั้น ท่าทีล้วนเป็นเพียงเด็กหญิงไร้เดียงสา
เมืองผิงโจวแม้ใหญ่โตแต่ผู้คนล้วนรู้จักกันทั่วทุกหัวระแหง หลินซูซินที่คบหากับเกาหมิงย่อมคุ้นเคยกับจางจิ่วเม่ย อีกฝ่ายเป็นหลานสาวคนโปรดของนายท่านผู้เฒ่าบ้านเดิมของมารดาเกาหมิง
มารดาของเกาหมิงหลังแต่งงานก็กลับบ้านเดิมบ่อยครั้ง ทุกครั้งล้วนพาเกาหมิงกลับไปด้วยกัน
ดังนั้น แม้เกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยจะอยู่คนละจวน แต่กลับคุ้นเคยกันดีอย่างไม่มีใครสงสัยในสัมพันธ์ และยามนี้แน่นอนว่าหากเป็นตามในฝันหลินซูซินย่อมคลี่ยิ้มอ่อนหวานตอบรับด้วยไมตรี ไม่มีปฏิเสธญาติผู้น้องของว่าที่สามี
สามเราย่อมเดินไปด้วยกัน ท่องเที่ยวกันสามคนทั่วตลาด
ทว่าวันนี้ แม้น้ำเสียงอ่อนหวานเฉกเดิมแต่นางกลับมองอย่างเฉยชา “ข้ากำลังจะกลับบ้านพอดีเลย เชิญพวกท่านทั้งสองพูดคุยกันต่อเถิด เดินเที่ยวเล่นด้วยกันได้เลย ข้าเป็นเพียงคนนอก ไม่รบกวนพวกท่านต้องสนใจข้าหรอก”
อยากจะรักกันก็รัก อยากไปไหนด้วยกันก็เชิญ ไม่ต้องทำทีบังเอิญเพื่อหลอกนางให้ไว้ใจ ประโยคหลังหลินซูซินแค่เอ่ยในใจไม่ได้พูดออกมา นางเอ่ยเพียงประโยคแรกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปกติ ไม่พบแววตำหนิในน้ำเสียงเลยสักนิด ว่าแล้วก็เดินจากมาทันที
รอยยิ้มบางของเกาหมิงชะงักค้าง คำพูดแฝงนัยนั้นเหมือนใบมีดที่กรีดลงในใจเขา เป็นความรู้สึกสะกิดเบาๆ ทว่ายากจะรับได้
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองนาง แววตาเผยแววสับสนสั่นไหว เขายืนมองตามหลังหลินซูซินไปอย่างอึ้งงัน อันใดคือพูดคุยกันต่อ หรือว่านางจะเห็นเขากับจางจิ่วเม่ยก่อนหน้านี้
จางจิ่วเม่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่นางแค่อยากเดินเล่นกับท่านพี่เกาหมิงเท่านั้น มิได้ทำสิ่งใดเกินเลยเสียหน่อย
หลินซูซินไม่สนใจแววตาเผยพิรุธมิยอมรับผิดของพวกเขา วันนี้นางแค่อยากมาพิสูจน์ว่าเหมือนในความฝันหรือไม่เท่านั้น
และถ้าหากเป็นจริงทุกประการ หลังจากนี้อีกไม่นาน จางจิ่วเม่ยจะเอ่ยปากเปิดใจกับเกาหมิง และอีกฝ่ายย่อมหวั่นไหว เขาจะค่อยๆ แบ่งใจให้ทีละน้อย พวกเขาจะแอบรักกันลับหลังนาง แต่ฝ่ายชายยังคงปฏิเสธความสัมพันธ์นั้นและเข้าพิธีแต่งงานกับนาง กลายเป็นสามีแสนดีของภรรยา ไม่มีทีท่าปันใจให้ผู้ใด
ส่วนฝ่ายหญิงทำได้เพียงรอเวลาอันเหมาะสมของตนเอง
มีความจริงอีกอย่างคือหลังจากนี้จางจิ่วเม่ยไม่เคยอยู่เฉย พยายามเหลือเกินที่จะทำให้นางรู้ความสัมพันธ์ลับระหว่างพวกเขา ‘โดยบังเอิญ’ แต่เป็นนางเองที่โง่เขลา เชื่อฟังวาจาของเขาทุกคำ นางเชื่อใจเกาหมิงทุกครั้งที่มีเหตุการณ์บังเอิญให้เคลือบแคลง
หากเขาคือเกาหมิงสามีแสนดีของนางที่แต่งงานกันถึงสามปี ถ้าเขาเป็นคนสุภาพสง่างามเหมือนที่แสดงออกคงไม่กล้านอกใจกัน แต่ตอนนี้เกาหมิงสำหรับนางคือคนแปลกหน้า นางไม่รู้จักเขาเลย และนางไม่อยากเสียเวลาทำความรู้จักให้ลึกซึ้งอีกแล้ว
ชาตินี้ยิ่งไม่ปรารถนารู้ว่าเขากับจางจิ่วเม่ยทำสิ่งใดลับหลัง
เดิมทีนางกับเขาคบหากันล้วนทำไปเพราะหน้าที่อันพึงมี ปฏิบัติตามคำของบุพการีอย่างเชื่อฟัง
เขาคือบุตรชายของสกุลเกา นางคือบุตรสาวของสกุลหลิน สกุลหลินกับสกุลเกาบิดามารดาของสองครอบครัวเป็นสหายกัน ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่านางกับเขาเหมาะสมคู่ควร
ชายไม่สูงเกินเอื้อม หญิงไม่ต่ำต้อยแตกต่าง
นางเป็นคนของจวนชินอ๋อง เกาหมิงเป็นบัณฑิตอนาคตไกล ฐานะของพวกเราสามัญเท่าเทียม ความสัมพันธ์ถูกบ่มเพาะแรมปีก่อนที่จะเข้าพิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในหนึ่งเดือนต่อจากนี้
ในสีหน้าแสนอ่อนหวานหลินซูซินกำลังแค่นยิ้มหยันในใจ
ระหว่างเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยแรกเริ่มอาจเป็นแค่บังเอิญ ตอนนี้เกาหมิงยังคงปฏิเสธจางจิ่วเม่ยอย่างแน่วแน่
การหลงผิดของเขาอาจจะมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ทว่าสุดท้าย เขาก็นอกใจนางอยู่ดี เป็นการนอกใจอย่างผิดศีลธรรม ซ้ำร้ายยังทำให้ลูกในครรภ์ต้องตายอย่างไร้ความผิดพร้อมกับนาง
น้ำใสหยดหนึ่งคลอหน่วยตา หลินซูซินกะพริบตาทำให้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางไม่มีเหตุผลต้องยื้อบุรุษผู้นี้เอาไว้
ต่อไปนางต้องรักตัวเองให้มากๆ ทำเพื่อคนที่รักนางจริงๆ ไม่ให้ใครต้องเศร้าเสียใจเพราะนางอีก
ขณะคิด หลินซูซินพลันเหลือบตาเห็นคนผู้หนึ่งยืนถมึงทึงอยู่บนหอน้ำชาชั้นสอง กำลังลงมือกระทืบคนอย่างอำมหิตโหดร้าย โดยมีสมุนตัวโตยืนคุมเชิงคุ้มกันเรียงราย เมื่อจัดการคนเสร็จ เขาเพียงรับผ้ามาเช็ดเลือดที่มือตัวเอง ก่อนนั่งลงให้สมุนเช็ดเลือดที่รองเท้าให้ จากนั้นก็สั่งให้สมุนลากคนที่ถูกกระทืบออกไป
ทุกอย่างถูกจัดการในเวลาไม่นาน ก่อนที่เขาจะมองลงมาอย่างเฉยชา คิ้วคมเลิกขึ้นเบาๆ แววตาคล้ายอึ้งไปเล็กน้อยที่เห็นนาง
เขาผู้นี้มีบุคลิกแข็งกร้าวดุดัน เหมือนจอมโจรคุมบ่อนพนัน ผสานอันธพาลหยาบช้าที่มาเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองคนทั้งตลาดอย่างหยาบคาย
ท่าทางของเขาคล้ายคนบ้าอำนาจชอบวางโตไปทั่วทิศ ลิขิตชีวิตผู้บริสุทธิ์ด้วยความตายอย่างไร้ปรานี ปราศจากคุณธรรม!
เพียงแต่เขาแตกต่างจากที่กล่าวมากว่านั้นมาก
แม้บุคลิกจะแข็งกร้าวดุดันไม่ยอมลงให้ใคร แต่นิสัยกลับเถรตรงผ่าเผย หากคนไม่ละเลยทำความผิดจนเป็นวิสัยยากอภัย เขาย่อมไม่ลดตัวลงมาสั่งสอนด้วยตนเอง คนที่ถูกกระทืบเมื่อครู่ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
ฐานะของเขาหรือยังร่ำรวยมหาศาล ฐานันดรไม่สามัญ มีบิดาเป็นถึงชินอ๋อง ตัวเขาเองยังเป็นประมุขของสำนักยวี้จู๋ คือทายาทผู้สืบทอดเจ้าสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ
เขาผู้นี้คือ นายน้อย จ้าวเฟิงฉี