หญิงสาวปัดมือของเกาหมิงออก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานตามวิสัย เพียงแต่ประโยควาจากลับไม่ใช่ “เรื่องของท่านกับจิ่วเม่ยไม่เกี่ยวข้องกับข้า พวกท่านบังเอิญเจอกันหรือไม่ ไยข้าต้องใส่ใจ”
เกาหมิงขมวดคิ้วเครียด แววตาเผยความผิดหวัง เหตุใดวันนี้สตรีแสนดีจึงเผยท่าทีพยศยิ่งนัก
ทว่า...ภาพของสตรีจืดชืดพลันมลาย ยามนี้เกาหมิงคล้ายค้นพบหลินซูซินที่น่าสนใจ นางเหมือนมีเสน่ห์ดึงดูดน่าค้นหาขึ้นมา
เดิมทีเขามักเปรียบเทียบนางกับจางจิ่วเม่ยที่น่ารักบ่อยๆ
จางจิ่วเม่ยเป็นแม่นางน้อยที่ซุกซนเอาแต่ใจและสดใสร่าเริง นางมีท่าทางน่ารักน่าชังตลอดเวลา ทำให้คนเคร่งครัดในจริยาพูดคุยด้วยแล้วรู้สึกชีวิตมีสีสันขึ้นถนัดตาไม่น่าเบื่อเหมือนที่ผ่านมา บางครานางยังดื้อรั้นน่าตีอย่างยิ่ง เขายังเผลอบีบปลายคางนางอย่างเข่นเขี้ยวไปหลายที
เกาหมิงรู้สึกกับจางจิ่วเม่ยเช่นนี้เมื่อใดมิอาจทราบ กระทั่งสำนึกรู้ตัวแล้วเขาก็รีบขจัดความคิดไม่บังควรออกไป ในเมื่อตัวเขามีว่าที่ภรรยาเป็นสตรีตรงหน้า หญิงอื่นมีหรือควรอยู่ในใจ
ดูทีว่าวันนี้หลินซูซินจะมองออกว่าในใจเขาแอบไม่สัตย์ซื่อ เขาควรระวังตัวเอาไว้ พึงควบคุมสำรวมกิริยาวาจาใจเพิ่มมากขึ้น
“เจ้าพูดสิ่งใดออกมารู้ตัวหรือไม่?”
น้ำเสียงสุภาพถามขึ้นอย่างเคร่งเครียด แววตาของเขาเคร่งครัดจริงจัง เกาหมิงตำหนิหลินซูซิน หมายกลบเกลื่อนเรื่องที่นางอาจจะกำลังแคลงใจ
หลินซูซินมีหรือจะดูไม่ออก นางย่อมรู้ตัว เพียงแต่เขาไม่ใช่แค่รู้ตัวกระมัง ยังร้อนตัวอีกด้วย
กำลังเอ่ยปากถกเถียงให้สาแก่ใจอีกสักหลายประโยค นางพลันเห็นจางจิ่วเม่ยตีหน้าเศร้าดวงเนตรเคล้าน้ำตาเดินเข้ามา ท่าทางชวนถนอมน่าสงสารจับใจเช่นนี้คือตัวเอกในนิทานชัดๆ
หลินซูซินถอนหายใจ นางไม่อยากเป็นอุปสรรคขวากหนามขวางทางรักระหว่างเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยอีกแล้ว
หากนางยังพูดมากคิดถากถางเขา มิเท่ากับว่านางหึงหวงคิดช่วงชิงเขากับจางจิ่วเม่ยหรอกหรือ
และหากนางยิ่งทำสิ่งใดให้เขาตาสว่างมองเห็นการกระทำอันผิดพลาดไม่เหมาะไม่ควรของตัวเองอย่างแจ่มชัดในเวลานี้ บุรุษแสนดียึดถือจารีตจะไม่รีบกลับตัวกลับใจหันมามุ่งมั่นกับนางอย่างแน่วแน่มิสั่นคลอนมากยิ่งขึ้นหรอกหรือไร
หลินซูซินคิดในใจอย่างปลดปลง แน่นอนว่าคนเช่นนางแค้นเคืองใครไม่เป็น และก็เป็นอย่างที่เห็น นางไม่อยากซ้ำรอยเดิม หากเกาหมิงไปได้ดีกับจางจิ่วเม่ยเร็ววัน ย่อมดีกับนางและทุกฝ่าย
หญิงสาวกำลังจะเอ่ยปากอัญเชิญให้เกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยไปรักกันไกลๆ เสียงเย็นเยียบพลันดังอยู่เหนือศีรษะ
“ปล่อยให้บุรุษสูงส่งเช่นข้ารออยู่เป็นนาน กินอาหารหมดไปหลายจานแล้ว ไหนล่ะขนม?”
ย่อมเป็นนายน้อยผู้หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจ จ้าวเฟิงฉี
หลินซูซินเหลือบตามองจึงเห็นสีหน้าราบเรียบและเย่อหยิ่งพร้อมร่างสูงโปร่งงามสง่าของเขา
เหตุใดไม่อ้วนเหมือนตอนเป็นเด็กกันนะ?
นอกจากไม่อ้วนเหมือนก่อนแล้วยังตัวสูงมาก อายุแค่เพียงสิบแปดปีแต่สูงกว่าเกาหมิงที่อายุยี่สิบสามปีเสียอีก
หญิงสาวได้แต่แปลกใจ ขณะหันไปยิ้มแย้มอ่อนโยน “นายน้อย ซินเอ๋อร์กำลังจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะ พอดีเจอคนรู้จักก็เลยทักทายกันเล็กน้อย ไม่มีอันใดสำคัญกว่าท่านเจ้าค่ะ”
วาจานั้นทำจ้าวเฟิงฉีกับเกาหมิงหันมองหลินซูซินพร้อมกัน
ซินเอ๋อร์หรือ?ไม่มีอันใดสำคัญกว่าเขาด้วย!
สรรพนามน่าฟัง วาจาหวานล้ำเช่นนี้ เคยมีที่ใด
จ้าวเฟิงฉียิ้มเย็นในใจ นางเอาเขาเป็นเครื่องมือจริงเสียด้วย
และเพื่อมิให้เสียทีที่ได้เหยียบย่ำเกาหมิงหน้าขาวให้สะใจ วงแขนแข็งแรงที่มีกล้ามเนื้อหนั่นแน่นของจ้าวเฟิงฉีพลันตวัดโอบไหล่บางของหลินซูซินอย่างสนิทสนมเกินฐานะเจ้านายหนุ่มน้อยกับบริวารดรุณีคนงาม
“ต่อไปซินเอ๋อร์จะได้ไปประจำห้องครัวบนหุบเขาผนึกมารติดตามใกล้ชิดข้าทุกฝีก้าวแล้ว ทักทายคนรู้จักสักหน่อยก็ดี ต่อไปหากไม่เจอหน้าจะได้ไม่คิดถึงกันมากเกินไป ป่ะ ทักทายคนรู้จักเสร็จแล้วก็ขึ้นไปกับข้าเถอะ!”
เกาหมิงได้ยินพลันชะงัก ส่วนหลินซูซินกะพริบตาปริบๆ
นางรับปากเขาเมื่อใด?
ใช่แล้ว ตั้งแต่ถูกเขาก่อกวนด้วยสั่งรายการอาหารทำยาก คล้ายกลั่นแกล้งกันให้นางต้องร่ำไห้ช้ำใจเพราะทำให้เขามิได้นั่น ล้วนเป็นเพระวัตถุดิบอยู่ที่หุบเขาผนึกมาร และเขาก็ไม่อนุญาตให้นางทำให้กินที่นี่ นางต้องตามไปทำให้เขากินบนหุบเขาเท่านั้น
“ด่ะ เดี๋ยวๆ นายน้อย ข้าไม่...”
“หุบปาก!”
พวกเขากระซิบกระซาบดุดันได้ยินกันแค่สองคน
จ้าวเฟิงฉีเอาแต่ใจเกินไปแล้วจริงๆ ป่าเถื่อนเป็นที่สุด
หลินซูซินได้แต่ร่ำร้องในใจเช่นนั้นอย่างทำอันใดมิได้ จึงเพียงเดินตามการจับลากของจ้าวเฟิงฉีขึ้นบันไดไป
เกาหมิงได้แต่ประสานหมัดคารวะบุตรชายชินอ๋องค้างกลางอากาศอย่างทำอันใดมิได้เช่นกัน
จังหวะนั้นเสียงเล็กใสพลันดังอยู่ข้างหู “ท่านพี่หมิง” เป็นเสียงของจางจิ่วเม่ยนั่นเอง นางตัดพ้ออย่างขลาดเขลา “เหตุใดพี่ซูซินถึงทำกับท่านเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ช่างไม่รักษากิริยาเอาเสียเลย”
การตำหนิอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ช่างแลดูน่ารักรู้ความยิ่งนัก ทว่าเกาหมิงเพียงสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพึ่บ สีหน้าสุภาพบึ้งตึง
“น้องจิ่วเม่ยสมควรกลับบ้านได้แล้วกระมัง เป็นแค่เด็กสาวไม่ควรเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกนานนัก”
สาวน้อยพลันแย้มยิ้ม “ท่านพี่หมิงจะไปส่งหรือไม่?”
ชายหนุ่มยังคงรักษาท่าทีสุภาพชน เพียรพยายามกดข่มอารมณ์หึงหวงที่ยากจะขจัดให้สิ้นไปจากใจ แม้ภาพสนิทสนมระหว่างจ้าวเฟิงฉีกับหลินซูซินยังคงติดตาก็ตามที
“ไม่ส่งล่ะ ลาก่อน”
เขาไม่ควรเอ็นดูจางจิ่วเม่ยมากเกินไปเลย ถูกหลินซูซินโกรธเข้าให้แล้ว
สตรีก็เป็นอย่างนี้ ยามที่เขาทำดีกับนางนั่นล้วนสมควร ทว่าพอพลั้งเผลอทำพลาดให้แคลงใจจนสงสัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางกลับพยศดื้อรั้นและพร้อมโบยบินตีตัวออกห่างจากไปแสนไกล
ทว่าเกาหมิงไม่มีวันปล่อยสตรีแสนดีอย่างหลินซูซินไป
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นด้วยใจมุ่งมั่นขณะผละจากจางจิ่วเม่ยด้วยท่าทางคล้ายก่อกำแพงสูงพันจั้งระมัดระวังในความสัมพันธ์
คล้อยหลังเกาหมิง จางจิ่วเม่ยยืนมองแผ่นหลังสง่านิ่งๆ ดวงตาปริ่มน้ำตาน่าสงสาร สาวน้อยเพียรกลั้นน้ำตามิให้ไหลลงมา ท่าทางชวนเวทนาไม่สร่างซา
เหตุใดความรักของนาง ช่างมีอุปสรรคยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ไฉนพี่หลินซูซินไม่ตายๆ ไปเสีย!