งานศพของหลินซูซินจัดขึ้นอย่างโศกเศร้า
“ยังเป็นแม่นางน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบปีแท้ๆ”
นั่นคือเสียงของเครือญาติสกุลเกาที่เข้ามาร่วมพิธีศพ ทุกคนต่างอดถามถึงสาเหตุการตายมิได้
ข่าวที่แพร่สะพัดออกมาคือสะใภ้สกุลเกาตั้งครรภ์อ่อนๆโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวจึงมิทันระมัดระวังการเดินเหิน กระทั่งเกิดสะดุดหกล้มไม่มีผู้ใดเห็นจนแท้งบุตรถึงได้รู้ว่านางมีครรภ์ เรื่องนี้สร้างความเสียใจอย่างสุดซึ้งให้แก่คนสกุลเกาเหลือคณา ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นลมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างตรอมตรม ผู้คนล้วนมีน้ำตาคลอหน่วย
เกาหมิงสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวดวงหน้าหล่อเหลาหมองหม่น เขาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ากระถางเซ่นไหว้ เผากระดาษเงินให้ภรรยา ดวงตาของเขาดำคล้ำ เรือนกายที่เคยสง่างามบัดนี้ซูบผอมยิ่งนัก
ชายหนุ่มไม่เอ่ยปากทักทายแขกเหรื่อหรือญาติสนิทคนใด เพียงคุกเข่าสงบนิ่ง จับจองความเงียบงันอยู่คนเดียว
จางจิ่วเม่ยที่มีดวงตาแดงก่ำสีหน้าเสียใจลึกล้ำเดินเข้ามา คุกเข่าลงนั่งเคียงข้างกับเขา วันนี้นางมาในฐานะญาติฝั่งมารดาของเกาหมิง ส่วนอีกฐานะ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้ ผู้อื่นหาได้เคลือบแคลงหรือสงสัยแม้แต่น้อยไม่
“พี่หมิง” เสียงของนางแหบพร่าปนสะอื้น เมื่อครู่หญิงสาวร่ำไห้มาพักใหญ่ก่อนเดินเข้ามา “ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วนะเจ้าคะ หากทำเช่นนี้ต่อไปจะเสียสุขภาพเอาได้”
เกาหมิงเอียงหน้ามองสตรีข้างกาย “เม่ยเอ๋อร์ นางตั้งครรภ์ ข้ารอมาตั้งสามปีในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ แล้วเหตุใดนางต้องตาย”
จางจิ่วเม่ยได้ฟังพลันมีสีหน้าดำคล้ำ แววตาทะมึนลง นางเองก็ตั้งครรภ์ได้ ขอเพียงได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้องเสียที
นางพอแล้ว ความทุกข์ตรมที่ต้องข่มกลั้นซี่งได้รับนานนับปีจากการแอบรักฝังใจกับบุรุษที่มีสตรีอื่นข้างกาย พอที!
ในขณะที่จางจิ่วเม่ยคิดการณ์อันชั่วช้าเช่นนั้น เกาหมิงกลับยิ่งรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งใจ ยิ่งมองจางจิ่วเม่ย เกาหมิงก็ยิ่งรู้สึกผิดทบทวี เดิมทีเขาปฏิเสธจางจิ่วเม่ยแล้ว ทว่าท้ายที่สุดกลับมิอาจยับยั้งชั่งใจ
ทุกคราที่เจอกัน เขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญโดยตลอด กระทั่งเรามีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง นางเสนอตัวให้ลิ้มลองอย่างเอียงอายคล้ายมิตั้งใจ
เขาถึงได้รู้ว่าทุกครั้งที่เจอนางล้วนมิใช่เหตุบังเอิญ
อากัปกิริยาซุกซนไร้เดียงสาแฝงความดื้อร้นที่ผิดแผกจากภรรยาผู้เรียบร้อยอ่อนหวานรู้ความเช่นนั้น ชวนให้คนปรารถนาค้นหาอย่างยิ่ง
เมื่อนางมีใจให้เขา เขาจึงสนองความยั่วยวนนั้นของนางอย่างมิอาจหักห้ามใจไม่ให้เผลอไผลไปกับเสน่หาของนาง
ความสัมพันธ์ทางใจของเราเกิดขึ้นมานานแล้วเพียงแต่ สองเราจำต้องเดินบนเส้นทางที่ควรเป็น และเขาก็รักหลินซูซินก่อน
กระทั่งความสัมพันธ์ทางกายของพวกเราเกิดขึ้นที่เรือนร้างเมื่อต้นปีนี้เอง และเพิ่งดำเนินลับหลังภรรยามาแค่ไม่กี่คราเท่านั้น เหตุใดสวรรค์ต้องลงทัณฑ์เขาด้วยการพรากหลินซูซินกับลูกไปด้วย
น้ำตาบุรุษหยาดหยดอย่างช้าๆ จากใบหน้าหล่อเหลา
เป็นเขาที่ผิดเอง ผิดมหันต์ พลาดทั้งหมด เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองในวันที่สายไปว่ารักหลินซูซินมากมายปานใด
ภรรยาแสนดีเพียบพร้อมของเขาสตรีใดไหนเลยจะเทียบได้
ความโศกเศร้าอย่างไม่ปิดบังและการปลอบประโลมเช่นนี้ ล้วนทำให้ผู้คนไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่นั่งเคียงกันต่อป้ายคนตาย รวมถึงหลินอีเซิงกับจูจื่อฉิงด้วย
แต่บิดามารดาที่สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวพร้อมหลานในครรภ์อย่างกะทันหันเช่นนี้มีหรือจะทำใจได้
เรียกได้ว่าหมดสิ้นหนทางยืนหยัด มิอาจทำอาหารอันโอชาซึ่งเป็นงานที่รักยิ่งชีพ เหลือเพียงร่างไร้จิตวิญญาณ มีชีวิตอยู่เสมือนตายทั้งเป็น
หลังเสร็จสิ้นพิธีศพ สองผู้เฒ่าจึงตรอมใจจนล้มป่วยนอนซม ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกเลย...
ด้วยล่วงรู้ถึงสัมพันธ์ลับระหว่างบุตรชายกับหลานสาว
หลังหลินซูซินตายครบร้อยวัน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเร่งจัดการให้เกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยแต่งงานกันทันที
หากถามว่าฮูหยินผู้เฒ่าล่วงรู้ได้อย่างไรนั้น ย่อมต้องถามว่าจางจิ่วเม่ยมียางอายบ้างหรือไม่ยามเอ่ยปากบอกกล่าวต่อผู้อาวุโส
‘ข้ากับพี่หมิงมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้งมานานแล้วเจ้าค่ะ แต่จนใจที่อายุข้ายังน้อยจึงไม่กล้าบอกความจริง กระทั่งพี่หมิงต้องแต่งงานกับพี่หลินตามสัญญาหมั้นหมาย’
นางคลี่ยิ้มสีหน้าจริงใจยามเอ่ยอย่างต่อเนื่องกับผู้เป็นป้าว่า “ท่านป้าเองก็เอ็นดูข้ามาแต่ไหนแต่ไรนี่นา เสียอย่างเดียวที่ข้าโตช้า ยามนี้ข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุกแล้ว รอเพียงเวลาที่พี่หลินทำใจได้ และยอมรับข้า ต่อไปท่านป้าก็จะมีข้าเข้ามาดูแลท่านอีกคน ย่อมดีด้วยเหตุและผล เพียงแต่ไม่คิดว่าพี่หลินจะรับไม่ได้ถึงขั้น...’
ความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า แม้เคยเอ็นดูหลินซูซินมากมาย แต่นางตายเพราะจิตใจคับแคบ ไร้ความสามารถรักษาลูกในครรภ์ ไม่มีค่าให้นึกถึงอีก
ส่วนคนที่ยังอยู่จะอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผยสัมพันธ์ลับให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลสกุลบ้านเดิม นางจึงยกขบวนสินสอดเดินทางไปสู่ขอจางจิ่วเม่ยอย่างชอบธรรมทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังเรือนมิอาจว่างเปล่า แต่จนใจที่บุตรชายเป็นม่ายภรรยาตาย สกุลเกาจะหาสะใภ้จากที่ใดได้ คงต้องร้องขอให้สกุลจางเห็นใจแล้ว
ในเรือนของจางจิ่วเม่ย เกาหมิงยืนอยู่ตรงหน้านางนิ่งๆ
“ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”
“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นต่อสตรีอีกคน