จวนสกุลเกา
เสียงเตียงโยกคลอนสอดรับกับเสียงเสียดสีของสองกายที่กำลังสอดประสานกลายเป็นหนึ่ง ยิ่งฟังยิ่งกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ปะทุถึงขีดสุด
แก่นกายบุรุษที่กำลังชำแรกแทรกผ่านความนุ่มลึกอิสตรี ทำเอาพวกเขาเสียวซ่านจนแทบลืมตัวตน ลืมสิ้นถึงเหตุผลพึงมี
เขาแข็งขึงเติมเต็มในขณะที่นางอ่อนนุ่มแต่ร้อนผ่าวคล้ายแหว่งเว้าอย่างต้องการเขาไม่จบสิ้น
เขาเหยียดขยาย ในขณะที่นางตอดรัดตลอดลำกายแกร่ง เขาขยับหนักหน่วงลึกล้ำแนบชิด ในขณะที่นางส่ายรับได้ทุกจังหวะการสอดใส่ให้ลึกซึ้งแนบสนิทมากยิ่งขึ้น
ประหนึ่งร่างกายของทั้งคู่เกิดมาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน
“อ๊ะ! อื้อ! ทะ ท่านพี่หมิง” เสียงแว่วหวานของนางครางอย่างสะกดกลั้นให้เบาหวิวที่สุดตามจังหวะที่ถูกกระแทกกระทั้น “อืม อื้อ” เสียงนั้นรับกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นจังหวะเดียวกัน
“อา...น้องเม่ย” บุรุษคำรามเสียงแหบห้าวอย่างสะกดกลั้นมิให้ดังเกินไปเช่นกัน เขานึกไม่ถึงว่าร่างกายของแม่นางน้อยจะให้ความรู้สึกดีถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะแรงรัดรึงที่กำลังตอดตุบๆ ทำเอาเขาที่ไม่เคยขาดเรื่องบนเตียงกับภรรยาปรารถนาทะลักทลายปลดปล่อยทำนบให้สายธารสวาทซ่านเซ็นใส่ความแนบแน่นของนางเต็มที
เรือนร่างอรชรอันอ่อนเยาว์เย้ายวนที่งดงามผุดผาดนี้ทำเขาแทบคลั่งทุกคราที่มีโอกาสอันน้อยนิดได้ใกล้ชิดกัน
กายแกร่งแข็งขึงและร้อนผ่าวราวแท่งเหล็กที่กำลังขยับเข้าขยับออกเสียดสีจนเนินสาวร้อนฉ่า ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังเสียดเสียว แต่นางใต้ร่างก็ซาบซ่านรัญจวนอย่างที่สุดเช่นกัน
แท่งเนื้อยามขยับตอกอัดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำชายหญิงมิได้รู้สึกต่างกัน ยิ่งเขาขยับความคับแน่นของนางก็ยิ่งบีบรัดจนต้องครางระงมเบาๆ ให้กับความสุขสมที่มีมากมายราวลมพายุคลุ้มคลั่งที่พัดพาความกระสันจนก่อเกิดคลื่นใหญ่มหึมา
ความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่านทำให้เขาและนางแทบบ้า เหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่กำลังผุดพรายพราวระยับเต็มใบหน้าไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนกำลัง แต่กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นส่งให้พวกเขาเข้าหากันอย่างรุนแรงมากขึ้น แนบแน่นขึ้น
ภายในห้องหับลับตาคน อารมณ์กระสันยิ่งรุมเร้ารุนแรง ทว่าเสียงเตียงโยกโยนผสานเสียงครางครวญกลับเบาแสนเบาอย่างระมัดระวังยิ่งยวด ทำให้เสียงไม่เล็ดลอดออกนอกเรือนแม้แต่น้อย
คนนอกเรือนล้วนไม่ได้ยินเสียงใด เหมือนที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่กำลังใกล้เข้ามาจากทางนอกเรือนเช่นกัน
ด้วยฐานะมิได้ร่ำรวยมั่งคั่ง บ่าวไพร่ในเรือนจึงค่อนข้างน้อย หน้าประตูจวนมีเพียงยามเฝ้าหนึ่งคน ตลอดทางเดินเข้าเรือนชั้นใน หลินซูซินจึงไม่พบบ่าวไพร่เดินขวักไขว่สักคน
หญิงสาวเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังจนถึงเรือนหลัก คิดในใจว่าพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย ค่อยทำอาหารรสเลิศรอสามีกลับมาจากทำงาน แล้วบอกข่าวดีให้เขารับรู้ท่ามกลางอาหารโอชา
ทว่าเหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า เมื่อหลินซูซินเปิดประตูเข้าห้อง เดินเข้ามาเพียงหนึ่งก้าว ภาพที่เห็นทำให้นางแทบล้มทั้งยืน สามีของนางกำลังกอดกระหวัดรัดรึงอยู่กับสตรีผู้หนึ่งบนเตียงนอน กลิ่นอายวสันต์อันกรุ่นร้อนแผ่ซ่านกำจายไปทั่วห้องนอนของเรา
ภายใต้ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เสื้อผ้าชายหญิงกระจัดกระจาย ผ้าห่มยับย้วย ไม่บอกก็รู้ว่าพวกเขาเคี่ยวกรำอย่างร้อนแรงปานใด
“กรี๊ด...”
ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของหลินซูซิน แต่เป็นของหญิงแพศยาในอ้อมกอดสามีนาง
“ซูซิน” เกาหมิงมองหลินซูซินอย่างตื่นตกใจด้วยมิคาดว่าภรรยาจะกลับมากะทันหัน
หลินซูซินยืนชะงักค้างนิ่งงัน นางพูดไม่ออกสักคำขณะมองชายโฉดหญิงชั่วเร่งรีบลุกขึ้นจากเตียงมาสวมเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลแล้วเดินมาทางนางอย่างขอลุแก่โทษ
สีหน้าท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
รู้สึกผิดหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่มีภาพบัดสีให้นางเห็นกระมัง!
หลินซูซินละสายตาจากสามีที่น่ารังเกียจมามองสตรีอีกคนซึ่งจับจังหวะกำลังลอบอมยิ้มแวบหนึ่ง นางผู้นี้ที่แท้ก็มิใช่ใครอื่น นางคือจางจิ่วเม่ย แม่นางน้อยญาติสาวฝั่งมารดาของเกาหมิง
หลินซูซินไม่รู้จริงๆ ว่าสถานการณ์ยามนี้ตนควรรู้สึกเช่นใดหรือต้องทำอย่างไร
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตรีที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยดีงามยามโกรธเพียรระงับโทสะด้วยวิธีไหน
หญิงสาวเพียงเดินขึ้นหน้าสองก้าว ยกมือขึ้น แล้วตบหน้าอันไร้ยางอายของจางจิ่วเม่ยฉาดใหญ่
เสียงเพียะดังลั่นเมื่อฝ่ามือกระทบแก้มนวลที่ยังคงแดงปลั่งจากอารมณ์กระสัน
“โอ้ย” จางจิ่วเม่ยล้มลงก้นกระแทกพื้นดังพลั่ก เลือดสดๆ ไหลจากกลีบปากแดงช้ำจากการจุมพิตทันที
หลินซูซินยังไม่หยุดมือเพียงเท่านี้ นางตรงเข้าไปตบตีอีกหลายทีอย่างมิอาจห้ามไฟโทสะในใจ
เสียงเพียะเกิดขึ้นจนนับไม่ทัน
“ซูซิน หยุดนะ ซูซิน อย่าทำร้ายเม่ยเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นบ้าไปแล้วหรือไร? ไฉนสตรีดีงามเช่นเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้...”
เกาหมิงรีบห้ามปรามด้วยวาจาแสลงหูดั่งน้ำมันราดบนกองไฟเช่นนั้นหลินซูซินจะหยุดมือได้อย่างไร
ดีงามหรือ? เพียบพร้อมอ่อนหวานหรือ?
ท่ามกลางเสียงเพียะๆ ที่ดังต่อเนื่องหลินซูซินนึกกังขาในใจ ส่วนเกาหมิงรีบสกัดฝ่ามือของภรรยาไว้ ทว่าไม่เป็นผล จึงผลักนางอย่างแรงแล้วโอบกอดจางจิ่วเม่ยอย่างหวงแหนทะนุถนอมและต้องการปกป้อง แววตาที่มองหลินซูซินเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงด้วยคาดไม่ถึงว่าสตรีเรียบร้อยนุ่มนวลและหัวอ่อนจะโมโหร้ายปานนี้
หลินซูซินเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นจนเจ็บแปลบไปทั้งร่าง โดยเฉพาะท้องน้อยที่ปวดหนึบฉับพลัน แต่นางไม่อยากอ่อนแอให้ชายหญิงต่ำช้าได้สาสมใจ จึงพยุงตัว ประคองท้องน้อยที่จุกเสียดจนต้องนิ่วหน้าไว้แล้วลุกขึ้นวิ่งออกจากเรือนไป
คราบเลือดไหลจากหว่างขา หยดสีแดงฉานลงบนพื้นศิลา คล้ายบุปผาโรยบนทางเดินเป็นหย่อมๆ
หลินซูซินกัดฟันอดทนแล้วแต่ท้ายที่สุดนางกลับทนไม่ไหว จำต้องแวะที่เรือนรับรอง
ในห้องมีตั่งยาวอยู่ตัวหนึ่ง หญิงสาวคิดว่าพักเหนื่อยสักครู่ค่อยกลับบ้านไปหาบิดามารดา
ทว่าอนิจจา ฟ้าคล้ายโกรธา ไร้เมตตาต่อสรรพชีวิต ใครเลยกล้าคาดคิดว่านั่นจะเป็นการนอนแล้วมิอาจลืมตาตื่นได้อีกเลย สตรีผู้หนึ่งซึ่งพบความสะเทือนใจถึงขีดสุดและสะดุดล้มเช่นนั้น นางถึงขั้นแท้งบุตรและจากไปพร้อมลูกน้อยในครรภ์
หลินซูซินตายอย่างเงียบงันบนตั่งตัวยาวในเรือนรับรอง