...จวนหย่งเลี่ยงโหว...
เสียงเอ็ดอึงของจ้าวเจียงป๋อที่ร้องสั่งเรียกหาท่านหมอหลวงที่มาประจำดูแลเยี่ยหย่งชุนวุ่นวายตั้งแต่มาถึงหน้าประตูจวนทำให้คนป่วยซึ่งวันนี้เพิ่งฝึกลงจากเตียงหน้านิ้วคิ้วขมวดทันที
“เกิดอันใดขึ้นด้านนอกเจ้าออกไปดูสักหน่อยเหม่ยเจียว เกาหยาง”
เยี่ยหย่งชุนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็นแล้วจึงสั่งให้หนึ่งสาวใช้กับหนึ่งบ่าวชายของตนเองออกไปดูด้านนอกที่ส่งเสียงเอ็ดอึงแต่สาวใช้นามเหม่ยเจียวนั้นกลับทำท่าทางไม่อยากจะทิ้งผู้เป็นนายหนุ่มออกไป
“ให้เกาหยางไปผู้เดียวเถิดเจ้าค่ะเหม่ยเจียวจะอยู่ดูแลท่านโหวหากเกิดล้มไปจะแย่นะเจ้าค่ะ”
คิ้วเข้มขมวดยุ่งเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนหากไม่ติดว่าเกรงใจพ่อบ้านซ่งที่เหม่ยเจียวเป็นหลานสาวกำพร้าของอีกฝ่ายที่เขาเมตตาเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่หลายฤดูหนาวก่อนเห็นทีคงได้ไล่กันไปให้พ้นหน้าเสียนานแล้วเพราะที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือสาวใช้ที่ไม่ฟังคำสั่งเช่นนี้
“ในจวนโหวนี้เป็นข้าที่เป็นนายหรือเจ้าที่เป็นนายเหม่ยเจียว”
สาวใช้ผู้มีใจคิดการใหญ่หวังสูงที่คิดจะขยับฐานะจากสาวใช้ทั่วไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียงถึงกับหน้าเสียที่ถูกท่านโหวหนุ่มเอ่ยตำหนิหน้านิ่งดูย่อมรู้ว่าความงดงามของนางใช้ล่อลวงท่านโหวมิได้เลย
“เจ้าค่ะ”
“เกาหยางอยู่กับข้าให้นางไปผู้เดียวก็พอ”
เกาหยางขยับจะก้าวออกไปด้วยเป็นเยี่ยหย่งชุนที่ห้ามเอาไว้นั่นจึงยิ่งทำให้ซ่งเหม่ยเจียวกรุ่นใจอกเพิ่มขึ้นไปอีกหลายส่วนความอยากเอาชนะบังเกิดรุนแรง
...สักวันนางจะเป็นคนของท่านโหวให้จงได้!...
...ปัง!...
“ท่านน้า คุณหนูรองลู่เกิดเรื่องแล้ว”
ทว่ายังไม่ทันที่ซ่งเหม่ยเจียวจะเดินไปถึงประตูกลับเป็นจ้าวเจียงป๋อที่เป็นผู้ผลักเข้ามาเสียก่อนในอ้อมแขนแกร่งมีเด็กหญิงตัวกลมที่กำลังร้องไห้จนดวงตาช้ำปลายจมูกแดงก่ำถูกอุ้มอยู่ด้านหลังเป็นซุนจื่อที่อุ้มกายบอบช้ำมีโลหิตเต็มใบหน้าตามติดเข้ามาภายในห้องเพียงเท่านั้นที่เยี่ยหย่งชุนได้แลเห็นก็ใจหายวูบโหวง
“เกิดอันใดขึ้นกันเจียงป๋อ”
น้อยนักที่เยี่ยหย่งชุนจะเรียกหลานชายด้วยนามเต็มมิใช่ตำแหน่งของอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติเสมอมาดังนั้นในวันนี้ถึงกับหลุดเช่นนี้คาดว่าเขาต้องตกใจมากแล้วจริงๆ
“อย่าเพิ่งถามเลยเร่งตามท่านหมอหลวงโจวมาก่อน เจ้าน่ะไปจัดเตียงเร็วเข้าส่วนเจ้าไปนำน้ำสะอาดกับผ้ามาเช็ดตัวของคุณหนูรองลู่เร็วเข้ายืนเซ่ออยู่ไย!”
หันไปตวาดเสียงกร้าวใส่สาวใช้ไม่ได้ความที่ยังยืนทื่อดังต้นเสาโง่งมด้านหลังของเยี่ยหย่งชุนมิทราบว่าท่านน้าของเขาทนเลี้ยงคนไม่ได้ความเหล่านี้ไปได้เช่นไรกันทั้งที่เป็นทหารเข้มงวดผู้หนึ่งโดยแท้
“ไท่จื่อ ท่านโหว”
“มิต้องมากพิธีท่านหมอโจวเร่งมาดูคนป่วยเร็วเข้า”
เหมือนคนใดก็ไม่ได้ความไปหมดจ้าวเจียงป๋อขัดใจอย่างยิ่ง ส่วนเด็กน้อยในอ้อมแขนก็ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดยิ่งนึกถึงภาพที่เขาทันไปเห็นเข้าพอดีก็โมโหอย่างยิ่ง มิอาจทราบได้ว่าพระบิดาทรงทราบหรือไม่ว่าขุนนางในปกครองกระทำตนเสื่อมทรามได้ถึงเพียงนี้
“ชู่ว์เด็กดีนิ่งเสีย”
พอเห็นว่าท่านหมอหลวงโจวทำการตรวจอาการของลู่ชิงเยี่ยนแล้วจ้าวเจียงป๋อจึงหันมาปลอบโยนเด็กน้อยในอ้อมแขนกดศีรษะเล็กซุกไว้ในอ้อมอกลูบหลังลูบไหล่ด้วยดวงใจสงสารเต็มเปี่ยมเขาเองไม่เคยมีน้องสาวถึงพระบิดาจะมีองค์หญิงน้อยจากพระสนมหลายพระองค์แต่เขามิเคยเข้าไปวุ่นวายหรือสนิทสนมด้วย
ทว่าเด็กน้อยผู้นี้เพียงเห็นนางร้องไห้ด้วยกิริยาระมัดระวังเต็มที่กลับน่าสงสารจนเขาปวดใจอย่างมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
“อย่าร้องอีกเลยมีเกอเก่ออยู่จะมิมีผู้ใดทำร้ายเจ้ากับพี่สาวได้อีกนะคนดี ไหนบอกนามของเจ้าหน่อยเป็นไร ข้ามีนามว่าเจียงป๋อแล้วเจ้าเล่ามีนามว่าอันใด”
เขาพานางไปทรุดลงนั่งริมหน้าต่างเปิดทางให้ท่านหมอหลวงโจวได้ทำงานอย่างถนัดโดยมีเยี่ยหยุ่งชุนค่อยสอบถามอยู่ไม่ห่าง
“อาหยามีนามว่าลู่เฟยหยาเจ้าค่ะแต่...อาเย่จะปลิดภัยหรือไม่? อาหยากลัวท่านพ่อจะตีอาเย่เช่นที่เขาตบตีพี่รองพี่ชายช่วยไปรับอาเย่มาอยู่กับพวกเราได้หรือไม่?”
ถามไปก็สะอึกสะอื้นไปจ้าวเจียงป๋อมิทราบว่าดวงใจของลู่เหวินซานนั้นมืดมนเพียงใดจึงมองไม่เห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของบุตรสาวตัวกลมผู้นี้ภาพที่ตาเฒ่าผู้นั้นพุ่งตรงเข้าใส่เด็กน้อยพร้อมท่าทางเตรียมจะตบตีทำร้ายไม่ต่างกับที่ทำร้ายลู่ชิงเยี่ยนนึกถึงในยามใดจ้าวเจียงป๋อก็มีแต่โทสะดำมืดเสียทุกคราวไป
“อาเย่หรือ? ...อาเย่คือผู้ใด?”
เขาเองก็ไม่ได้ทราบถึงลูกๆ ของลู่ไท่เว่ยว่ามีกี่คนเท่าที่ทราบก็เพียงลู่ถิงจือกับลู่ชิงเยี่ยนส่วนบุตรคนอื่นเขาเองมิทราบจนสิ้นว่าตาเฒ่าผู้นั้นยังมีอีกกี่คน
“อาเย่ก็คือน้องสี่เจ้าค่ะ พวกเราเหลือกันเพียงสามคนพี่น้องกับท่านพ่อบ้านใหญ่ท่านป้าชุนเหนียง พี่เสี่ยวจาง พี่เสี่ยวลี่และพี่เซิง”
เด็กน้อยกล่าวไปตามความจริงด้วยไร้เดียงสาไม่ทราบทั้งสิ้นว่าความใดสมควรเล่าความจริงใดมิสมควรเล่าดังนั้นแล้วจ้าวเจียงป๋อจึงได้โอกาสสอบถามทุกสิ่งในจวนลู่ไท่เว่ยทันที
“นางเป็นเช่นไรบ้างท่านหมอหลวงโจว”
ทางฝ่ายเยี่ยหย่งชุนเขาก็ไม่มีเวลาจะไปสนใจเด็กน้อยเพราะกายอรชรที่บอบบางบัดนี้บอบช้ำจนน่ากลัวแม้แต่ความเจ็บปวดในร่างกายของตนเองเขายังลืมเลือนไปจนสิ้นรู้เพียงนางต้องเจ็บมากเพียงใดดวงใจของเขาก็เหมือนจะถูกเหยียบย่ำและบดขยี้ด้วยปลายเท้ามหึมาอย่างไรอย่างนั้น
“เรียนท่านโหวบาดแผลภายนอกถือว่าหนักหนาพอสมควรยังโชคดีอยู่บ้างที่คล้ายกับคุณหนูรองลู่นั้นจะรู้ทิศทางของผู้ลงมือจึงหลบและปกป้องตนเองมิให้บาดเจ็บภายในมากนักขอรับ”
เยี่ยหย่งชุนถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟังคำของท่านหมิหลวงโจว นางต้องถูกทุบตีเช่นนี้บ่อยเพียงใดกันเล่าจึงรู้ซึ้งถึงทิศทางการลงมือของบิดาตนเองได้เพียงนี้ ลู่เหวินซานผู้นั้นต้องเป็นบุรุษจิตใจหยาบกระด้างเท่าใดกันเล่าจึงทำร้ายบุตรสาวของตนเองได้ถึงเพียงนี้
นี่หรือไม่ที่เขามีคำกล่าวว่าอย่าดูคนเพียงภายนอกกับผลงานที่อีกฝ่ายทำเพราะหลายหนาวที่ผ่านมาผลงานของลู่เหวินซานเมื่ออยู่ชายแดนนั้นดีเยี่ยมมิคาดกับครอบครัวเขาจะกลายเป็นบิดาที่เลว ทั้งที่เขาเข้าใจมาตลอดว่าบุรุษผู้นั้นรักใคร่มารดาของลู่ชิงเยี่ยนจนเก็บภาพวาดของอีกฝ่ายติดกายมันมิได้หมายความว่าเขาจะดีกับบุตรสาวให้มากหรอกหรือ?
...จิตใจคนช่างยากแท้หยั่งถึงอันใดเช่นนี้...
หลังจากท่านหมอหลวงกลับเรือนรับรองไปแล้วเยี่ยหย่งชุนจึงชักชวนจ้าวเจียงป๋อออกไปจากห้องนอนกว้างปล่อยให้สาวใช้เข้ามาช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้แก่ลู่ชิงเยี่ยนอย่างสะดวกใจเพราะเช่นไรนางก็เป็นสตรีผู้ยังมิทันออกเรือนและยังมิได้มีการหมั้นหมายกับบุรุษใดจึงมิสมควรอย่างยิ่งที่จะมีบุรุษมาอยู่ในห้องหับมิดชิดในขณะการถูกเปลี่ยนอาภรณ์
“อาหยาบอกแก่ข้าว่าที่จวนลู่ยังมีเด็กอ่อนวัยเพียงสามเดือนกว่าที่ถูกมารดาทอดทิ้งอยู่ที่จวนลู่ไท่เว่ย ท่านน้าคิดเห็นเป็นประการใด?”
แล้วจ้าวเจียงป๋อก็เล่าทุกความจริงที่ได้ฟังจากปากไร้เดียงสาของลู่เฟยหยาให้แก่เยี่ยหย่งชุนได้ฟังอีกครั้งทำเอาท่านโหวหนุ่มถึงกับอึ้งไปนานไม่คิดว่าเวลาผ่านไปไม่ถึงสองเดือนจวนลู่ไท่เว่ยจะตกต่ำลงไปได้มากถึงเพียงนี้ แต่ตกต่ำเพียงใดเขาที่บัดนี้คล้ายกับคนนอกเต็มตัวมิมีอันใดเกี่ยวข้องนับจากสมรสยุติและอีกฝ่ายก็คือของหมั้นพร้อมสินสอดมาจนหมดแล้วจะให้ไปก้าวก่ายล้วนมิได้ทั้งสิ้น
“ถึงอยากช่วยเพียงใดแต่พวกเราเป็นคนนอกแล้วคงมิอาจก้าวก่ายไปได้ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะไท่จื่อ”
จ้าวเจียงป๋อเองก็นิ่งไปเช่นกันเพราะที่เยี่ยหย่งชุนกล่าวถูกต้องทุกสิ่งถึงเขาจะสั่งลงโทษลู่ไท่เว่ยที่เขากระทำการเสื่อมเกียรติของทหารผู้หนึ่ง ทว่าเรื่องในครอบครัวต่อให้เป็นฮ่องเต้ยังไม่สามารถไปก้าวก่ายได้เลยเขาที่เป็นไท่จื่อจะทำได้ที่ใดกัน
“เช่นนั้นหากท่านน้าสู่ขอลู่ชิงเยี่ยนมาเป็นภรรยาก็นับว่าท่านเป็นเขยเป็นครอบครัวเดียวกันคงสามารถช่วยเด็กสองคนได้แล้วกระมัง?"
ก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถช่วยเด็กน้อยสองคนออกมาเสียจากกรงเล็บของปีศาจเท่าลู่ไท่เว่ยไปได้แต่ปัญหามันติดตรงที่ว่าตาเฒ่าแซ่ลู่จะยอมโดยง่ายหรือไรในเมื่อบุตรสาวคนโตเพิ่งตายจากไปได้ไม่ถึงครึ่งปีเช่นนี้
“ลู่ถิงจือเพิ่งตายไปแล้วจะให้กระหม่อมบากหน้าไปสู่ขอบุตรสาวคนรองของเขาอีกคิดว่าลู่ไท่เว่ยจะไม่เอาน้ำล้างเท้ามาสาดไล่กระหม่อมหรือไรเล่าไท่จื่อ”
ที่ท่านน้าของเขากล่าวมานั้นมีโอกาสเป็นไปได้จริงถึงแปดส่วนหากให้เขาแบกขังขารยักแย่ยักยันนี้ไปสู่ขอว่าที่ภรรยาด้วยตนเอง หากแต่ว่า...
“หากเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาเล่าท่านน้า ตาเฒ่าแซ่ลู่ยังจะบังอาจเอาน้ำล้างเท้ามาสาดไล่กันอยู่อีกหรือไม่เล่า?”
...นั่นสินะ...
หากเป็นฮ่องเต้ออกราชโองการก็มิต้องเกรงว่าลู่เหวินซานจะปฏิเสธสินสอดและแม่สื่อของเขาเป็นแน่ ทว่านี่เป็นสมรสที่เขาตั้งใจว่าจะให้เป็นครั้งเดียวในชีวิตราชโองการเท่ากับเป็นการบีบบังคับเห็นทีคงต้องไปขอให้เยี่ยฮองเฮาออกหน้าแล้วกระมัง
“พี่ชาย...”
ลู่เฟยหยานั้นไม่กล้าจะสอดแทรกผู้ใหญ่พูดคุยกันแต่ผ่านมาหลายเค่อแล้วพี่รองก็ยังไม่ฟื้นน้องสี่ของนางก็ยังอยู่ที่จวนหากท่านพ่อกลับไปไม่พบผู้ใดและวบังเกิดอารมณ์เสียแล้วไประบายโทสะกับน้องสี่จะทำอย่างไรน้องยังเล็กเดินก็ไม่ได้จะต้องเจ็บตัวไม่น้อยเป็นแน่คิดไปคิดมาจึงยอมเป็นเด็กนิสัยไม่ดีเอ่ยแทรกคนโตเสียแล้ว
“หือ? ...อาหยาต้องการสิ่งใด หิวหรือไม่?”
จ้าวเจียงป๋อก้มลงไปถามเด็กตัวกลมแก้มแดงด้วยกิริยาอ่อนโยนผิดจากปกติที่ห้าวหาญดุดันในค่ายทหารอย่างสิ้นเชิง
“อาหยาไม่หิวอาหยาอยากเข้าไปหาพี่รอง และเป็นห่วงอาเย่ อย่างยิ่งหากท่านพ่อกลับจวนแล้วไม่พบผู้ใดอาหยากลัวว่าท่านพ่อจะตีอาเย่ยิ่งนัก อาเย่เพียงสามเดือนหิวก็พูดบอกไม่เป็นคำเดินก็ยังไม่ได้หากถูกตีย่อมหนีไปซ่อนมิได้เช่นนั้นอาเย่จะต้องลำบากแน่เจ้าค่ะ”
ผู้ใหญ่ทั้งหลายฟังคำเด็กวัยหกขวบปีพูดจาออกมาอย่างไร้เดียงสาต่างก็ปวดใจไปตามๆ กัน เด็กพูดทุกคำล้วนไม่โกหกเช่นนี้หมายความว่าลู่เฟยหยานี้ต้องเติบโตมากับผู้ใหญ่อย่างไรกันเล่านางถึงมีภาพจดจำไม่เคยดีต่อโทสะขอบิดาได้ถึงเพียงนี้
“มานี่มาอาหยามาอยู่กับข้าก่อนให้พี่เจียงป๋อไปรับอาเย่นะส่วนเราไปดูพี่รองของเจ้ากันว่านางตื่นหรือยัง เกาหยางมาเข็นข้ากลับเข้าไปในห้องที ไท่จื่อ ลำบากพระองค์แล้ว”
เยี่ยหย่งชุนเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าให้จ้าวเจียงป๋อนั้นจะทำเช่นไรก็ได้ขอเพียงเขาได้เด็กน้อยนามลู่ฟ่านเย่ติดมือกลับจวนโหวมาก็เป็นพอ
“อ้อ...ท่านพ่อบ้านซ่งคล้ายกับหลายวันก่อนท่านมารายงานกับข้าใช่หรือไม่ว่าทองหมื่นชั่งนั้นได้กลับมาเพียงเก้าพันชั่งใช่หรือไม่?”
“ขอรับท่านโหว”
“ดี!...เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องรบกวนไท่จื่อช่วยไปทวงสินสอดที่จวนลู่ไท่เว่ยได้ค้างเอาไว้หนึ่งพันชั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมได้ ขอหย่งเลี่ยงโหวจงอย่าได้กังวลไปเปิ่นไท่จื่อจะเก็บทั้งต้น...และดอกมิให้ขาดไปสักเหวินเดียว!”
ท่านพ่อบ้านซ่งฟังสองท่านน้าและหลานพูดคุยกันแล้วก็กลืนน้ำลายลำบากไปหมดอดจะสงสารลู่ไท่เว่ยเสียมิได้ที่คิดหาเรื่องใส่ศีรษะเสียแล้ว ทว่าพอนึกภาพของสตรีร่างกายบอบช้ำที่ซุนจื่อแบกกลับจวนมาก็เลิกเห็นใจตาเฒ่าแซ่ลู่ไปทันที
...คนเลวร้ายเช่นนั้นพบคนเช่นท่านโหวและไท่จื่อก็สมควรแล้ว...