ผ่านไปครู่ใหญ่คนบนเตียงจึงขยับเปลือกตาลืมขึ้นมาอย่างมันงง กว่าจะนึกได้ว่าตนเองโดนสิ่งใดจึงหลับไปกลางอากาศ กายอรชรจึงสะดุ้งลุกขึ้นจากเตียงหลังโตพรวดพราดทันใด
“อาหยา!”
“พี่รอง!”
พอเห็นพี่สาวลุกขึ้นมานั่งกลางเตียงร่างกลมๆ นั้นจึงปีนขึ้นไปหา แล้วกอดอีกฝ่ายเอาไม่แน่นเท่าที่อ้อมแขนของเด็กคนหนึ่งจะกอดแน่นได้ เด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว แต่ลู่ชิงเยี่ยนก็ทราบว่าน้องคนที่สามของนางเสียขวัญไม่น้อยกับภาพที่บิดาพุ่งเข้ามาทำร้ายตบตีตนเองเช่นนั้น
“พี่รองไม่เป็นไรแล้ว อาหยาเล่าเจ็บที่ใดบ้างหรือไม่ท่านพ่อทำร้ายเจ้าหรือไม่ไหนมาให้พี่รองดูเร็วเข้า”
ลู่ชิงเยี่ยนดันกายกลมป้อมให้ห่างจนสุดแขนเพื่อสำรวจดูว่าน้องสาวถูกบิดาทุบตีต่อจากที่ตนเองหมดสติไปแล้วหรือไม่พอเห็นว่าเด็กน้อยนั้นไร้ร่องรอยขีดข่วนคนเป็นพี่สาวก็ค่อยถอนหายใจโล่งอก แต่เพียงครู่เมื่อเห็นม่านมุ้งกับเสาเตียงหรูหราก็ทราบทันทีว่าตนเองกับน้องสาวนั้นหาได้อยู่ที่จวนลู่ไท่เว่ยไม่
“ทะ…ท่านโหว”
พอหันไปเห็นอดีตว่าที่พี่เขยซึ่งนั่งทำหน้านิ่งมองตรงมาที่ตนกับเจ้าตัวกลม นางจึงรีบลนลานเร่งไถลกายลงไปจากเตียงกว้างหลังดังกล่าวทันที
“เร่งร้อนลงมาด้วยเหตุอันใดกายของเจ้าบอบช้ำยิ่งนัก ดื่มยาถ้วยนั้นแล้วนอนพักอีกหน่อยเถิด”
คนบนเก้าอี้รถเข็นซึ่งมีสภาพผ่ายผอมผิดจากครั้งสุดท้ายที่นางพบหน้าเขาบอกได้เป็นอย่างดีว่าร่วมสองเดือนที่ผ่านมาอาการบาดเจ็บของท่านโหวนั้นไม่ธรรมดาเลย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะข้ากับน้องสาวขอกลับจวนจะสะดวกใจกว่าต้องขอบคุณท่านโหวมากที่เมตตาช่วยเหลือ”
ความละอายต่อสิ่งที่พี่สาวของตนเองกระทำส่งผลให้ลู่ชิงเยี่ยนมองหน้าของเยี่ยหย่งชุนได้ไม่เต็มตาสักนิด นางอยากจากไปโดยเร็วมิต้องการสู้หน้าอีกฝ่ายไปได้เพราะลู่ถิงจือทำเขาเอาไว้ไม่น้อยจริงๆ
“เห็นทีเจ้าจะเข้าใจบางสิ่งผิดไปแล้วลู่ชิงเยี่ยน พ่อบ้านซ่งนำสมุดบันทึกรายการสินสอดมาให้คุณหนูรองลู่ตรวจสอบสักหน่อยเถิด”
หากเขาไม่ใช่วิธีนี้รับรองว่าด้วยนิสัยอย่างลู่ชิงเยี่ยนให้มาอาศัยพักพิงในจวนของเขาเกรงว่าจะยากแล้วจึงมีเพียงทางเดียวที่จะยื่นมือเข้าช่วยนางได้นั่นก็คือยกเอาหนี้สินพันชั่งมาผูกมัดนางไว้กับจวนหย่งเลี่ยงโหวของเขาเท่านั้นจึงจะสำเร็จ
“ทองคำขาดไปหนึ่งพันชั่ง!”
ใบหน้าบวมช้ำมีอันซีดเซียวเมื่ออ่านตรวจสอบมาถึงตรงบันทึกทองคำว่ามันหายไปหนึ่งพันชั่งทบทวนแล้วก็พอเท่าทันได้ว่าเป็นผู้ใดยักยอกสินสอดก้อนโตนั้นไปแล้วทิ้งความลำบากทั้งหลายให้แก่สกุลลู่ต้องรับผิดชอบหนี้สินอันมหาศาลนี้
…สวรรค์…
อย่าได้กล่าวไปถึงทองคำหนึ่งพันชั่งเลยเกรงว่าขายทั้งจวนลู่ไท่เว่ยห้าร้อยชั่งจะได้ครบหรือไม่ล้วนไม่แน่ชัด มือเรียวที่จับสมุดบันทึกสั่นระริกไปหมดแล้ว เพราะต่อให้นางกรีดเลือดหรือควักดวงตาไปขายเช่นไรหนี้สินพันชั่งนี้คงมิอาจชำระหมดโดยง่าย
“มีสองทางให้เจ้าเลือก”
เยี่ยหย่งชุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกับใบหน้าเย็นชาเช่นปกติลู่ชิงเยี่ยนจึงแน่ใจว่าที่เขาเอ่ยมานั้นล้วนจริงจังแน่นอนไม่มีการกล่าวเลื่อนลอยทั้งสิ้น
“หนึ่งเจ้ายอมแต่งเป็นเยี่ยเฉิงกั๋วกงฟูเหรินให้ข้าในอีกสามเดือนข้างหน้ากับสอง...”
น้ำเสียงเรียบนิ่งทอดอ่อนเมื่อแลเห็นใบหน้าบอบช้ำซีดเหลืองราวกระดาษเก่าพอดูแล้วกลับเป็นเขาเสียเองที่ปวดใจเมื่อนางดูทุกทรมานถึงปานนั้น
“เจ้ามาเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้ข้านับจากวันที่เจ้ารับปากและลงลายมือชื่อยินยอมเป็นต้นไป ไม่ต้องเร่งตอบข้าก็ได้ดื่มยาถ้วยนั้นแล้วนอนพักเสียอีกไม่นานน้องชายของเจ้าคงมาถึง”
มือเล็กเผลอกำสมุดบันทึกรายการสินสอดแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวซีด เยี่ยหย่งชุนโบกมือให้เกาหยางนำถ้วยน้ำยาสีเข้มซึ่งยังอุ่นอยู่ไปให้คนที่นั่งตัวแข็งค้างบนเก้าอี้ข้างเตียง
“คุณหนูรองลู่ยาขอรับ”
ครั้งแรกลู่ชิงเยี่ยนคิดจะปฏิเสธ ทว่าหันไปเห็นน้องสาวที่เกาะชายเสื้อของนางแน่นความคิดใหม่ที่ว่านางต้องมีร่างกายแข็งแรงเพื่อเป็นหลักให้น้องจึงทำให้นางตัดสินใจรับถ้วยยามาดื่มรวดเร็วหมดถ้วย นางมิอาจเย่อหยิ่งไปได้ หนึ่งคนเป็นหนี้ย่อมต้องชดใช้ต่อให้หนี้ที่กล่าวมานั้นนางมิเคยรู้เห็นสักนิดก็ตาม ทว่าช่วยไม่ได้ที่นางดันเกิดมาเป็นคนแซ่ลู่เสียแล้วคงหนีความรับผิดชอบไม่พ้น
อีกสิ่งก็คือบัดนี้ในสกุลลู่มีเพียงนางเท่านั้นที่จะเป็นหลักให้น้องสาวและน้องชายเพราะบิดานั้นนับจากกระดูกต้นขาเขาได้รับบาดเจ็บจากศึกใหญ่เมื่อหกปีก่อนจนไม่ออกสนามรบได้อีกเขาก็เอาดื่มสุรากับเข้าบ่อนช่วงแรกก็บอกว่าเล่นคลายความตึงเครียด
แต่ผ่านมาถึงวันนี้ลู่ชิงเยี่ยนมองว่าบิดานั้นไปผ่อนคลายส่วนนางกับคนในจวนลู่ไท่เว่ยล้วนพากันตึงเครียดแทนเขาไปไกลเลยทีเดียวก็เพียงกระดูกต้นขาบาดเจ็บออกรบไม่ได้นางกลับมองว่าบิดายังสามารถทำหน้าที่อื่นได้ดีมิใช่น้อยแต่พูดไปนางก็เจ็บตัวสุดท้ายเลยต้องรับทุกสิ่งมาไว้บนหัวไหล่สองข้างของตนเองแทนเช่นทุกวันนี้
คิดไปได้ไม่นานดวงตาของนางเหตุใดจึงหนักอึ้งฝืนเท่าใดกลับยากเย็นสุดท้ายลู่ชิงเยี่ยนก็โอนเอนแทบพลัดตกเก้าอี้ เกาหยางที่ถูกท่านโหวพยักหน้าให้จึงเร่งตรงเข้าไปรับกายบอบบางเอาไว้ได้ทันจากนั้นช่วยพยุงจับนางกลับขึ้นไปนอนบนเตียงโดยมีสายตาของลู่เฟยหยามองตามทุกกิริยาคล้ายระแวงภัยไม่วางใจ
“วางใจเถิดข้ามิได้คิดร้ายกับพี่รองของเจ้าหรอก นางไม่สบายเช่นนี้ข้าจึงอยากให้นางหลับให้สนิทสักหลายชั่วยามหน่อย”
ลู่เฟยหยามองบุรุษบนเก้าอี้รถเข็นนิ่ง สายตาบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อเพราะเด็กน้อยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความมากเล่ห์ดังปีศาจจิ้งจอกร้ายภายใต้ใบหน้าสงบนิ่งนั้นอย่างยิ่งจึงไม่วางใจอีกฝ่าย เพียงครู่ก็ปีนขึ้นไปนั่งเฝ้าพี่รองของนางดังลูกสุนัขตัวน้อยนอนหมอบเฝ้าผู้เป็นนาย เยี่ยหย่งชุนมองเห็นภาพนั้นก็ต้องซ่อนรอยขบขันเอาไว้แทบแย่
...โครม!...ตึง!...
“เฮ้อ!...ไท่จื่อท่านไม่อับอายเด็กหกขวบปีบ้างหรือไรประตูออกจะกว้างมิทราบว่าจะพาเด็กอ่อนคนหนึ่งปีนเข้าทางหน้าต่างให้มันได้อันใดขึ้นมา”
คน’ กระโดดข้ามหน้าต่าง’ ไม่อับอายไม่พอยังยิ้มแฉ่งแข่งกับแดดปลายยามอู่อีกด้วยช่างหน้าด้านหน้าทนผ่าเหล่าผ่ากอเกินไปแล้วเจ้าเด็กผู้นี้
“แล้วไยจึงกลับมาเร็วเช่นนี้กระหม่อมให้ไท่จื่อไปเจรจากับลู่ไท่เว่ยมิใช่หรือแล้วนี่ไปเจรจากันด้วยท่าใดเพียงไม่ถึงชั่วยามก็กลับมาพร้อมอาเย่เช่นนี้ได้”
จ้าวเจียงป๋อยังมิได้ตอบทันทีแต่เขาเดินนำเจ้าก้อนแป้งในห่อผ้าไปวางบนเตียงข้างเด็กหญิงตัวกลมแก้มแดงที่เร่งอ้าแขนออกรับห่อผ้าที่เขาอุ้มไม่นานยังล้าไปทั้งแขนแต่แม่หนูก้อนซาลาเปากลับคิดการใหญ่จะอุ้มน้องที่ตัวโตเท่าลูกหมูเห็นแล้วเขาอดใจไม่ไหวจึงดึงแก้มกลมแดงไปหนึ่งครั้งลู่เฟยหยาเจ็บจนน้ำตาคลอแต่ไม่ว่าอีกฝ่ายสักเพียงครึ่งคำเพราะดีใจที่อีกฝ่ายทำตามสัญญาพาน้องสี่ของนางนำมาส่งให้จริง
ซึ่งจากที่ดูจากรูปการณ์ที่อีกฝ่ายอุ้มเด็กน้อยลู่ฟ่านเย่มาเร็วไม่พอยังปีนหน้าต่างกลับมาอีกด้วยเกรงว่าที่ให้ไป’ คุย’ คงไม่ได้ความทว่าได้’ คน’ มาแทนจึงพออภัยให้ได้อยู่บ้าง
“เหม่ยเจียวเจ้าไปแจ้งท่านพ่อบ้านซ่งให้จัดห้องด้านข้างนี้ให้แก่คุณหนูรองลู่กับเด็กๆ ด้วย”
หันไปสั่งการกับสาวใช้ที่ยืนหน้าบึ้งตึงเห็นแล้วคิ้วของเยี่ยหย่งชุนก็ขมวดแน่นบอกชัดเจนด้วยกิริยาว่าเขาไม่พึงใจต่อการที่อีกฝ่ายมาแสดงความไม่สบอารมณ์ทั้งที่เป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่ง
“จะดีหรือเจ้าค่ะ” ดวงตาคมหันขวับกลับไปจับจ้องสาวใช้ไม่รู้จักประมาณตนตรงหน้าเต็มตาทันที
“ทุกสิ่งในจวนนี้ข้าต้องถามความเห็นของเจ้าตั้งแต่ยามใดเหม่ยเจียว ข้ามองเช่นไรหน้าของเจ้าก็มิคล้ายรูปวาดของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือส่วนคล้ายฮองเฮายิ่งมิต้องกล่าวถึง เช่นนั้นไปตักน้ำหนึ่งถังแล้วส่องดูเงาของตนเองให้ดีว่าที่แท้เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่มีสิทธิ์ใดที่จะมาออกความคิดเห็นกับข้าในจวนนี้นอกจากข้าที่ตัดสินใจทุกสิ่งได้ต่อไปก็จะมีคุณหนูรองลู่เท่านั้นส่วนเจ้า เกาหยางพานางไปรับโทษตามกฎเกณฑ์ของสาวใช้ในจวนหย่งเลี่ยวโหวเดี๋ยวนี้ เสร็จแล้วเรียกท่านพ่อบ้านซ่งมาพบข้า”
เยี่ยหย่งชุนถึงไม่ใช่นายผู้เรื่องมากก็จริงแต่หากมีสาวใช้นางใดใฝ่สูงคิดล้ำเส้นก็มักจบไม่สวยสักรายนั่นก็คือไปรับโทษตามกฏของจวนโหวอย่างสถานเบาเพราะความผิดไม่โจ่งแจ้งไปจนถึงความผิดชัดเจนแจ่มแจ้งโดยการปีนเตียงของท่านโหวอย่างไม่กลัวตายก็จะถูกขับออกจากจวนไม่พอแม้แต่เส้นทางทำมาหากินในเมืองหลวงนี้อำนาจของหย่งเลี่ยงโหวก็สามารถบันดาลให้มิอาจมีอีกต่อไปได้
คราวนี้เพียงลงโทษสถานเบาเกาหยางที่เป็นบ่าวรับใช้ชายใกล้ชิดมานานคาดว่าท่านโหวคงยังไว้หน้าท่านพ่อบ้านใหญ่อยู่บ้างหาไม่โทษโบยเป็นสิบไม้คงหนีไม่พ้นก้นและแผ่นหลังของซ่งเหม่ยเจียวเป็นแน่
“ท่านเกรงใจคนข้าเข้าใจแต่การใจอ่อนกับสตรีมักใหญ่ใฝ่สูงท่านและข้าย่อมทราบดีว่าอันใดเป็นอันใด”
จ้าวเจียงป๋อตรงมาทรุดกายลงบนเก้าอี้ข้างผู้เป็นท่านน้าเอ่ยเตือนไปพลางก็รินน้ำชาใส่ถ้วยไปพลาง ส่งให้ท่านน้าหนึ่งถ้วยแล้วจึงเทให้ตนเองดื่มดับกระหายจากการใช้กำลังภายในหาเจ้าก้อนแป้งน้อยหนีความวุ่นวายจากจวนลู่ไท่เว่ยนั้นออกมาเสียก่อน
“เจ้าก็อย่าลืมว่าเราเป็นบุรุษหากใจของเราไม่อ่อนไหวไม่กับการยั่วยวนให้ตายสตรีเหล่านั้นย่อมมิอาจข่มเหงบุรุษไปได้นี่คือความจริง เอาละไม่พูดถึงคนไร้ค่านางนั้นแล้ว เร่งกล่าวมาว่าเหตุใดจึงไป’ ขโมย’ คนมาเช่นนี้”
ถามมาถึงตรงนี้จ้าวเจียงป๋อก็โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อดินเพราะในยามแรกเขาตั้งใจจะไปเจรจาด้วยดีมิคาดเพียงเหยียบเท้าเข้าด้านหน้าประตูจวนตาเฒ่าแซ่ลู่ผู้นั้นก็กำลังอาละวาดลงโทษบ่าวในเรือนชนิดสิ้นเหตุผล ยังดีว่าเขาวรยุทธ์ขั้นแปดแล้วจึงหูว่องไวจึงได้ยินเสียงเด็กร้องแทรกมาพร้อมกับเสียงด่าทอเสียงทุบข้าวทุบของ
จึงเร่งแอบเร้นกายเข้าไปภายในดังโจรร้ายแล้วก็ได้พบภาพเด็กตัวกลมน้องร้องได้จ้าอยู่ในเปลเห็นแล้วเลยเดาเอาว่าเจ้าตัวกลมคงเป็น’ อาเย่’ ของลู่เฟยหยาเป็นแน่จึงอุ้มแล้วปีนหนีออกมาไม่อยากไปเจรจากับบิดาผู้ไม่เอาไหนรอให้ถึงพรุ่งนี้เขาจึงส่งทหารพระธรรมนูญไปรับตาเฒ่านั้นไปเข้าคุกทหารต่อไปซึ่งคาดว่าจนถึงป่านนั้นลู่เหวินซานอาจจะยังไม่ทราบเลยว่าบุตรชายคนเดียวหายไป
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละท่านน้า ข้าไม่ได้อยากเป็นโจรเป็นขโมยแต่ให้ไปถกเถียงยื้อแย่งกับคนไม่เอาไหนเช่นนั้นเกิดข้าบันดาลโทสะตบตีคนแก่ไปคงชวนอับอายยิ่งกว่าไปขโมยเจ้าอ้วนลู่ฟ่านเย่มาเป็นแน่”
ฟังจบเยี่ยหย่งชุนก็เผลอถอนหายใจเสียงดังมิคาดว่าเวลาไม่กี่ปีทหารดีผู้หนึ่งเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้หรือบางที...ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเปลี่ยนเพียงแต่ผู้คนภายนอกไม่เคยมองเห็นสันดานแท้จริงนี้ของลู่ไท่เว่ยมาก่อนก็เท่านั้น...
“เห็นทีข้าต้องรายงานเสด็จพ่อถึงเรื่องนี้บ้างแล้ว”
“ไท่จื่อคิดว่าทุกสิ่งในแผ่นดินต้าหยวนนี้จะหลุดรอดสายตาของฝ่าบาทได้นานเพียงใดกันเล่า?”
“แล้วหากเสด็จพ่อทรงทราบไยจึงยังเก็บเขาไว้อย่างน้อยก็สมควรยึดคืนตำแหน่งไม่เว่ยเสีย”
“เรื่องเหล่านี้ละเอียดอ่อนนักพ่ะย่ะค่ะไท่จื่อ การที่ฮ่องเต้ประทานยศให้แก่ผู้ใดมิใช่ประทานวันนี้พรุ่งนี้จะสามารถเรียกคืนได้ เพราะหากทำเช่นนั้นก็มิเท่ากับยอมรับว่าตนเองสายตาไม่ยาวไกลพอมองคนไม่ขาดยกตำแหน่งให้คนชั่วหรอกหรือ?”
“เฮ้อ!...เป็นฮ่องเต้นี้ช่างยากเย็นเกินไปแล้ว”
มือข้างซึ่งไม่บาดเจ็บตบลงบนหัวไหล่แกร่งของหลานชายอย่างไม่มีคำใดจะเอ่ยขัดอีกฝ่ายเพราะที่เขากล่าวมานั้นไม่ผิดการจะเป็นนายคนนั้นไม่ยากแต่การเป็นนายคนที่ดีนั่นต่างหากที่ยากเย็น เช่นเขาในวันนี้ที่จริงอยากลงโทษซ่งเหม่ยเจียวให้สาแก่ใจตนเอง แต่คำว่าเป็นนายคนต้องมากคุณธรรมก็ค้ำคอเขาเอาไว้แน่นมิอาจขับไล่อีกฝ่ายไปพ้นจวนโดยมีความผิดเพียงโต้แย้งความคิดของเขาไปได้
...เอาเถิดคราวนี้เขาจะอ่อนข้อให้สักครั้งทว่าหากมีอีกคำว่าปรานีย่อมไม่มีครั้งที่สองอีกเป็นแน่!...