ตกเข้ากลางดึกคืนนั้นฝนตกหนักแต่ลู่ชิงเยี่ยนยังไม่ได้หลับได้นอนเพราะกำลัง
อ่านตำราที่เมื่อวันก่อนนั้นลุงกู้นั้นบอกให้นางนั้นลองศึกษาเอาไว้หากคิดจะขยายร้านขายโลงศพให้เติบโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อยเพราะตอนนี้ยังไม่มีต้นทุนเปิดหน้าร้านทำได้เพียงต่อโลงศพแล้วขายโดยตรงผ่านท่านลุงกู้ที่เป็นสัปเหร่อของสุสาน
ที่นางให้เขาลงแรงส่วนนางเป็นผู้ลงทุนแต่บัดนี้ทุนของนางยังมีไม่มาก ถึงขนมบ๊ะจ่างจะขายดีแต่ก็กำไรน้อยไหนจะต้องแบ่งบางส่วนให้ครอบครัวของท่านพ่อบ้านถง ไหนจะซื้อกินเลี้ยงปากท้องคนถึงแปดชีวิตนางขายเพียงขนมย่อมไม่พอยังดีมีกำไรจากการขายโลงศพมาช่วยไม่น้อยนางลงทุนไปร้อยสามสิบตำลึงแต่เมื่อวานครบเดือนนำกำไรมาแบ่งกันแล้วยังได้มาถึงสามร้อยแปดสิบห้าตำลึง
นับว่ากำไรงามไม่น้อยแล้วการค้านี้ก็แทบไม่มีคู่แข่งพูดคุยหารือกับท่านลุงกู้แล้วนางจึงอยากขยายกิจการนอกจากขายโลงศพนางก็อยากรับจัดพิธีศพด้วยถึงนางจะวางมือจากการแต่งหน้าศพด้วยตนเองแต่ถงเซิงบุตรชายคนเล็กของท่านพ่อบ้านถงกับว่าเขาใจกล้าทำงานกับศพคนตายได้ดีไม่เลวจึงพอจะฝากความหวังเอาไว้กับเด็กหนุ่มได้อยู่บ้าง
หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานับว่ายากมันก็ยากแต่เพราะนางเริ่มทำงานเก็บเงินรับผิดชอบชีวิตและปากท้องของตนเองเงียบๆ มาตั้งแต่วัยแปดปี พอมาถึงวันนี้นางต้องเผชิญศึกใหญ่หลวงตรงหน้าเพียงลำพังสิ้นบิดาไร้ผู้ใหญ่หนุนหลังนางจึงไม่หวาดกลัวกลับยืนหยัดสู้ไม่ท้อถอยได้เช่นนี้
“ใบชาช่วยดับกลิ่นได้เช่นนั้นหรือ?”
สะดุดตาตรงใบชาเด็กสาวจึงลุกขึ้นไปค้นหาตำราเกี่ยวกับใบชามาอ่านตรงสรรพคุณของใบชาแต่อ่านไปได้เพียงหนึ่งหน้าลู่ฟ่านเย่ก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อนชีวิตของเด็กสาววัยสิบหกปีที่ต้องเลี้ยงเด็กอ่อนทั้งที่ลู่ชิงเยี่ยนเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าใกล้ที่สุดก็คือเด็ก หากแต่หนึ่งเดือนกว่าผ่านมานางต้องดูแลเด็กถึงสองคนนับว่าไม่ง่ายเลย
“ว่าอย่างไรเล่าอาเย่? ฉี่หรืออึ หรือเจ้าหิวกันเจ้าก้อนแป้งน้อยของพี่รอง”
ลู่ชิงเยี่ยนเร่งวางตำราลุกไปดูเด็กน้อยบนที่นอนก็พบว่าก้นของเขาเปียกแสดงว่าเขาฉี่นั่นเอง เด็กสาวจึงจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาแล้วเตรียมนอนตบก้นให้เขาหลับต่อ ทว่าเขาเด็กน้อยวัยสามเดือนกลับนอนลืมตาแป๋วคาดว่าอีกนานจึงหลับลงก็พอจะมองเห็นหนทางที่นางจะอ่านตำราศึกษาหนทางทำกินตีบตันในทันที
“พี่รอง...”
พอเตียงขยับลู่เฟยหยาจึงงัวเงียตื่นขึ้นมาบ้าง เพราะนับตั้งแต่เด็กน้อยทั้งสองถูกมารดาของพวกเขาทิ้งไปลู่ชิงเยี่ยนนั้นก็รับเอาเด็กน้อยมานอนกับตนเองถึงการดูแลเด็กอ่อนจะไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนนางทำไม่ได้ยิ่งน้องสาวและน้องชายรู้จักเจียมตนทำตัวเป็นเด็กน่ารักทั้งคู่จากที่เป็นคนไม่ชอบเด็กเข้ากระดูกวันนี้ลู่ชิงเยี่ยนกลับเป็นพี่เลี้ยงทั้งเด็กอ่อนและเด็กกำลังซนได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“นอนเถอะอาหยาเดี๋ยวพี่รองดูแลอาเย่เอง”
นางหันไปตบก้นอีกฝ่ายให้หลับต่อไปแล้วจึงหันมาอุ้มเจ้าก้อนแป้งฟ่านเย่ขึ้นจากเตียงลงไปนั่งอ่านตำราด้วยกันแต่เจ้าตัวกลมคงหิวจึงดึงผมของนางไปแทะเสียแล้วเดือดร้อนให้นางต้องคิดว่าในห้องครัวยังพอจะหาสิ่งใดให้ก้อนแป้งตัวนุ่มพอจะกินได้บ้างขึ้นมาทันที
“หิวหรือ กินโจ๊กดีหรือไม่?”
เพราะลู่ฟ่านเย่นั้นสามเดือนกว่าแล้วจึงเริ่มกินโจ๊กได้แต่จะกินโจ๊กได้นางต้องไปอุ่นในห้องครัวใหญ่มองไปบนเตียงเกรงว่าลู่เฟยหยาตื่นขึ้นมาไม่พบใครจะเสียขวัญแต่จะปลุกเด็กน้อยก็สงสาร ทว่าไม่ปลุกก็กลัวน้องสามจะร้องไห้อีกจึงตัดสินใจปลุกนางขึ้นมาสอบถามเสียหน่อย
“อาหยา...อาหยา”
“อื้อ...พี่รอง”
เด็กน้อยตื่นง่ายไม่ต้องปลุกกันนาน กายกลมป้อมลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาแล้วมองพี่รองด้วยสายตากังขาว่าปลุกตนเองขึ้นมาทำไมกันยิ่งด้านนอกฝนกำลังลงเม็ดหนักบรรยากาศจึงชวนหลับใหลไม่น้อย
“อาเย่หิว เจ้าจะตามพี่รองกับอาเย่ไปหรือจะนอนผู้เดียวรอที่ห้องนี้ไปก่อนเล่าอาหยา?”
กายกลมป้อมที่ในยามแรกยังนั่งง่วงงุนกลับกระเด้งกายเร่งกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียงกระโดดลงมายืนที่พื้นห้องรวดเร็วจนลู่ชิงเยี่ยนยังขบขัน คิดในใจว่านางนั้นทำถูกแล้วที่ปลุกน้องคนที่สามหาไม่หากเสียงฟ้าร้องดังแล้วลู่เฟยหยาตื่นเองคงได้ร้องไห้จนน่าสงสารมากเป็นแน่
ดังนั้นต้นยามจื่อแล้วแต่สามพี่น้องแซ่ลู่ยังวุ่นวายอุ่นโจ๊กอยู่ในห้องครัวใหญ่กันเพียงลำพังเพราะท่านป้าชุนเหนียงและครอบครัวลู่ชิงเยี่ยนอนุญาตให้พวกเขาไปพักผ่อนไม่ต้องมานอนเฝ้าประจำห้องครัวอยู่เสนอเช่นเดิมที่มีลู่ฮูหยินอยู่
“อาหยาอยากกินกับอาเย่หรือไม่”
“เอาเจ้าค่ะ”
กว่าน้องสองคนจะกินอิ่มก็ดึกเลยยามจื่อไปแล้ว ตกลงคืนนั้นลู่ชิงเยี่ยนก็ไม่ได้อ่านตำราดังตั้งใจเพราะพาลู่ฟ่านเย่นอนนางนั้นก็หลับตามไปด้วยเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่เผชิญมาทั้งวันจนค่อนคืนจึงทานทนไม่ไหวก็นอนกอดกันกลมทั้งสามคนพี่น้องหลับไปพร้อมกันอีกหนึ่งคืน...
แล้ววันใหม่มาเยือนกุ้ยช่ายไส้เผือกไส้มันกับไส้หน่อไม้ก็ถูกห่อและนึ่งนำไปวางขายให้คนมาชิมขนมฝีมือแม่นางน้อยคนงามกับน้องสาวตัวน้อยที่ปากหวานเสียงหวานร้องขายขนมไม่มีเขินอายหรือหวาดกลัวผู้คน แต่แล้วเหมือนเคราะห์กรรมของสองศรีพี่น้อง
มิทราบได้ว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้นร้อยวันพันปีลู่เหวินซานเขาไม่เคยก้าวเข้ามาในตลาดเหวินซ่างตรอกนี้ ทว่าวันนี้เขามือขึ้นมาทั้งคืนจึงคิดซื้อของไปฝากลู่ฮูหยินของตนเองเป็นการง้องอนที่เดือนก่อนเขาและนางมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงเรื่องหนี้สินและเหล่าคนงานในจวนพากันหลบหนีหายไปหมด
แล้วด้วยเสียงแจ๋วที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่ข้างหน้าร้านขายเนื้อหมูก็สะดุดหูของลู่ไท่เว่ยเข้าอย่างจังจากที่คิดว่าจะเดินเลยไปที่ร้านขายผ้าซื้อผ้าไหมที่ภรรยาของตนเองชอบสะสมไปเอาใจสักหน่อยเลยต้องเบนทิศทางไปยังที่มาของเสียงทันที
“บ๊ะจ่างอร่อยๆ มาแล้วนะจ๊ะ วันนี้เรามีขนมกุ้ยช่ายถึงสี่ไส้ให้ได้เลือกชิมอีกด้วย ท่านป้าเชิญแวะทดลองชิมก่อนจ้ะเชิญนะจ๊ะ...เชิญชิมกันก่อน ร้อนๆ เลยจ้ะ”
เดี๋ยวนี้ลู่ชิงเยี่ยนั้นแทบไม่ต้องร้องเรียกลูกค้าเพราะมีลู่เฟยหยาทำหน้าที่เรียกลูกค้าได้ดีกว่านางซึ่งบัดนี้ท่านน้าเฉาเจ้าของแผงขายเนื้อหมูกับท่านป้าจูนั้นใจดีเมตตานางกับอาหยาจึงขยับแบ่งที่ตรงกลางให้นางสามารถตั้งแผงเล็กๆ วางขายบ๊ะจ่างและวันนี้ก็เพิ่มขนมกุ้ยช่ายขึ้นมาอีกสี่ไส้
ขายมาร่วมครึ่งชั่วยามทุกอย่างก็ใกล้หมดลู่ชิงเยี่ยนจึงอิ่มเอมใจไม่น้อยแล้วก็คิดว่าวันนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วยามจึงวางแผนว่าจะซื้อข้าวของแล้วให้เสี่ยวจางกับเสี่ยวลี่นำกลับจวนไปก่อนส่วนนางจะไปรับจ้างเถ้าแก่เนี้ยอวี่คัดแยกใบชาที่ร้านขายใบชาอวี่ฟ่งเสียหน่อยนางอาจจะได้เคล็ดลับของสรรพคุณใบชามาเสริมความรู้ด้านการถนอมศพและระงับกลิ่นได้บ้าง การค้าไม่ว่าอันใดหากเราหยุดคิดสร้างสวรรค์เพียงหนึ่งเค่อก็เสียเปรียบคู่ต่อสู้ไปแล้วหลายขุม
“ลู่...ชิง...เยี่ยน!”
...เฮือก!...
“ทะ...ท่านพ่อ...”
“ใช่เป็นข้าเองลู่ไท่เว่ยบิดาของเจ้า งามหน้ายิ่งนักบุตรีในลู่ไท่เว่ยมาร้องขายขนมอยู่กลางตลอดนางลูกอกตัญญู!!!”
...เผียะ!...เผียะ!...เผียะ!....
“กรี๊ด!...ท่านพ่อ!...อย่าตีพี่รอง!...กรี๊ด...!!!”
มิคาดยังไม่ทันได้ตั้งตัวลู่เหวินซานก็พุ่งตรงเข้าไปตบตีเด็กสาวตัวบอบบางแทบปลิวลมไม่ออมแรงกายอรชรถึงกับกระเด็นลงไปกองที่พื้นกลางถนน แต่บุรุษร่างกายกำยำกลับไปปรานีตามลงไปจิกเส้นผมแล้วฟากฝ่ามือตบลงไปจนลู่ชิงเยี่ยนเจ็บจนร้องไม่ออกสำลักเลือดออกมา
หากแต่ลู่เหวินซานเห็นลูกสาวตนเองได้เลือดจะตกใจแล้วหยุดทำร้ายก็หาไม่ยังตบซ้ำไปอีกหลายฉาดจนคล้ายเด็กสาวจะหมดสติเขาจึงปล่อยมือทว่าเตรียมยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปบนร่างที่นอนยับเยินอยู่ที่พื้นอาเฉาเจ้าของแผงขายเนื้อหมูจึงพุ่งเข้าไปขวางพร้อมมีดชำแหละเนื้อคมแวววาวขาวคมกริบ
ลู่เหวินซานจึงชะงักไป แต่พอหันไปเห็นอาหยายืนร้องได้ตัวสั่นอยู่ก็พุ่งตรงไปเตรียมจะตบให้หายโมโหที่เจ้าลูกชั่วทั้งสองมาทำสิ่งน่าอับอายขายหน้าที่สุดในชีวิตของตนเองเช่นนี้
...เผียะ!...หมับ!...
“นางเพียงเด็กหกปีขวบปีเท่านั้นไม่ทราบว่าลู่ไท่เว่ยจะอำมหิตกับสายเลือดของตนเองเกินไปหรือไม่? !”
มิคาดฝ่ามือแกร่งจะยังไม่ทันได้สัมผัสผิวแก้มเนียนนุ่มของเด็กน้อยกลับมีมือแกร่งที่ขาวสะอาดและเรียวยาวอย่างคนมีชาติตระกูลจะมารับเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ทะ...ไท่จื่อ!”
ใบหน้าที่แดงก่ำดังกวนอูเมื่อครู่พลันซีดขาวยิ่งกว่าผ้าดิบห่อศพขึ้นมาทันใดเมื่อลู่เหวินซานแลเห็นว่าเป็นผู้ใดที่มาจับข้อมือของเข้าแล้วเอากายของตนเองบดบังกายกลมป้อมของบุตรสาวลำดับที่สาวของเขาเอาไว้จนมิด
“ถูกต้อง เป็นเปิ่นไท่จื่อเอง ดีใจเสียจริงที่ลู่ไท่เว่ยยังมีดวงตาที่ดีจดจำเปิ่นไท่จื่อได้ดีเช่นเดิน ซุนจื่อประคองคุณหนูลู่คนรองขึ้นมาจากพื้นเดี๋ยวนี้”
ใบหน้างดงามที่คล้ายไปทางมารดามากบิดาของจ้าวเจียงป๋อบัดนี้ดำมืดราวท้องฟ้าใกล้พายุใหญ่จะเทกระหน่ำ ขนาดซุนจื่อก็นับว่าเป็นคนคุ้นเคยขององค์ไท่จื่อมาเป็นสิบปีสักครั้งยังไม่เคยพบเห็นเขาโกรธผู้ใดได้เท่านี้มาก่อนเลย พอจ้าวเจียงป๋อเห็นว่าที่ท่านน้าสะใภ้ถูกซุนจื่อประคองลุกขึ้นมายืนได้เขาจึงหันไปอุ้มคนตัวกลมที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นชวนสงสารขึ้นมาบ้างราวจะปกป้องจากภัยจากบิดาสารเลวตรงหน้าไปในตัว
“มิทราบว่าพวกนางผิดอันใดลู่ไท่เว่ยจึงลงมือกลางตลาดไม่อับอายผู้คน”
“นั่นสิอาหยากับอาเยี่ยนผิดอันใดพวกนางสองพี่น้องขยันขันแข็งหากข้ามีบุตรสาวเช่นนี้คงภูมิใจจนกล้าจะเดิดเชิดหน้าอวดคนทั่วตลาดเสียเป็นแน่”
เป็นเจ้าแก่เฉาร้านขายเนื้อหมูที่เอ็นดูเด็กสองคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่อาเยี่ยนและอาหยานั้นเอาบ๊ะจ่างมาเดินแจกให้ชิมฟรีนั่นแล้วเอ่ยถามออกไปเช่นกัน เท่าที่ฟังอีกฝ่ายคงเป็นบิดาที่มียศตำแหน่งไม่น้อยแต่กลับแสดงกิริยาต่ำช้ามาตบตีบุตรสาวไม่ไว้หน้ากลางตลาดใหญ่เช่นนี้
“ไท่จื่อคุณหนูรองลู่นางหมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่จะเกิดศึกน้ำลายกลางตลาดซุนจื่อเอ่ยขัดขึ้นมากลางปล้องเพราะลู่ชิงเยี่ยนที่ถูกตบตีย่อยยับหมดสติไปเสียแล้ว
“เร่งพากลับจวนหย่งเลี่ยงโหว ส่วนท่านกลับไปนอนทบทวนสักคืนว่าตนเองทำลงไปนั่นถูกต้องหรือไม่แล้วพรุ่งนี้เปิ่นไท่จื่อจะให้ทหารพระธรรมนูญไปรับท่านเข้าเรือนจำของกรมกลาโหมเพื่อธำรงวินัยที่ท่านกระทำตนมิเหมาะสมวันนี้ที่กลางตลาด”
หากในยามแรกที่ลู่เหวินซานเห็นบุตรสาวทั้งสองมายืนร้องขายขนมทำตนเป็นชนชั้นต่ำว่าอับอายมากแล้วบัดนี้ถูกองค์ไท่จื่อประกาศโทษกลางตลาดเขาถึงกับอับอายจนแทบปลิดชีพตนเองเสียแล้ว
“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะไท่จื่อท่านจะพาบุตรสาวทั้งสองของกระหม่อมไปที่ใด”
มุมปากงดงามของจ้าวเจียงป๋อโค้งสูงขึ้นทว่ารอยยิ้มนั้นกลับมิได้งดงามหากแต่มันกลับดูน่ากลัวราวปีศาจร้ายเสียมากกว่า
“อดีตพวกนางคือบุตรสาวของท่านทว่า...พอถึงวันหนึ่งพวกนางย่อมมีบุรุษที่จะดูแลพวกนางต่อจากบิดาเช่นท่านและ...วันนี้ลู่ชิงเยี่ยนนางมีหย่งเฉิงกงที่จะรับนางไปดูแลต่อจากท่านแล้วส่วนสาวน้อยผู้นี้...เปิ่นไท่จื่อจะรับนางเป็นสตรีของเปิ่นไท่จื่อต่อจากท่านเอง ไปซุนจื่อกลับจวน!”
กว่าลู่เหวินซานจะตั้งสติได้ก็เมื่อขบวนของไท่จื่อแห่งต้าหยวนก็หายลับสายตาไปเสียแล้วหันมองรอบกายก็พบแต่สายตาชิงชังไม่เป็นมิตรเขาจึงจำต้องปึงปังเร่งกลับจวนไปสอบถามเอากับลู่ฮูหยินว่าเหตุใดจึงหย่อนยานปล่อยให้บุตรสาวทั้งสองมาสร้างเรื่องงามหน้าเช่นนี้ได้
โดยมิทราบเลยว่าในวันนั้นเพียงเขาก้าวออกพ้นประตูจวนลู่ฮูหยินก็จากไปแล้วเช่นกัน และไม่ได้จากไปเพียงแต่ตัวยังจากไปพร้อมทองคำพันชั่งที่ยักยอกเอาไว้จากสินสอดทั้งหมดที่เขากำชับนักหนาให้คืนกลับจวนหย่งเลี่ยงโหวไปให้หมดอีแปะเดียวก็ห้ามขาด!
...อนิจจาคนเรานั้นหากเลือกหันหน้าเดินลงสู่หนทางตกต่ำก็เกรงว่ายากนักจะป่ายปีนขึ้นมาได้โดยง่าย...