หลังจากเยี่ยฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักเยี่ยหย่งชุนนั้นจึงเรียกหาคนสนิทเช่นซุนจื่อให้มาพบเพื่อคิดสอบถามความสืบหน้าของงานที่เคยมอบหมายให้อีกฝ่ายไปทำก่อนที่ตนเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการสืบข่าวกับการถวายอารักขาฮ่องเต้ ฮองเฮาและองค์ไท่จื่อเป็นหลัก
“เรื่องอารักขาตำหนักบูรพาเพิ่มกำลังคนเข้าไปอีกนะอาจื่อเจ้าต้องอย่าเปิดโอกาสให้ฝ่ายองค์ชายเจ็ดลงมือได้ฝ่ายองค์ชายแปดก็อย่าประมาท”
เพราะองค์ชายทั้งห้าที่น่ากลัวไม่ใช่องค์ชายรององค์ชายสามหรือองค์ชายเก้า ทว่าเป็นองค์ชายแปดกับองค์ชายเจ็ดนั่นต่างหากคือตัวร้ายที่กินลึกสะสมอำนาจอย่างเงียบเชียบมิใช่เสเพลไปวันๆ เช่นสามที่น้องจ้าวเยี่ยนจือ จ้าวอู่ถง และจ้าวเจียงหรง
ตรวจดูรายงานอีกครู่หนึ่งเยี่ยหย่งชุนจึงวงกลมลงไปตามจุดที่เขาต้องการให้เพิ่มกำลังของทหารองครักษ์ รักษาพระองค์ของไท่จื่อจ้าวเจียงป๋อบนแผ่นแผนที่ในมือโดยมีซุนจื่อค่อยยืนรับคำสั่งด้วยกิริยาเคร่งขรึมจนผ่านไปครู่ใหญ่งานต่างๆ ก็เสร็จสิ้นทุกสิ่งในหน้าที่ของ’ หัวหน้า’ กององครักษ์’ ฉีหงเซ่อ’ (กิเลนแดง) ที่รับคำสั่งโดยตรงจากองค์ฮ่องเต้แม้แต่องค์ชายหรือไท่จื่อเองยังไม่อาจก้าวก่ายงานในหน้าที่นี้ของเยี่ยหย่งชุนไปได้นอกจากฮ่องเต้เพียงเท่านั้น
“ช่วงนี้ด้านจวนลู่ไท่เว่ยเป็นอย่างไรแล้วบ้างอาจื่อ”
เมื่อเสร็จงานก็ต้องสอบถามถึงคนในใจสักหน่อยเพราะห่วงใยนางเหลือเกินลู่ชิงเยี่ยนนั้นออกจะรักพี่สาวเช่นลู่ถิงจืออย่างยิ่งด้วยไม่เคยรู้ความคิดชั่วของอีกฝ่ายซึ่งเขาไม่อยากเปิดเผยออกไปให้นางผิดหวังในเมื่อคนก็ตายไปแล้วย่อมไม่มีทางมาทำอันตรายอันใดคนของเขาได้อีก
“เรียนท่านโหวหลังจากฝังศพคุณหนูใหญ่ลู่ได้เจ็ดวันทางลู่ไท่เว่ยก็ส่งสินสอดทั้งหมดคืนมาที่จวนโหวเรียบร้อยแล้วขอรับ” ซุนจื่อผู้ไม่รู้ใจผู่เป็นนายก็รายงานไปอีกทางทำเอาเยี่ยหย่งชุนแอบทำคิ้วตึง
“เรื่องสินสอดช่างเถิดข้าต้องการทราบว่าคนเป็นอย่างไรกันบ้าง” เขายังคงถามอย่างรักษากิริยาเพราะคิดว่ามือขวาของตนย่อมฉลาดปราดเปรื่องไม่ธรรมดา
“เรียนท่านโหวหลังจากคืนสินสอดแล้วฐานะทางการเงินของจวนลู่ไท่เว่ยจึงสั่นคลอนอย่างยิ่งทำให้อนุภรรยารองและอนุภรรยาสี่ได้หอบข้าวของทอดทิ้งบุตรหนีไปกับชายชู้ในอีกสามวันให้หลังขอรับ”
“...” ทว่ามิคาดเขาจะโง่เขลาในเมื่อมิสมควรโง่ไปเสียได้เยี่ยหย่งชุนจะพูดก็พูดไม่ออกไปแต่นั่งกลอกดวงตาไม่มาบนเตียงอย่างจนปัญญาเป็นที่สุด
“หรือท่านโหวหมายถึงลู่ฮูหยินขอรับ หากเป็นลู่ฮูหยินนางเองก็จากไปแล้วเช่นกันขอรับนางอ้างว่ามิอาจรั้งอยู่ที่จวนลู่ไท่เว่ยได้เพราะหันไปก็เห็นแต่เงาของบุตรสาวจึงขอกลับไปบ้านเดิมขอรับ”
“...”
คราวนี้ซุนจื่อถึงกับเกาข้างแก้มด้วยเริ่มตกประหม่าที่’ ท่านโหว’ ผู้เป็นนายของเขายังนั่งนิ่งกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายยังไม่พึงใจคำตอบที่เขารายงานออกไปด้วยตลอดมาท่านโหวจะมีกิริยาเช่นนี้ก็ต่อเมื่อเขานั้นไม่พึงใจบางสิ่งอย่างรุนแรงเท่านั้น
“ต้าเกอท่านก็อย่าอ้อมค้อมอีกเลยซุนจื่อเขามิใช่คนมากปัญญาเช่นข้าสักหน่อย หากท่านต้องการถามถึงคุณหนูลู่คนรอง ท่านก็บอกเขาไปเลยว่าเรื่องของลู่ชิงเยี่ยนช่วงนี้นางอยู่อย่างไรสบายดีหรือไม่มีผู้ใดรังแกนางไหม”
“...”
คราวนี้ที่นิ่งไปกลับเป็นซุนจื่อบ้างแล้ว แต่มิอาจทราบได้ว่าเขานิ่งไปนั้นตกใจที่จู่ๆ องค์ไท่จื่อก็กระโดดพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างหรือว่าเขาคาดไม่ถึงต่อคำตอบของไท่จื่อกันแน่
“ตำหนักบูรพานั้นไม่มีหน้าต่างให้พระองค์ปีนหรือไท่จื่อจึงชมชอบเอาแต่มาปีนหน้าต่างที่เรือนของกระหม่อมเช่นนี้?”
...ฮาด...ชิ๊ว!...
“อย่าเพิ่งด่าต้าเกอขอข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์สักครู่แล้วจะเร่งกลับมานั่งให้ท่านด่าจนเหนื่อยที่เดียว อ้อหากเจ้าออกไปด้านนอกช่วยแจ้งท่านพ่อบ้านซ่งขอซุปน้ำขิงให้ข้าสักถ้วยเถิด”
กล่าวจบกายที่อาภรณ์นั้นเปียกชุ่มก็หายไปทางหลังฉากกั้นปล่อยให้สองนายและบ่าวมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างลำบากใจทั้งสองฝ่ายไม่กล้าเอ่ยปากกันไปครู่หนึ่งสุดท้ายเยี่ยหย่งชุนทนความอยู่รู้ไม่ไหวจึงต้องเอ่ยปากขึ้นมาก่อนอย่างไม่เคยเสียหน้ารุนแรงต่อหน้าลูกน้องมาเช่นครั้งนี้เลย
“อะแฮ่ม!...คุณหนูรองลู่นางเป็นเช่นไรบ้างนับจากที่พี่สาวของนางจากไป”
กล่าวถามออกไปแล้วก็แสร้งเมินมองออกไปนอกหน้าต่างที่ใบหูสองข้างก็แดงก่ำชัดเจนเห็นแล้วบุรุษชาตินักรบเช่นซุนจือก็ชักจะลำบากใจหน้าต่อิหลักอิเหลื่อเหมือนกลืนยาขมไปสักแปดหม้อก็มิปาน
“อะแฮ่ม!คือ...คือ...คุณหนูรองลู่ก็...ก็สบายดีขอรับ”
เคยแต่ตามสืบคนร้ายตามสืบเหล่าคนชั่วหรือคนที่มีผลได้ผลเสียกับงาน ทว่าองครักษ์เช่นเขาเกิดมายี่สิบหกหนาวสักครั้งต้องตามสืบเรื่องของสตรีซุนจื่อล้วนไม่เคยสักครั้งจึงรายงานแสนสั้นทำเอาเยี่ยหย่งชุนก็ถามต่อไปไม่ถูก ทำเอาจ้าวเจียงป๋ออยากหัวเราะก็ไม่ไหวจะร้องไห้ก็ไม่ถูกเพลียใจกับทั้งนายและบ่าวคู่นี้อย่างยิ่ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปสืบมาว่านอกจากนาง’ สบายดี’ นั้นหนึ่งวันนางกินข้าวกี่มื้อไม่สิหนึ่งมื้อนางกินข้าวกี่เม็ดดื่มน้ำกี่คำพูดกับใครบ้าง เอาโดยรวมเจ้าจงไปสืบมาดังกับนางคือคนสำคัญ...สำคัญเท่าฮ่องเต้เท่านี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ซุนจื่อ”
อดไม่ไหวเกรงว่าปล่อยนานต่อไปกว่าท่านโหวนั้นจะหายดีพอที่จะไปตามสืบความเคลื่อนไหวของสาวเจ้าได้ด้วยตนเองลู่ชิงเยี่ยนนางอาจแต่งงานจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวไปเสียเป็นแน่จึงโผล่ศีรษะมาช่วยสั่งการองครักษ์คนซื่อเสียเอง
“รู้มาก”
มิคาดจะถูกสนองคืนเป็นคำด่าจากผู้เป็นท่านน้าไปเสียได้ หึ!น่าจะปล่อยให้หนึ่งทึ่มกับหนึ่งทื่อคุยกันเองเสียก็ดีหรอกไม่น่าออกหน้าให้เจ็บหนังหน้าฟรีเลยเจียงป๋อเอ๊ย...
“ต้าเกอท่านต้ององอาจและผ่าเผยกว่านี้หากคิดจีบสตรีสักนาง”
กายสูงใหญ่ทรุดลงหน้าเตียงคนป่วยพร้อมมีผ้าผืนโตเช็ดผมไปด้วย เพราะต้องปีนหลบคนของพระมารดาอยู่ครึ่งชั่วยามเปียกปอนไปทั้งตัวเลยจามเสียงดังสนั่นอยู่เป็นระยะแต่ก็ไม่หยุดยุ่งเรื่องของ’ ท่านน้า’ ไปได้
“มานั่งอบรมข้า แล้วตัวของเจ้าเคยจีบสตรีหรือไรเจียงป๋อ”
คนถูก’ อบรม’ เรื่องไม่เป็นเรื่องในความคิดของเขาผู้เดียวถึงกับนั่งหน้าดำเป็นก้นหมอลืมขัดสักสามปีเห็นแล้วจ้าวเจียงป๋อก็ให้ขบขันยิ่งนัก เพราะท่านน้าของเขานั้นเก่งรอบด้านไม่ว่าจะบุ๋นหรือบู๊ทว่ามิคาดพอเห็นเรื่องสตรีจนเก่งและแกร่งก็หมดสภาพสิ้นลายพยัคฆ์ทันที
“เพราะตัวของเปิ่นไท่จื่อนี้รูปงามทิ้งเพียงหางตาก็ตามมาเป็นขบวนแล้ว”
“แน่ใจนะว่าเป็นสาวงามมิใช่สุนัขทั้งฝูงไล่ฟัดอาภรณ์คิดฉีกทึ้งเนื้อของเจ้า”
“จิ๊...ต้าเกอ....ท่านอย่าชักใบให้เรือเสียได้หรือไม่ ภรรยาน่ะท่านยังอยากแต่งให้แต่สตรีนามลู่ชิงเยี่ยนหรือไม่”
จ้าวเจียงป๋ออยากกระโดดขึ้นไปบีบคอคนป่วยยิ่งนักเรื่องขัดขาขัดคอคนนี้ละช่างเก่งกาจยิ่งนักเรื่องจีบสาวกลับไร้แก่นสารเป็นที่สุด
“ใครบอกเจ้ากันว่าข้าอยากแต่งนางมาเป็นภรรยาดูสภาพร่างกายของข้าเสียก่อนจะพิการหรือไม่อาจรู้แจ้งยังจะไปคิดตบแต่งนางมาร่วมชีวิตได้อยู่อีกหรือ?”
นี่คือความคิดที่ตบตีกันยุ่งอยู่ในหัวของเยี่ยหย่งชุนมาหลายวัน เขาเกรงว่าตนเองพิกลพิการจะดีไม่พอสำหรับนาง หากเป็นเช่นนั้นสู้เขาอยู่ตรงนี้มองนางอยู่ในที่ของตนเองคอยดูแลคอยปกป้องนางอยู่ห่างๆ ย่อมดีกว่า ทว่าเพียงคิดว่าในท้ายที่สุดนางก็ต้องแต่งงานออกเรือน แล้วในวันนั้นเขาจะทนได้หรือ? ...
...คำตอบมิต้องรอนานมันก็ดังขึ้นมาว่า...ไม่!...
“ต้าเกอ...ถามใจท่านดูเถิดว่าหากนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปตบแต่งให้บุรุษอื่นท่านจะทานทนไหวไม่เสียใจจนเจียนคลั่ง หากท่านตอบตนเองได้นั่นแหละคือความในใจที่ต้องยอมรับ หลายเดือนก่อนท่านเกือบพลาดแต่งงานเอาภรรยาผิดคนเข้าเรือน ครั้งนี้สวรรค์เมตตาให้โอกาสท่านอีกครั้ง...เยี่ยหย่งชุนท่านจงคิดให้ดี หากคิดได้ก็มิต้องมาบอกข้าหรอก ท่านบอกตนเองให้เดินไปข้างหน้า เดินไปในจุดหมายที่มีลู่ชิงเยี่ยนยืนรอท่านอยู่”
กล่าวจบจ้าวเจียงป๋อก็โยนผ้าเช็ดผมในมือลงตะกร้าใส่ผ้าตรงมุมห้องแล้วลุกจากไปตามหาโจ๊กร้อนๆ กับซุปน้ำขิงมาไล่ไข้หวัดสักถ้วยทันทีปล่อยให้คนคิดเจียมตนไม่เข้าเรื่องได้ทบทวนตนเองอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าเยี่ยหย่งชุนนั้นถึงเขาจะเป็นคนดี ทว่าคนดีในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความถึงคนโง่หึ!
...คนดีกับคนโง่มันมีเส้นบางๆ ขั้นกลางเอาไว้เพียงนิดเดียวเท่านั้น...
และยี่สิบห้าปีที่เขาเติบโตมากับอีกฝ่ายเยี่ยหย่งชุนห่างไกลจากคำว่า’ คนโง่’ มิใช่น้อย ในคราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่เขาเอ็นดูลู่ชิงเยี่ยนมานับสิบปีพบเจอนางอีกครั้งอีกฝ่ายเติบโตเป็นสาวน้อยงดงาม แล้วมีหรือเยี่ยหย่งชุนจะทนห่มหนังกระต่ายต่อไปได้นานนัก
ทางฝ่ายคนที่ถูกตามสอดส่องและหมายมั่นปั้นมือจะมอบตำแหน่ง’ เยี่ยเฉิงกงฟูเหริน’ ให้โดยมิรู้ตนนั้นนางก็กำลังวุ่นวายเพราะหลายวันผ่านมาขนมบ๊ะจ่างของสองพี่น้องแซ่ลู่ก็เป็นที่รู้จักของคนทั้งตลาดเหวินซ่างขายดิบขายดีราวแจกฟรีเพราะรสชาติอร่อย
แล้วยังมีแม่ค้าตัวน้อยมาคอยร้องเรียกลูกค้าเป็นที่น่าเอ็นดูผู้ใดพบเห็นล้วนต้องแวะอุดหนุนสองพี่น้องจอมขยันทั้งสองอย่างน้อยก็คนละสามไปจนถึงสิบห่อ จึงทำให้ วันละหนึ่งร้อยห่อนั้นขายหมดในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามในช่วงแปดวันแรกพอเข้าถึงวันที่เก้าเพียงหนึ่งเค่อก็หมดไม่พอจะยื้อแย้งกัน
ทำเอาลู่เฟยหยานั้นยินดีปรีดาเหลือกำลังที่ตนเองช่วยพี่รองขายขนมหมด เช่นนั้นมีเวลาเหลือในช่วงที่ลู่ชิงเยี่ยนไปซื้อข้าวของเตรียมกลับจวนเด็กน้อยตัวกลมก็ยังไปช่วยท่านป้าท่านน้าทั้งหลายที่ร้านไม่ค่อยมีคนแวะเรียกลูกค้าให้ ผ่านไปไม่นาน’ อาหยา’ ก็เป็นขวัญใจของแม่ค้าพ่อค้าทั้งตรอกไปเสียแล้ว
ตกเข้าวันที่สิบลู่ชิงเยี่ยนจึงต้องเพิ่มขนมเป็นร้อยห้าสิบห่อซึ่งตกเข้าถึงวันที่สิบเจ็ดสองร้อยห่อก็ไม่พอขายอีกเช่นเคย ทว่าคราวนี้เด็กสาวกลับไม่เพิ่มจำนวนของบ๊ะจ่างอีกแล้ว แต่เด็กสาวกลับคิดจะเพิ่มจำนวนของชนิดขนมแทนซึ่งลู่ชิงเยี่ยนก็คิดที่จะทำขนมกุ้ยช่ายนึ่งที่ตนเองชอบกินเช่นเดียวกับบ๊ะจ่าง
เพราะนางถือคติที่ว่าทำของที่ตนเองชอบกินย่อมทำออกมาได้ดีกว่าของที่ตนไม่ชอบกินเช่นขนมบ๊ะจ่างก็เป็นหนึ่งในขนมที่นางชอบกินมากจึงมักฝึกทำอยู่เสมอมาตั้งแต่เด็ก
ช่วงนี้กิจการขายโลงศพก็ไปได้ดีโดยมีถงเซิงไปช่วยท่านลุงกู้ประกอบโลงไม้ด้วยอีกแรง ในบางวันท่านพ่อบ้านถงเองว่างงานก็มักไปเป็นลูกมือของท่านลุงกู้ไปด้วยอีกคน ร่วมเดือนที่ผ่านมาข่าวทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงกลับเงียบหายราวตายจาก สิ่งเดียวที่ยังบอกได้ว่าบิดาของนางยังมีชีวิตอยู่ก็คือเจ้าหนี้จากบ่อน
ที่ยังคงหมุนเวียนกันมายึดทรัพย์มีค่าที่พอจะนำไปขายได้อยู่เสมอจนบัดนี้จวนใหญ่เนื้อที่กว่าร้อยหมู่นั้นว่างเปล่าแทบจะเหลือเพียงต้นเสาและหลังคาอยู่แล้ว
“คุณหนูรองเจ้าค่ะ...”
ท่านป้าชุนเหนียงยืนอยู่เคียงข้างคุณหนูรองมองดูเหล่าเจ้าหนี้นำคนมาขนข้าวของมีค่าออกไปจากจวนด้วยความรู้สึกเศร้าโศกเหลือกำลังหรือนี่จะคือยุคเสื่อมถอยและล่มสลายของสกุลลู่กันเล่า
“ช่างเถอะเขามาช่วยขนไปขายก็ดีเหมือนกันมีเยอะพวกเราก็อยู่กันเพียงไม่กี่ชีวิตหากต้องดูแลก็ไม่มีเวลาทำมาหากินกันเท่านั้น”
ลู่ชิงเยี่ยนกล่าวปลอบใจคนเก่าคนแก่ออกไปเพราะนางไม่อยากยึดติดกับสมบัตินอกกายเหล่านั้นถึงจะทราบว่าบรรพชนกว่าจะสร้างกว่าจะหามาได้มิใช่ง่ายทว่านางก็เพียงเด็กสาวสิบหกปีที่มีน้องน้อยอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดูจะใช้บ้าสมบัติจนขาดสติเอาตนเองไปขายนำเงินมาใช้หนี้สินนางก็ทำไม่ลง
บัดนี้สองแขนและขาทั้งข้างของนางยังมีครบสมบูรณ์พร้อมกับหนึ่งสมองที่ยังตื่นรู้ดังนั้นจะให้ยอมจำนนต่อโชคชะตาล้วนยากยิ่ง นางจะสู้ไม่ถอย มีแรงเท่าใดจะทุ่มลงไปเต็มที่ มีมันสมองเท่าใดก็จะคิดดีทำดีไม่ย่อท้อ
“ท่านพ่อ...ยามใดท่านจะคิดได้ว่ายังมีพวกเราเป็นลูกรออยู่ข้างหลังอีกสามชีวิตกันเล่า...ยามใดท่านจะคิดได้สักครา? ....”
...นางก็เพียงถามอยู่ในใจเพราะมิอาจทราบได้ว่าบัดนี้นอกจากค่ายทหารแล้วลู่เหวินซานนั้นไปอาศัยหลับนอนยังบ่อนใดในเทียนเฉิงแห่งนี้...