...จวนหย่งเลี่ยงโหว...
ในเช้าวันที่สิบห้าหลังจากผ่านพ้นความตายได้อีกครั้งเยี่ยหย่งชุนก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแจ่มใสกว่าทุกวันต่อให้ความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่บรรเทาไปเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น กายแกร่งถูกท่านพ่อบ้านซ่งเหยียนจิ้งประคองให้ลุกขึ้นนั่งอิงหมอนขวางใบโต
“ท่านโจ๊กแปดเซียนก่อนขอรับท่านโหว”
กลิ่นของโจ๊กแปดเซียนหอมกลบกลิ่นของยาสมุนไพรได้อยู่สามส่วนมือใหญ่เอื้อมไปรับถ้วยดังกล่าวมากินได้ไม่กี่คำก็อิ่มเพราะทราบดีว่าอีกครู่จะมียามากมายมาให้เขาดื่มจนแน่นท้องจึงกินอาหารไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งพ่อบ้านใหญ่วัยสามสิบเจ็ดหนาวเขาจึงไม่เซ้าซี้ผู้เป็นนายอีก
“อีกสักครู่บ่าวจะเร่งเอายาที่กำลังต้มมาให้ท่านโหวดื่มนะขอรับ”
“อืม...”
จะเจ็บป่วยหรือปกติดีเยี่ยหย่งชุนเขาก็เป็นบุรุษพูดประหยัดคำอยู่แล้วซ่งเหยียนจิ้งเก็บถ้วยโจ๊กเรียบร้อยจึงปล่อยให้ผู้เป็นนายเอนกายพักผ่อนไปก่อน
เยี่ยหย่งชุนพออยู่เพียงลำพังก็ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ซ่งเหยียนเจิ้งเพิ่งเปิดระบายอากาศและรับแสงแดด แต่ดูเหมือนบรรยากาศและธรรมชาติจะไม่เป็นใจเสียแล้วเพราะดูท่าอีกไม่นานสายฝนคงจะเทกระหน่ำลงมาในเวลามิช้าไม่นานนี้เป็นแน่
แล้วก็เป็นจริงไม่ถึงเค่อต่อมาฝนกลางฤดูก็โปรยปรายลงมาเยือนเทียนเฉิงดวงตาคมทอดมองนิ่งภาพในวันที่ตนเองพุ่งตรงไปยังหอชุ่ยฟางทันทีที่ทราบความจากสาวใช้ทั้งสองนางของสกุลลู่ว่าจู่ๆ ลู่ถิงจือก็อยากแวะกินอาหารที่หอชุ่ยเฟยที่ร้านมีชั้นสามซึ่งสูงมิธรรมดาเพียงเท่านั้น
เพราะเขารู้จักครอบครัวสกุลลู่นับตั้งแต่ลู่เหวินซานยังเป็นเพียงแม่ทัพหนุ่มวัยสามสิบเจ็ดหนาวส่วนลู่ถิงจือกับลู่ชิงเยี่ยนยังเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งวัยแปดปีกับอีกคนวัยหกปีซึ่งครั้งแรกที่ได้พบคุณหนูทั้งสองของท่านแม่ทัพลู่ก็เป็นริมแม่น้ำซีเหอที่คนเป็นพี่สาวกำลังกรีดร้องให้คนลงไปช่วยคุณหนูลู่คนรองที่ตกลงไปในแม่น้ำใหญ่
และเป็นเขาในวัยสิบเจ็ดปีก็เป็นผู้ลงไปช่วยเด็กน้อยตัวเล็กที่กายอ่อนปวกเปียกใบหน้าซีดขาวกับริมฝีปากเขียนจนคล้ายจะกลายเป็นสีม่วงไปหมด ในยามนั้นเขาคิดว่านางคงไปท่องยมโลกเสียแล้วแต่เพราะเขาไม่อยากยอมแพ้จึงพยายามแบ่งลมหายใจกับกดเอาน้ำที่นางกลืนลงไปให้ออกมาสลับกันอยู่ครึ่งเค่อปาฏิหาริย์ก็เป็นจริงเด็กน้อยสำลักไอเอาน้ำออกจากท้องมาไม่น้อยจากนั้นจึงสลบไปอีก
แต่ภาพของแววตาแตกตื่นมึนงงในวันนั้นจนวันนี้ก็มิเคยจางหายไปจากใจและความทรงจำของเขาเลยสิบฤดูหนาวแล้วสินะ...สิบฤดูหนาวที่เขาช่วยเด็กน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาจากก้นแม่น้ำสายใหญ่ และเป็นสิบปีที่เขาเป็นผู้เดียวซึ่งรู้ความลับดำมืดของลู่ถิงจือว่านางมิใช่เด็กหญิงวัยแปดหนาวผู้แสนดีและไร้เดียงสาดังภาพภายนอกที่ผู้คนแจ้งใจ
ทว่านางคือเด็กหญิงใจอำมหิตเพียงไม่พอใจน้องก็ถีบอีกฝ่ายตกลงไปในแม่น้ำต้นฤดูฝนที่กำลังเอ่อเต็มตลิ่งได้ลงคอไร้ความปรานีทั้งสิ้นแต่เขาในวันนั้นยังคาดเดาใจคนไม่เก่งจึงยอมให้โอกาสลู่ถิงจือในวัยแปดปีได้แก้ตัวโดยการดูแลลู่ชิงเยี่ยนด้วยดีแลกกับที่เขาจะไม่พูดความจริงที่ได้รู้ออกไป
ดังนั้นพอวันนั้นเขาทราบว่านางพาลู่ชิงเยี่ยนไปยังหอสูงจึงคาดเดาเท่าทันความคิดชั่วช้าของลู่ถิงจือได้ไม่ยากก็สตรีเช่นนางคิดสวมเขาเพราะคิดใฝ่สูงหวังตำแหน่งพระชายายังกล้าทำไม่มีความละอายแล้วการจะคิดสังหารน้องสาวต่างมารดาอีกครั้งไม่ให้ตนเองพบเจอทางตันมีหรือลู่ถิงจือจะไม่กล้าลงมือ
แล้วความคิดของเขาก็ไม่ผิดไปสักนิดเพราะเพียงเปิดประตูไปเจอภาพนางกำลังเตรียมจะผลักน้องสาวให้ตกลงไปตายที่ชั้นล่างโทสะดำมืดก็พลันบังเกิด แต่ที่เขาพลาดไปก็คือยังเมตตาที่นางกำลังตั้งครรภ์จึงคิดช่วยไม่ให้นางตกลงไปตายทว่ามิคาดใจดีนั้นกลับย้อนคืนมาทำร้ายเขาเสียเองเพราะจนลมหายใจสุดท้าย
ลู่ถิงจือกลับยังไม่หยุดคิดร้ายหวังว่าตัวนางและบุตรในครรภ์จะตายก็จะไม่ไปอย่างเดียวดายจึงกระชากเขาลงนรกไปกับนาง เขายังจำสถานที่ดำมืดกับหนาวสะท้านนั้นได้ไม่ลืมเลือนและหากไม่ได้สตรีงดงามนางนั้นช่วยเอาไว้เกรงว่าบัดนี้เขาก็คงถูกวิญญาณร้ายของลู่ถิงจือฉุดดึงกักขังเอาไว้ยังดินแดนดำมืดมิอาจกลับมาได้เช่นในยามนี้อีกแล้วก็เป็นไปได้
“ข้าสัญญาจะดูแลอาเยี่ยนอย่างดีไม่ให้ท่านได้ผิดหวังที่ช่วยส่งข้ากลับมาอย่างแน่นอน”
คนซึ่งเพิ่งผ่านพ้นความตายมาเอ่ยฝากไปกับสายลมถึงสตรีโฉมงดงานที่เขาจดจำได้แม่นยำเมื่อครึ่งไปร่วมกองทัพกับลู่เหวินซานว่าสตรีในภาพวาดคือมารดาของลู่ชิงเยี่ยนที่จากไปตั้งแต่คลอดบุตรสาวได้ไม่นานเพราะสุขภาพไม่ดีแล้วยังถูกลู่ฮูหยินกลั่นแกล้งมาโดยตลอด
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เขาก็ฟังมาจากผู้อื่นอีกทีมิได้ไปร่วมรู้เห็นด้วยที่เขารู้เห็นก็มีเพียงวันที่ลู่ถิงจือถีบลู่ชิงเยี่ยนลงแม่น้ำเท่านั้นแต่นั่นก็มากพอจะทำให้เขาพอจะรู้แจ้งแล้วว่าเด็กหญิงวัยแปดปีจะต้องถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนมาเช่นไรจึงมีใจอำมหิตตั้งแต่วัยเพียงเท่านั้น
...โครม!...
“โอ๊ย!...”
กำลังมองสายฝนแล้วจมอยู่กับความคิดกลับมีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างมิต้องเห็นหน้าเยี่ยหย่งชุนย่อมรู้ผู้ที่จะพุ่งเข้าทางหน้าต่างแทนประตูแผ่นดินนี้มีเพียงหนึ่งเดียว
“ไท่จื่อท่านยี่สิบห้าปีแล้วเป็นไท่จื่อแห่งต้าหยวนอีกด้วยไม่รักษาหน้าตนเองก็ไว้หน้าฝ่าบาทกับฮองเฮาบ้างเถิดประตูจวนของกระหม่อมก็มิได้คับแคบถึงเพียงนั้นเช่นไรช่วยเดินเข้ามาเถิด”
กายสูงสง่าของบุรุษหน้าขาวในอาภรณ์สีฟ้าครามลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินโขยกเขยกตรงไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าเตียงของคนป่วยแล้วทรุดนั่งดูไม่สะทกสะท้านสักนิดที่ถูก’ บ่น’ เพียงเห็นเงากันของผู้เป็น’ ท่านน้า’ ที่อายุมากกว่าเขาสองปีเท่านั้น
“ข้าเร่งกลับมาจากเมืองคังมิคาดท่านน้าจะตอบแทนความกตัญญูของหลานรักเช่นนี้หรือ”
คนป่วยบนเตียงถึงกับกลอกดวงตาพลางถอนใจเสียงดังแสดงชัดเจนกันไปเลยว่าเขามิได้’ ซาบซึ้ง’ ต่อความกตัญญูของอีกฝ่ายจริงๆ นั่นแหละ
“นอกจากมาปีนหน้าต่างเรือนของกระหม่อมเล่นเป็นเรื่องสนุกแล้วยังมีสิ่งใดมารบกวนคนใกล้พิกลพิการอีกเร่งกล่าวมาก่อนที่อีกไม่เกินสองเค่อฮองเฮาจะมาถึง”
คนรูปโฉมงดงามเกินสตรีถึงกับทำเรียวปากคว่ำลงอย่างเบื่อหน่ายเพราะหลายเดือนมานี้ถูกท่านแม่ทัพจางหลินทรมานอยู่ค่ายหงหยวนเซ่อยังเมืองคังจนแทบไม่ได้เห็นสาวงามมิคาดคิดหลบภัยจากตาเฒ่าที่คิดแต่จะจับเขาเข้าเรือนหอเร่งผสมพันธุ์ปั้นเด็กน้อยออกมาให้พวกเขาปั่นเล่นเห็นเป็นสนุกอยู่ที่จวนโหวสักหลายวันหน่อยกลับไม่ปลอดภัยพ้นจากพระมารดาเข้าอีกจนได้
“เสด็จแม่นั้นลำเอียงอย่างยิ่งในยามข้าหกล้มศีรษะแตกนอกจากไม่อุ้มโอ๋กลับด่าจนนับคำใส่คะแนนไม่ทันทว่าพอเป็นท่านน้ากลับมาเยี่ยมทุกวันมิได้ขาด”
“เช่นนั้นไท่จื่อทรงทดลองไปกระโดดลงมาจากชั้นที่สามของหอชุ่ยฟางดูบ้างดีหรือไม่รับรองว่าฮองเฮาจะต้องร่ำไห้น้ำตาไม่ท่วมเทียนเฉิงรับรองไม่หยุดเป็นแน่”
“โฮ๊ะ!ท่านใช้สมองข้างใดคิดแผนนี้ท่านน้าช่างประเสริฐล้ำเลิศเกินไปแล้ว หากตกลงมาจากชั้นสามของหอชุ่ยฟางเกรงว่าชาตินี้คงจบสิ้นแล้วเป็นแน่ข้ามิใช่พวกกระดูกอมตะเช่นท่านน้านี่นาข้านั้นจะได้บาดเจ็บกี่ครั้งก็ตายยากตายเย็น”
แต่ท่านน้ากับหลานรักยังเจรจาความถามไถ่กันยังมิทันซาบซึ้งต่อความรักและผูกพันที่มีต่อกันมายาวนานเสียงภายนอกก็แจ้งว่าเยี่ยฮองเฮานั้นกำลังตรงมาด้านนี้แล้ว กายสูงใหญ่ในอาภรณ์สีฟ้าครามซึ่งยังเปียกชื้นก็พุ่งหายออกไปทางบานหน้าต่างบานตรงทิศใต้ทันที เยี่ยหย่งชุนมองตามแล้วจึงส่ายศีรษะด้วยความระอากึ่งขบขัน
จ้าวเจียงป๋อนั้นถึงจะเข้าวัยยี่สิบห้าแล้วแต่ด้วยถูกเขาและฮ่องเต้ตามใจมากไปจึงดูคล้ายเด็กชายมากกว่าจะเป็นชายหนุ่ม แต่ในยามต่อหน้าขุนนางเขาก็ทำหน้าที่ของไท่จื่อได้งดงามไร้กังวลจึงได้ปล่อยให้เขาได้เล่นซุกซนไปบ้างด้วยเข้าใจดีว่าอนาคตจ้าวเจียงป๋อนั้นมีภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่รออยู่บัดนี้เวลายังเหลือเขาจะนอกลู่นอกทางไปบ้างก็แสร้งมองไม่เห็นคงดีที่สุดแล้ว
“อาหย่งวันนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
“หย่งชุนถวายพระพรฮองเฮาขอจงทรงอายุยืนพันปี...พันปี...”
“อย่างมากพิธีไปเจ้ายังบาดเจ็บสาหัสอยู่นะอาหย่ง”
กายโฉมสะคราญเร่งพุ่งตรงไปจับร่างบนเตียงไม่ให้เขาขยับมากไปอาการที่นางทราบจากท่านหมอหลวงโจวนั้นไม่ธรรมดาเลย กระดูกหักไม่กี่เดือนก็คงดีขึ้นทว่ามีบางจุดที่กระดูกหักแล้วไปตัดเส้นเอ็นสำคัญทำให้ข้าข้างซ้ายของเยี่ยหย่งชุนอาจจะกลับมาเดินได้เช่นปกติเหมือนเดิมได้อีกแล้วคนที่รักน้องชายประดุจบุตรชายจึงปวดร้าวดวงใจเหลือแสน
“เพียงขาข้างหนึ่งจะยืนได้ไม่ปกติกระหม่อมมิได้คิดมากอันใดพ่ะย่ะค่ะขอฮองเฮาอย่างทรงกลัดกลุ้มเลย”
คนซึ่งฟื้นมาแล้วทราบความจริงข้อนี้กลับมิได้ทุกร้อนอันใดเพราะขนาดเส้นผมกับดวงตาสีเปลี่ยนไปราวปีศาจเขายังผ่านมาได้แล้วกับเพียงแค่ขาข้างซ้ายจะเดินได้ไม่ปกติเช่นเดิมแต่ก็ยังคงยืนและเดินได้เยี่ยหย่งชุนจึงมินำพามากมายอันใดทั้งสิ้น
“ฝ่าบาททรงร่างราชโองการแล้วที่จะแต่งตั้งอวยยศเยี่ยเฉิงกั๋งกงให้เจ้า เร่งรักษาตนเองให้หายวันหายคืนนะอาหย่ง”
กำหนดพระราชทานยศมารออยู่แล้วในอีกสองเดือนข้างหน้าส่วนสภาพร่างกายนี้จะพร้อมหรือไม่เช่นไรวันนั้นมาถึงเยี่ยหย่งชุนอาจต้องนั่งรถเข็นไปประดับยศฮ่องเต้ก็คงมิตำหนิเขาอยู่แล้วคนบนเตียงจึงยิ้มอ่อนโยนให้พี่สาวผู้เป็นดังมารดาคนที่สองหนึ่งสาย
“เรื่องหาคู่ครองให้ไท่จื่อเช่นไรฮองเฮาช่วยขอร้องให้ฝ่าบาทชะลอเวลาไปอีกสักหนึ่งฤดูหนาวเถิด เช่นไรก็เป็นใจเขาหน่อย”
ที่จ้าวเจียงป๋อมาหาเขาถึงมิทันได้เอ่ยปากเยี่ยหย่งชุนเขาก็คาดว่าตนเองคาดเดาไม่ผิดก็เติบโตมาด้วยกันถึงฐานะแท้จริงคือท่านน้ากับหลานชาย ทว่าในความรู้สึกของพวกเขาสองคนกลับเป็นพี่ชายที่มีความรักความผูกพันกับอีกฝ่ายดังน้องชายร่วมครรภ์เดียวกันเช่นเดียวกันจ้าวเจียงป๋อถึงเอ่ยเรียกเขาท่านน้าทุกคำ ทว่าภายในใจเขาก็เป็นดังพี่ใหญ่ที่เขาพึ่งพาอาศัยได้
“ได้! แต่...”
ฮองเฮาแสร้งเว้นระยะห่าง ทว่าเยี่ยหย่งชุนกลับรู้ทันจึงกล่าวออกมาเสียเองว่า
“แต่ว่า...อีกหนึ่งหนาวกระหม่อมก็ต้องตบแต่งเยี่ยเฉิงกงฟูเหรินกระมัง ได้!...ก่อนหนึ่งหนาวกระหมอมสัญญาว่าจะกำหนดตัวเยี่ยเฉิงกงฟูเหรินส่งไปถวายฮองเฮาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“คำไหนคำนั้น”
เยี่ยหลันฉวาชูกำปั้นส่งไปตรงหน้าของน้องชายทันที
“คำไหนคำนั้น”
เยี่ยหย่งชุนส่งกำปั้นใหญ่กว่ามาชนเป็นคำมั่นสัญญาแล้วสองพี่น้องก็หัวเราะประสานเสียงกันจนคนที่แอบฟังตากฝนอยู่ด้านนอกระบายลมหายใจอย่างโล่งอกโล่งใจไปได้อีกหนึ่งหนาวก็เขามิใช่ท่านน้า ที่มีนางในดวงใจมาเป็นสิบหนาวแล้วนี่นาถึงท่านน้าจะยังไม่รู้ใจตนเองมาตลอดทว่าเขาคาดเดาเอาเองที่อีกฝ่ายกล้ารับปากพระมารดาของเขาไม่แน่ว่าที่เยี่ยหย่งชุนบาดเจ็บหนักคราวนี้เขาอาจรู้ใจตนเองแล้วก็เป็นไปได้...