...จวนลู่ไท่เว่ย...
ดังนั้นในเช้าวันต่อมาหลังจากตัดสินใจแนวแน่ว่าจะทดลองทำบ๊ะจ่างขายพร้อมทั้งออกทุนอย่างลับๆ ให้แก่ลุงกู้สัปเหร่อใหญ่ที่เฝ้าสุสานนอกเมืองหลวงได้เปิดร้านขายโลงศพขนาดเล็กไปก่อนลู่ชิงเยี่ยนจึงเริ่มทดลองทำบ๊ะจ่างร้อยห่อสำหรับนำไปแจกเพื่อเปิดตลอดเรียกลูกค้า
ซึ่งกลยุทธ์เช่นนี้นางก็ไปครูพักลักจำมาจากตำราบ้างจากเถ้าแก่เนี้ยอวี่บ้างแล้วแต่โอกาส ใบจ่าง (ใบไผ่) นั้นท่านป้าชุนเหนียงเตรียมเอาไว้ตั้งแต่สามวันก่อนที่นางเปรยว่าอยากลองฝึกทำขนมบ๊ะจ่างแล้ว ส่วนข้าวเหนียวนั้นเมื่อวานนี้หลังจากเสี่ยวลี่และเสี่ยวจางกลับมาจากตลาดนางก็สั่งให้พวกเขาล้างข้าวจนสะอาดจากนั้นจึงแช่ค้างเอาไว้หนึ่งคืน
วันนี้ที่ต้องลงมือทำจึงมีเพียงการผัดข้าวกับเครื่องให้เข้ากันจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการห่อที่มีท่านป้าชุนเหนียงคอยให้คำแนะนำบอกเคล็ดลับต่างๆ ให้แก่คุณหนูรองของนางอย่างไม่หวงวิชาแม้แต่น้อย แต่พอเริ่มห่อได้สองลูกลู่เฟยหยาก็มาอ้อนอยากช่วยบ้างตามประสาเด็ก
“มานี่มา”
ลู่ชิงเยี่ยนตบลงบนตักของตนเองเด็กหญิงตัวอ้วนกลมราวกับเป็นก้อนซาลาเปาก็ปีนขึ้นมานั่งพร้อมยิ้มให้พี่สาวจนดวงตากลมแทบปิด
“จับเช่นนี้นะ...แล้วก็พับเช่นนี้”
ลู่ชิงเยี่ยนจับมือกลมป้อมโดยที่มือของนางซ้อนทับอยู่ด้านบนของมือกลมป้อมนั้นอีกทีสอนเด็กหญิงวัยเพียงหกหนาวด้วยกิริยาใจเย็น ส่วนด้านข้างมีเปลของน้องคนเล็กไกวแผ่วเบา ลู่ฟ่านเย่เป็นเด็กรู้ความเพราะหลายวันมานี้เขากินอิ่มเล่นชกกับอากาสไม่นานดูเป็นเด็กอ่อนอารมณ์ดีไม่นานก็หลับ
ตื่นมาน้อยครั้งที่จะร้องงอแงดังกับรู้ว่าทั้งบิดามารดาต่างทอดทิ้งเขาไปมีเพียงพี่สาวตัวเล็กเช่นนางได้ดูแลเพียงลำพังเท่านั้นเช่นเดียวกันกับลู่เฟยหยาที่ไม่ดื้อด้านบางครั้งยังช่วยเล่นกับน้องได้อีกด้วยเช่นนั้นที่ลู่ชิงเยี่ยนคิดว่าจะหนักหนาสาหัสเลยผิดไปพอสมควร
“เอาละ อาหยาพี่รองจะเอาขนมไปแจกคนในตลาดเจ้าจะไปกับพี่รองหรือไม่?”
ช่วยกันห่อและนึ่งอยู่ครึ่งวันก็ได้บ๊ะจ่างมาครบร้อยห่อเด็กสาวจึงให้สองสาวใช้ช่วยกันบรรจุลงภาชนะเตรียมพร้อมเริ่มไปแจกที่แรกก็คือตลาดเหวินซ่าง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเทียนเฉิงส่วนเพื่อนบ้านคงต้องรอให้เป็นช่วงใกล้ค่ำสักหน่อยจึงจะพบผู้คนเนื่องในตรอกนี้มีจวนที่เป็นขุนนางก็เพียงจวนลู่ไท่เว่ยเท่านั้น
“ไปเจ้าค่ะ พี่รองจะให้อาหยาไปจริงใช่หรือไม่”
เด็กน้อยที่ตลอดชีวิตหกหนาวไปไกลที่สุดก็ไม่เคยเกินตลาดหน้าตรอกนี้ดีใจจนแก้มกลมนั้นแดงระเรื่อคล้ายผลลูกท้อเห็นแล้วผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ได้เพียงหดหู่ใจยิ่งนักเกิดมาเป็นบุตรอนุภรรยาว่าอาภัพแล้ว การเกิดมาเป็นเด็กหญิงที่บิดาไม่สนใจกลับน่าสงสารยิ่งกว่า
“จริงสิ วันนี้พี่รองจะให้อาหยาเล่นเป็นแม่ค้าขายขนมบ๊ะจ่าง อาหยาต้องร้องเรียกลูกค้าให้ได้มากๆ นะรู้ไหม”
นางแสร้งก้มลงไปกระซิบกระซาบดังเป็นความลับสุดยอดระหว่างพี่น้องลู่เฟยหยาจึงยืดอกยิ้มแย้มภูมิใจทันทีทว่าพอหันไปเห็นน้องชายเด็กกลับดูเศร้าสร้อยลงทันที
“แล้วอาเย่เล่าเจ้าค่ะ เจ้าจะไม่ทิ้งอาเย่ใช่หรือไม่”
ความคิดของเด็กหญิงก็คือบิดาก็ออกไปด้านนอกก็หายไปครั้งละหลายวันท่านแม่ของนางกับลู่ฟ่านเย่จากไปวันนั้นจนป่านนี้ก็ไม่มีผู้ใดกลับมาสักคน ลู่เฟยหยาเลยคิดเอาว่าไปด้านนอกนั้นจะต้องไปนานเป็นแน่ความห่วงน้องชายจึงมากมายกลัวน้องจะเหงากลัวน้องชายจะน้อยใจว่าตนเองถูกทอดทิ้งเลยบังเกิดในจิตใจทันที
“อาเย่ยังเล็กนักพาไปตลาดคนมากประเดี๋ยวจะไม่สบายเอาให้น้องอยู่กับท่านป้าชุนเหนียงและท่านพ่อบ้านใหญ่ถงย่อมดีกว่า”
ลู่ชิงเยี่ยนอธิบายไม่ได้คิดอะไรมากเตรียมจัดข้าวของลงตะกร้าสานไม้ไผ่วุ่นวายต่อไป ทว่าพอรู้สึกว่าน้องสาวตัวกลมเงียบไปจึงได้เหลียวมองเด็กน้อยจึงพบว่าอีกฝ่ายยืนตาแดงคล้ายเตรียมร้องไห้เกาะเปลของลู่ฟ่านเย่นิ่งดังกำลังตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็มิปาน
“เช่นนั้นอาหยาตัดสินใจไม่ไปเล่นเป็นแม่ค้ากับพี่รองแล้วเจ้าค่ะ”
ดูก็รู้ว่าเด็กตัวกลมนั้น’ ตัดสินใจ’ แล้วจริงๆ ลู่ชิงเยี่ยนจึงทรุดกายลงไปนั่งให้ใบหน้าของตนเองเสนอกับใบหน้ากลมแก้มอิ่มนั้นแล้วจึงสอบถามเพราะอยากทราบเหตุผลและความคิดของเด็กน้อยยิ่งนัก
“ไหนเล่าให้พี่ร้องกระจ่างสักหน่อยเหตุอาหยาจึง’ ตัดสินใจ’ ไม่ไปเล่นเป็นแม่ค้ากับพี่ร้องหรือ?”
ลู่เฟยหยาดูลังเลอย่างเด็กขาดความมั่นใจเนื่องด้วยตลอดมานางถูกมารดาดุก็บ่อยตีปากก็หลายครั้งหากพูดโดยไม่คิดให้รอบคอบก่อน
“กล่าวมาเถิดพี่รองสัญญาไม่ตีอาหยาเด็ดขาด”
นางก็เคยเป็นเช่นลู่เฟยหยาจะไปทราบได้อย่างไรกับอาการละแวดระแวงภัยเกรงว่าพูดผิดไปจะถูกผู้ใหญ่ดุหรือตำหนิไปจนถึงถูกทำโทษด้วยการทุบตี พอเห็นเด็กตัวกลมยังลังเลนางจึงส่งนิ้วก้อยออกไปตรงหน้า น้องสาวนั่นเองที่ลู่เฟยหยาจึงยอมส่งนิ้วน้อยมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของ’ พี่รอง’ แล้วจึงยิ้มอวดฟันผุสองซีกด้านหน้าให้คนเป็นพี่ยิ่งเอ็นดูอีกฝ่ายยิงนัก
“อาเย่ยังหลับอยู่หากตื่นขึ้นมาไม่พบทั้งพี่รองและพี่สาม อาเย่จะต้องเสียขวัญมากเช่นอาหยาเสียขวัญที่ท่านแม่จากไปไม่บอกลาเป็นแน่เจ้าค่ะ ยิ่งเราไปไกลตั้งตลอดเหวินซ่างอาจหายไปเป็นสิบวัน อาเย่จะต้องร้องไห้คิดถึงพวกเราเป็นแน่ ทว่าหากพี่รองไปเพียงผู้เดียวอาหยาอยู่ทางนี้อาเย่คงไม่เสียขวัญเท่าใดเช่นวันนั้นที่อาหยาพบพี่รองก็หยุดร้องไห้ทันทีอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ”
ช่างเป็นคำพูดใสซื่อไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้หนึ่ง ทว่าคนไม่ชอบเด็กเช่นลู่ชิงเยี่ยนนั้นได้ฟังแล้วก็สะเทือนใจยิ่งนักดีว่านางเป็นพวกบ่อน้ำตาอยู่ลึกจึงเพียงดึงศีรษะอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วจุมพิตลงไปบนกระหม่อมน้อยหนึ่งครั้ง ทว่าท่านป้าชุนเหนียงกับอีกสองสาวใช้นั้นถึงกับน้ำตาไหลเลยที่ฟังคำของคุณหนูสามจบลง
“โถ...คุณหนูสามของท่านป้าชุนเหนียง”
พึมพำไปพลางก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาไปพลาง ทั้งที่นางก็เพียงหกขวบยังรู้จักคิดถึงใจของน้องชายทว่ามารดาสองคนกลับทอดทิ้งบุตรสาวและชายในไส้ได้ลงคอเพียงคิดก็จุกหัวอกไปหมดแล้ว
“เราไปไม่นานเช่นท่านแม่รองและท่านแม่สี่หรอกอาหยามิได้ไปนานเช่นท่านพ่อและท่านแม่ใหญ่อีกด้วยเพียงใกล้ค่ำพวกเราก็กลับมาแล้วรับรองอาเย่ไม่เสียขวัญแน่นอน”
ลู่ชิงเยี่ยนอธิบายอย่างใจเย็น “จริงหรือเจ้าค่ะ” กิริยาห่อเหี่ยวราวผักถูกน้ำเดือดพลันกระฉับกระเฉงจนเหล่าผู้ใหญ่ทั้งสี่ชีวิตอดจะขบขันเสียมิได้
“อื้อจริงสิ!พี่ร้องเคยหลอกลวงอาหยาหรือไรเล่า?” ลู่ชิงเยี่ยนแสร้งทำเสียงเข้มกิริยาจริงจังอย่างยิ่ง “ไม่เคยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยตอบไปตามความจริงก็นับจากจำความได้พี่รองของนางไม่เคยพูดจาเลอะเลือนเลยสักครั้งหากเป็นพี่ใหญ่และท่านแม่ใหญ่นั่นก็กล่าวไปอีกเรื่อง
"เช่นนั้นก็เอาตามนี้ให้อาเย่อยู่กับท่านป้าชุนเหนียงส่วนพวกเราสี่คนก็ไปเป็นแม่ค้ากัน พอขายหมดจึงซื้อนมแพะมาฝากเขาดีหรือไม่?"
"ดีเจ้าค่ะ"
เช่นนั้นแล้วสองพี่น้องสกุลลู่กับสองสาวใช้จึงได้ฤกษ์ออกจากจวนนำขนมบ๊ะจ่างไปแจกหวังเรียกลูกค้าในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปนั่นเอง
แล้วพอถึงตลาดลู่ชิงเยี่ยนก็แบ่งส่วนกันโดยให้สองพี่น้องสกุลถงนำบ๊ะจ่างห้าสิบห่อไปทางท้ายตลาดส่วนนางกับลู่เฟยหยาแบ่งมาห้าสิบห่อโดยเริ่มเดินแจกจ่ายไปจากด้านหัวตลาดเรียกว่าเดินหันหน้ามาบรรจบกันที่ส่วนกลางของตลาดนั่นเอง
"ท่านน้าเจ้าค่ะรับบ๊ะจ่างไหมจ๊ะวันนี้พวกเราพี่น้องแจกฟรีให้ลองชิมรสชาติกันดูก่อน"
ลู่ชิงเยี่ยนเริ่มจากเจ้าของแผงเนื้อหมูก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งก็ไม่ผิดหวังเจ้าของแผงค้าหมูนอกจากรับไปแกะกิน ยังช่วยร้องเรียกเพื่อนแผงด้านข้างกันมาช่วยกันรับของแจกฟรีเพิ่มอีกด้วย
"บ๊ะจ่างร้อนๆ แจกฟรีเจ้าค่ะ อร๊อย...อร่อยเชิญมาหยิบไปชิมฟรีเลยเจ้าค่ะ"
ลู่เฟยหยาพอเห็นคนมารุมล้อมก็ไม่ยอมเสียหน้าตะโกนร้องหวานเรียกคนมาเพิ่มทันที
"นอกจากบ๊ะจ่างจะอร่อยแม่ค้าตัวน้อยยังเสียงหวานอีกด้วย"
ท่านน้าคนขายหมูเอ่ยชมเพราะเอ็นดูเด็กน้อยตัวกลมที่วัยคงไม่น่าจะเกินหกขวบปีแต่ขยันขันแข็งมาช่วยพี่สาวทำมาหากินหากลูกของนางเก่งเพียงนี้คงภูมิใจอย่างยิ่ง
"เช่นนั้นอาหยาช่วยท่านน้าเรียกลูกค้าก็ได้นะเจ้าค่ะ"
พอบ๊ะจ่างห้าสิบห่อหมดลงเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อลู่เฟยหยาก็อาสาช่วยเรียกลูกค้าให้อีกฝ่ายด้วยสำนึกในบุญคุณเจ้าของแผงขายเนื้อหมูที่ใดดีให้พวกนางยืนหน้าร้านไม่พอยังช่วยเรียกคนมาช่วยชิมอีกด้วย
"เด็กดีเสียจริง เอาสิถ้าเจ้าช่วยท่านน้าเรียกลูกค้าได้เย็นนี้ท่านน้าเฉาจะแบ่งเนื้อหมูไปให้บ้านเจ้าสองพี่น้องได้กินด้วย"
"ท่านน้าเฉาเข้าใจผิดแล้วบ้านเรามิใช่มีสองพี่น้องเจ้าค่ะแต่บ้านเรามีสามพี่น้อง อาเย่น้องเล็กของพวกเรา พี่รองบอกว่ายังเล็กมากพามาเป็นพ่อค้ามิได้จึงฝากเอาไว้กับท่านป้าชุยเหนียงเจ้าค่ะ"
พอถูกชื่นชมเด็กน้อยที่ขาดความมั่นใจก็กลับมาพูดจาแจ่มชัดดูมั่นอกมั่นใจมากขึ้นทำให้ลู่ชิงเยี่ยนรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่พาน้องสาวคนที่สามมาตลาดด้วยกัน
“ได้! ท่านน้าจะให้จนพอให้พวกเจ้าสามพี่น้องกินจนอิ่มเลยทีเดียว”
เจ้าของแผงขายเนื้อหมูก้มลงไปรับปากเด็กน้อยก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่สาวของเด็กตัวกลมแก้มแดง จากนั้นลู่เฟยหยาก็ออกไปยืนอยู่หน้าแผงตะโกนไปพลางเต้นโยกเอวไปพลางไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื้อไม่ถึงครึ่งชั่วยามหมู่เต็มแผงก็ขายจนหมดเกลี้ยงจนเจ้าของแผงต้องตะโกนว่าหมดแล้วหาไม่ตนคงผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเด็กตัวกลมที่ร้องเรียกลูกค้าให้นางจนเสียงหวานเริ่มแหบแห้งใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“มากินน้ำก่อนอาหยา”
วันนี้ถึงไม่ได้เงินแต่ได้เห็นเจ้าตัวกลมนางยิ้มแย้มสดใสสมวัยของเด็กน้อยวัยหกปีลู่ชิงเยี่ยนก็คิดว่าสิ่งที่ได้มีค่ามากกว่าเงินทองเสียอีก
“พรุ่งนี้เจ้าคงจะทำขายแล้วใช่หรือไม่แม่น้องน้อย”
เฉาเซียงจัดการห่อเนื้อหมูด้วยใบตองมัดจนแน่นแล้วยังหันไปซื้อข้าวเหนียวอีกหนึ่งลิตรหวังให้สามพี่น้องได้กินอิ่มท้องสักมื้อจนอาจเหลือพอไปแบ่งปันคนที่สองพี่น้องฝากน้องชายคนเล็กเอาไว้อีกด้วย
"เจ้าค่ะ เช่นไรอาชิงกับอาหยาก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเจ้าค่ะมีสิ่งใดก็ช่วยชี้แนะตักเตือนข้าได้ทุกเมื่อนะเจ้าค่ะ"
เพราะนางทราบว่าตนเองยังหน้าใหม่มากการผูกมิตรกับเหล่าท่านน้าท่านอาท่านป้าและท่านลุงในตลาดแห่งนี้จึงสมควรที่สุด ที่จวนพวกนางคือบุตรสาวในไท่เว่ย สูงส่งไม่น้อย ทว่าในตลาดแห่งนี้นางคือคนใหม่คือคนยังไม่รู้ความทั้งสิ้นจึงต้องนอบน้อมเข้าไว้ให้มากจึงนับว่าฉลาด
"เช่นนั้นพวกเจ้ามายืนขายที่หน้าร้านของท่านน้าเฉาก็แล้วกันเดินเร่ขายไปมาลูกค้าเวลานึกอยากจะกินย่อมจะหาจุดที่พวกเจ้าขายได้ยาก ยืนขายเป็นที่เป็นทางย่อมดีที่สุด เอาละมารับเนื้อหมูกับข้าวเหนียวนี่ไป เจ้าตัวกลมพรุ่งนี้มาหาท่านน้าเฉาอีกนะ"
สองพี่น้องขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยเฉาด้วยกิริยานอบน้อมถ่อมตนเช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดสงสัยในชาติกำเนิดของทั้งสองเลยสักคน ที่พวกเขาเห็นคือคู่พี่น้องนิสัยดีแถมยังขยันรู้จักทำมาหากินเท่านั้น
"เอาละได้ของครบแล้วพวกเรากลับจวนไปหาอาเย่กัน มาอาหยา มาขี่หลังพี่รองดีกว่า ใช้แรงไปมากคงเหนื่อยมากแล้ว"
หลังจากเสี่ยวลี่และเสี่ยวจางกลับมาสมทบกับสองพี่น้อง ลู่ชิงเยี่ยนก็จัดการไปซื้อของเอาไว้สำหรับทำบ๊ะจ่างชุดใหม่เอามาเริ่มทดลองขายจนครบรวมไปถึงนมแพะของลู่ฟ่านเย่แล้วจึงแบกน้องสาวขึ้นหลังตรงกับจวน แต่คงเพราะวันนี้ลู่เฟยหยาใช้พลังงานมากไปเมื่อนางพาเดินได้ไม่กี่ก้าวเจ้าตัวกลมก็หลับไปเสียแล้ว
ใบหน้างดงามแย้มยิ้มสดใสด้วยมีความสุขมากที่กิจการเล็กซึ่งนางตั้งใจสร้างขึ้นมาเริ่มต้นวันแรกได้นับว่าดีทีเดียวเพราะวันนี้ก่อนกลับผ่านแผงขายหมูของท่านน้าเฉา นางก็เรียกเอาไว้แล้วก็บอกแก่นางว่ามีคนต้องการสั่งบ๊ะจ่างไปแลกคนงานถึงเจ็ดสิบห่อพร้อมมัดจำด้วยกึ่งหนึ่ง
...เพียงเท่านี้ดวงใจของแม่ค้าตัวน้อยก็ฟูฟ่องคับหน้าอกไปหมดแล้ว...