...ตำหนักฉางเต๋อ…
ภายในห้องพักผ่อนของตำหนักบัดนี้มีกายสูงสง่าสวมอาภรณ์สีดำลวดลายมังกรสีทองอร่ามของบุรุษวัยสี่สิบแปดหนาวกำลังนังเอนกายเอกเขนกอยู่บนกองหมอนอิงหลายใบโดยมีสตรีรูปโฉมสะคราญนางหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังบีบนวดมิห่าง
“ตาเฒ่าโจวยังแก้ไขจนหย่งเอ๋อร์ฟื้นไม่สำเร็จอีกหรือไม่นี่ก็เก้าวันผ่านมาแล้วนะ”
สุราหนึ่งจอกหมดไปผู้เป็นใหญ่แห่งต้าหยวนก็วนเข้าหาเรื่อง’ คนโปรด’ ที่เก้าวันผ่านมาหมอหลวงมีกำลังมีฝีมือเท่าใดเขาก็ส่งมอบให้จวนหย่งเลี่ยงโจวไปแล้วจนสิ้น
“เขาฟื้นมาบ้างแล้วเพคะแต่ยังไม่รู้สติดีอาจจะเป็นจากพิษบาดแผลคราวนี้หนักหนาสาหัสเกิดไป”
จอกสุราในมือเรียวงามของจ้าวเจียงเฉิงถูกหมุนดูจากสายตาของคนที่คุ้นเคยร่วมชีวิตกันมายี่สิบสามหนาวย่อมรู้ฮ่องเต้กำลังใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ เยี่ยฮองเฮาจึงบีบนวดไม่พูดมากด้วยรู้ใจกันดีปล่อยให้อีกฝ่ายขบคิดปัญหาไปอย่างสงบ
ชีวิตในวังหลังการขึ้นมายืนในตำแหน่งที่สตรีทุกนางมิใช่ง่ายดายโดยเฉพาะนางที่มีเพียงความรักขององค์จักรพรรดิส่งเสริมเท่านั้นส่วนฐานรากทางด้านสกุลเดิมแล้ว เยี่ยหลันฮวานั้นเป็นเพียงบุตรคนโตของสกุลขุนนางระดับกลางเข้าวังมาเพราะความประสงค์ของฮ่องเต้ที่บังเอิญพบกันในวันที่เขาปลอมตัวออกไปตรวจเยี่ยมเทียนเฉิงเท่านั้น
จนที่สุดเพราะนางเยือกเย็นเป็นรู้รุกรู้ถอยรู้ว่าในยามใดตนเองสมควรอ่อนข้อในยามใดนางสมควรกร้าวแกร่งจากเพียงรูปโฉมที่ประทับต้องตาฮ่องเต้นานวันเข้านางจึงกลายเป็นคนที่เขาประทับใจฝังแน่นพอหนึ่งฤดูหนาวผ่านพ้นนางตั้งครรภ์แล้วคลอดองค์ชายออกมาให้เขาเป็นคนแรกตำแหน่งฮองเฮาจึงถูกส่งมอบลงมาให้โดยที่ตาเฒ่าทั้งหลายมิอาจเอ่ยปากขัดขวางในวันที่นางมีวัยเพียงสิบแปดปี
แล้ววันนี้นางในวัยสี่สิบสามมีหรือจะไม่รู้ความหลายวันก่อนนางรายงานทุกสิ่งให้ฮ่องเต้ทราบโดยตรงไปแล้วจึงเชื่อว่าพระสวามีจะต้องรอบคอบพอเพียงด้วยการส่งคนของเขาออกไปตรวจสอบความจริงจนกระจ่างจัดเจนแล้วหึ!
เช่นไรน้องชายของนางจะต้องไม่เจ็บตัวฟรีถึงฐานะขององค์ชายสามนั้นเหนือกว่าแต่ความเที่ยงธรรมของฮ่องเต้ก็มีไม่น้อยนางเชื่อว่าเรื่องนี้เช่นไรจะต้องมีทางออกที่ยุติธรรมคืนให้แก่เยี่ยหย่งชุนเป็นแน่เพียงแต่จะได้ในรูปแบบใดนางก็เดาทางคนฉลาดเช่นจ้าวเจียงเฉิงมิได้เช่นกัน
“ในเมื่อการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำที่ไห่โจวหย่งเอ๋อร์ดูแลจนสำเร็จด้วยดีเพียงสองเดือนข้าก็สมควรมีรางวัลใช่หรือไม่น้องหญิง”
เพราะเยี่ยหย่งชุนนั้นคลอดออกมามารดาก็สิ้นใจจึงมีพี่สาวคนโตที่วัยห่างกันถึงสิบหกปีดูแลแทนมารดาจวบจนในวันตบแต่งเข้าวังเยี่ยไฉ่เหรินในอดีตก็มีเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบกว่าติดตามมาด้วยดังนั้นแล้วฮ่องเต้ที่เห็นเขามาแต่เด็กแต่น้อยจนเมื่อมีองค์ชายใหญ่จ้าวเจียงป๋อในอีกหนึ่งฤดูหนาวต่อมาเติบโตเคียงข้างความรักดังเยี่ยหย่งชุนคือบุตรชายอีกคนย่อมบังเกิด
เช่นนั้นหากจะกล่าวว่าเขากลายเป็นฮ่องเต้ผู้ลำเอียงรักเพียงองค์ชายใหญ่แล้วเอ็นดูแต่เพียงน้องภรรยาคนเล็กจ้าวเจียงเฉิงก็ขอก้มหน้ายอมรับ แต่การลำเอียงนี้จะลำเอียงเช่นไรมิให้น่ารังเกียจนั่นจึงนับว่าลำเอียงอย่างมีชั้นเชิงสักหน่อยแล้ว
“งานสมรสของเขากับคุณหนูลู่คนโตล่มสลายลงเพราะเจ้าสามก็จริงแต่น้องหญิงย่อมเข้าใจใช่หรือไม่ว่าเรื่องฉาวคาวโลกีย์เช่นนี้กระฉ่อนออกไปไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็เสื่อมเสีย”
แน่นอนว่าเยี่ยหลันฮวานางเติบโตมาจนถึงวันนี้อยู่ในสังคมชั้นสูงมีหรือจะไม่ทราบว่าการที่องค์ชายผู้หนึ่งไปก้าวก่ายกับคู่หมั้นของขุนนางระดับสูงจนอีกฝ่ายตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องฉาวคาวราคีทำร้ายทำลายเกียรติไม่ว่าจะเป็นฝ่ายราชวงศ์หรือฝ่ายตัวของขุนนางผู้เป็นเจ้าบ่าวและฝ่ายครอบครัวของเจ้าสาวเอง
“เปิดเผยออกไปไม่ว่าฝ่ายใดก็เสื่อมเสียดังนั้นโทษปลดฐานันดรคงลงไปที่จ้าวอู่ถงมิได้เจ้ามิตำหนิข้าหรอกกระมังน้องหญิง”
เยี่ยหลันฮวายิ้มอ่อนหวานส่งให้พระสวามีแสดงออกไปเป็นกิริยาว่านางเข้าใจไม่คิดมากซึ่งนี่คือเสน่ห์มัดใจของจ้าวเจียงเฉิงให้ไปไหนไม่รอดต่อให้สตรีวังหวังมีหลายร้อยจนเขาเองยังจำหน้าจำนามของพวกนางไม่หมดแต่ปกติแล้วตำหนักที่เขามักมาค้างด้วยเสมอย่อมเป็นฉางเต๋อแห่งนี้มิหนายหนีก็เพราะเยี่ยหลันฮวามีแต่ความสงบร่มเย็นให้เขาไม่จำเป็นต้องมีเพียงเรื่องเสน่หาระหว่างชายหญิงเสมอไปเพราะสำหรับเขาสบายใจย่อมพอแล้ว
“แต่ถึงโทษปลดข้าจะประทานให้เจ้าลูกไม่เอาไหนไม่ได้ทว่าโทษส่งมันไปดัดสันดานย่อมคงไว้หึ...ในเมื่อมันชอบแย่งสตรีของผู้อื่นยิ่งนักข้าก็จะส่งมันไปชายแดนที่ขาดแคลนสตรีที่อดอยากจนถึงขนาดทหารมองเห็นอูฐยังกล่าวว่างาม”
แน่แท้ว่าฮ่องเต้กล่าวแล้วย่อมเป็นจริงตามนั้นเยี่ยหลันฮวายิ้มรับไม่พูดมากอีก แน่ใจว่านอกจากองค์ชายสามที่โดนโทษโดยตรงแล้วองค์ชายรองกับองค์ชายเก้าก็ยากจะหนีพ้นในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกัน ก็ในเมื่อพวกองค์ชายไม่เอาไหนเหล่านั้นมีเวลาว่างงานจนสามารถเอาชีวิตของคนมาเล่นสนุกได้บิดาเช่นเขาก็นับว่าไม่เอาไหนเช่นกันที่ละเลยจนบุตรชายของตนเองใช้อำนาจใช้ฐานะและเงินทองไปรังแกคนได้ ดังนั้นนับจากนี้ต่อไปจ้าวเจียงเฉิงก็บอกตนเองว่าจะอ่อนข้อต่อบุตรชายทั้งสามอีกไม่ได้แล้ว
“การเป็นบิดาคนนี้มิใช่ง่ายดายเลยนะน้องหญิง”
จู่ๆ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็บ่นออกมาซึ่งคงมีเพียงสตรีเช่นเยี่ยหลันฮวาเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ยินและได้เห็นฮ่องเต้กล่าวตำหนิตนเองเช่นนี้
“การทำให้เด็กเกิดมาหนึ่งคนมิใช่สิ่งยากเพคะ ทว่าการเลี้ยงดูให้เขาเติบโตในทุกด้านนั่นต่างหากที่ยากเย็นแสนลำเค็ญกว่า”
กายแกร่งที่เอนกายเอกเขนกดูผ่อนคลายนั้นขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วจึงทอดถอนใจเสียงหนักดูย่อมรู้ว่าคงเหนื่อยหน่ายบางสิ่งไม่น้อยซึ่งเยี่ยหลันฮวาย่อมรู้แจ้งพระสวามีนั้นทรงงานหนักเพียงใดในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
“ขอบใจเจ้านะน้องหญิงที่ยี่สิบกว่าปีนี้เจ้าเป็นภรรยาที่ดีเป็นมารดาที่ดีมิเคยทำให้สามีเช่นข้าต้องลำบากใจเลยสักครั้ง เอาละ...หากหย่งเอ๋อร์หายดีในคราวนี้ข้าจะประทานยศขั้นกงให้แก่เขา’ เยี่ยเฉิงกง’ ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อเขาแล้วส่วนภรรยาปลูกเรือนย่อมตามใจผู้อยู่ข้าจึงให้โอกาสเขาได้เลือกเองคราวก่อนเราเป็นผู้เห็นชอบจึงแนะนำคุณหนูลู่ให้ไปเพราะอยากให้การทหารที่เจียงป๋อดูแลราบรื่นทว่ากลับทำเขาเกือบตายเช่นนี้ต่อไปเขาพึงใจสตรีใดต่อให้เป็นท่านหญิงหรือองค์หญิงจากดินแดนใดในสามดินแดนนี้ข้าก็จะตามใจเขา”
...ช่างเป็นพี่เขยที่ใจกว้างเกินไปแล้ว...
“หลันฮวาขอบพระทัยแทนน้องชายเพคะ”
เยี่ยหลันฮวาเร่งไปคุกเข่าขอบพระทัยเต็มพิธีการเพราะที่ฮ่องเต้ประทานให้เยี่ยหย่งชุนนั้นมิได้ต่ำต้อยเลยเรียกว่าในต้าหยวนนี้ขุนนางขั้นกงมีน้องชายของนางเป็นแรกในรัชสมัยฮ่องเต้จ้าวเจียงเฉิงเลยทีเดียว
“เกากงกงส่งคนไปซ่อมแซมตำหนักผิงลี่ที่ตำบลอู๋เซียงที่แห่งนั้นข้าจะประทานให้แกเยี่ยเฉิงกงในอีกสองเดือนข้างหน้าแล้วที่ดินจัดการรวบรวมให้ครบตามลำดับขั้นชั้นกงจะตกหล่นมิได้”
ทางฝ่ายคนที่กำลังจะเลื่อนชั้นยศกลับยังต่อสู้กับความเจ็บปวดที่กระดูกทั้งร่างหักไปหลายส่วนชนิดหากเขายอมพ่ายแพ้เมื่อใดก็สิ้นใจทันที
“ซุ่น...จื่อ...”
เสียงแหบแห้งเรียกหาคนสนิททั้งที่ดวงตายังไม่ทันลืมขึ้นมา องครักษ์หนุ่มเร่งตรงไปก้มลงฟังทันทีว่าผู้เป็นนายนั้นเขาฟื้นขึ้นมาแล้วต้องการสิ่งใด
“ชิง...เยี่ยน...ปลอดภัย...หรือไม่?”
มิคาดว่าประโยคแรกที่ท่านโหวซึ่งมีสติเอ่ยถามจะเป็นอดีตว่าที่น้องภรรยาไปได้แต่เขาเป็นเพียงบ่าวผู้เป็นนายถามจึงมีหน้าที่เพียงตอบเท่านั้น
“คุณหนูลู่คนรองปลอดภัยดีขอรับ”
“อืม...ปลอดภัย...ก็ดี...ดียิ่ง...”
แล้วท่านโหวหนุ่มก็หลับไปอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบที่พึงใจ ถึงใบหน้าหล่อเหล่าจะซีดเหลืองเพราะบาดเจ็บหนัก แต่ซุ่นจื่อกลับพบว่ามุมปากของท่านโหวบัดนี้มีรอยยิ้มพึงใจแต้มอยู่มิจางต่อให้อีกฝ่ายหลับไปครู่ใหญ่แล้วก็ตาม แต่ซุ่นจื่อเป็นเพียงบุรุษหยาบกระด้างจะให้คิดลึกซึ้งกับอาการดังกล่าวของผู้เป็นนายเห็นจะไม่มีดังนั้นพอเห็นอีกฝ่ายหลับลึกไปทุรนทุรายเพราะปวดบาดแผลปวดกระดูกที่หักหลายแห่งเท่าใดก็จึงแยกตัวออกไปทำงานในหน้าที่ของตนเองต่อมอบหน้าที่ดูแลท่านโหวให้แก่พ่อบ้านซ่งและเหล่าสาวใช้ต่อไป
ทางด้านคนที่’ สำคัญ’ ยิ่งในใจของหย่งเลี่ยงโหวกลับไม่รู้ความอันใดทั้งสิ้นเพราะบัดนี้เจ้าหนี้จากบ่อนเถื่อนสักแห่งในเทียนเฉิงส่งคนมา’ ยึด’ ข้าวของมีค่าในจวนลู่ไท่เว่ยอีกครั้ง
“คุณหนูรอง”
ท่านพ่อบ้านถงเรียกผู้เป็นนายเพียงหนึ่งเดียวในจวนลู่ไท่เว่ยบัดนี้เสียงเจ็บปวดที่ข้าวของบ้างชิ้นเก่าแก่กว่าอายุเขากำลังถูกขนย้ายจากไปแล้วก็ยิ่งปวดใจ
“เฮ้อ!...ท่านพ่อเป็นหนี้พวกเขาท่านลุงถงจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า นี่นับว่าท่านพ่อยังเมตตาข้าอยู่มากแล้วที่นำแค่ข้าวของในจวนไปจำนำ มิได้เอาตัวของข้าหรือจวนนี้ไปขายเสียที่บ่อนเหล่านั้น”
กล่าวไปเด็กสาวก็ป้อนโจ๊กให้แก่น้องสาวกับอุ้มน้องชายพาดบ่าเอาไว้หนึ่งมือ ดูแล้วสามวันมานี้ลู่ชิงเยี่ยนกลายเป็นมารดาเลี้ยงเดี่ยวได้อย่างเต็มตัวเลยทีเดียวทั้งที่ปกตินางไม่ใช่สตรีรักเด็กแต่อย่างใด ทว่าดวงตาใสซื่อของลู่เฟยหยากับรอยยิ้มออดอ้อนของลู่ฟ่านเย่ก็ทำให้นางใจอ่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เสี่ยวลี่เสี่ยวจางเอารายการเหล่านี้ไปซื้อหามาให้ข้าด้วย ช่วงนี้เย่เอ๋อร์มีไข้ต่ำๆ ข้าคงยากจะกลับไปเป็นผู้ช่วยในหอชุ่ยฟางได้อีกแล้ว ซึ่งนอกจากต้องดูแลเย่เอ๋อร์แล้วเงินค่าแรงมันน้อยคงไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง”
นางจึงคิดจะทำบ๊ะจ่างออกขายแต่จะขายเลยคงยากจะหาคนซื้อเพราะนางรับว่าเป็นแม่ค้าหน้าใหม่จึงคิดว่าก่อนจะขายนางจะต้องทำออกมาแจกเพื่อนบ้านในตรอกแห่งนี้ก่อนและที่นางคิดจะทำบ๊ะจ่างก็เพราะเป็นของที่ปกพาง่ายชนชั้นใช้แรงงานก็สามารถซื้อกินได้ นางที่อายุน้อยก็ต้องเริ่มจากตลาดชั้นล่างไปก่อน
นี่ก็ผ่านมาสี่วันทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงกลับหายเงียบไปคล้ายตายจากดังพี่สาวพอเหลียวมองน้องๆ กับคนเก่าคนแก่ลู่ชิงเยี่ยนก็มิอาจท้อแท้ได้ วันเวลาเช่นนี้นางมิอาจเลือกงานได้ แต่จำต้องเลือก ในเมื่อนางคิดจะค้าขายอาหารของกิน อาชีพเกี่ยวกับศพนางก็มิอาจกลับไปลงมือทำได้อีก
ทว่าเด็กสาวกลับคิดได้ว่าในเมื่อนางลงมือทำเองมิได้แต่นางสามารถเป็นผู้ลงทุนได้ลู่ชิงเยี่ยนมองเงินก้อนสุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจแต่สุดท้ายนางก็แบ่งออกมาจากต้นทุนทำบ๊ะจ่างค่าอาหารสำหรับแปดปากแปดท้องในจวนนี้ก็เหลืออีกราวร้อยตำลึง หากนางนำไปร่วมทุนกับลุงกู้เปิดกิจการขายโลงศพอาจพอไหวอยู่บ้าง
เพราะกิจการกับคนตายนี้เช่นไรก็ไม่มีขาดทุน เช่นเดียวกับการค้าขายอาการเพราะคนเราอยู่ได้ด้วยอาหารแต่พอตายลงเช่นไรก็ต้องมีโลงใส่ศพต่อให้ยากจนเพียงใดบุตรหลานต้องขายตนเองเป็นทาสเพียงแค่มีเงินสักนิดไปซื้อโลงศพนับว่ากตัญญูอย่างถึงแก่งแล้ว
...คนอยู่ต้องกินเช่นไรคนตายก็ต้องการโลงศพฉันนั้น...
นั่นคือแนวคิดการทำการค้าของลู่ชิงเยี่ยนแล้วเมื่อได้คิดนางย่อมต้องเร่งลงมือทำส่วนบิดาหรือมารดาเลี้ยงจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนางจะปล่อยไปก่อนเพราะปากท้องของน้องทั้งสองกับคนใต้ปกครองทั้งห้าสำคัญอย่างยิ่งนั้นเอง ส่วนพวกเขาทั้งสองพอนางมีเงินเดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นแหละ...