ตอนที่ 15 ฝังร่างตกตายหมื่นเรื่องสิ้น 1

3155 คำ
กองทัพทิศบูรพา ค่ายทหารองค์ไทจื่อ “ปัง!” พระหัตถ์ตบลงบนโต๊ะทรงงานจนเกิดเสียงดังสนั่นด้วยแรงพิโรธ “ว่าอะไรนะ! เจ้าคนไม่เอาถ่านถูกลูกศรอาบยาพิษแต่กลับเป็นปกติ ทั้งๆ ที่จวนเจียนใกล้ขาดใจตายอยู่รอมร่อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น! เพราะอะไร!” องค์รัชทายาทรับสั่งตวาดดังกึกก้อง ทว่าหมอหลวงคนดังกล่าวที่ถูกส่งไปรักษาองค์ชายเก้าก็มิอาจให้คำตอบกลับมาได้ จึงทำได้แต่เพียงนั่งก้มหน้ามองพื้นดินภายในกระโจมที่ประทับอยู่เช่นนั้น พระหัตถ์คว้าแก้วเสวยซึ่งมีน้ำจัณฑ์อยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะขว้างออกไปจนเต็มแรงเพื่อระบายพระอารมณ์ แก้วเสวยปาถูกศีรษะของหมอหลวงผู้นั้นเข้าให้อย่างจังก่อนจะล้มลงไปกับพื้นพร้อมแก้วเสวยร่วงหล่นลงสู่พื้นที่เต็มไปด้วยหินมากมายน้อยใหญ่ “เพล้ง!!!” แก้วเสวยแตกกระจายเต็มพื้นพร้อมสุรเสียงตวาดก้อง “หูแตกหรืออย่างไรที่ข้าถาม! เหตุใดเจ้าคนไม่เอาถ่านผู้นั้นจึงรอดชีวิตจากแผนลอบสังหารของข้า! ตอบมา!!” “คือ... คะ... คือ” หมอหลวงผู้นั้นได้แต่อึกๆ อักๆ มิรู้ว่าจะเริ่มต้นกราบทูลอย่างไร ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีหยาดเลือดสีแดงก่ำกำลังไหลออกจากหน้าผากลงมาตามแนวขมับของตน ขืนยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกต่อไปคงจะสิ้นชีพชีวาวายเป็นแน่แท้ สู้ยกเหตุผลรีบกราบทูลรายงานออกไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีเสียมากกว่าที่จะกราบทูลไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วไซร้ ไฉนเลยพระองค์จะเชื่อว่าพระอนุชาที่ทรงแสนชิงชังมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นคอยปกป้องคุ้มครองดูแลอยู่ตลอดเวลา ทว่าอาการเงียบงันของหมอหลวงเช่นนั้นจึงยิ่งเพิ่มแรงพิโรธให้แก่องค์ไทจื่อมากขึ้นไปอีกนับเท่าทวีคูณ หากแต่มิทันขาดคำสุรเสียงพลันดังก้องขึ้นมาทันที “ในเมื่อให้คำตอบข้าไม่ได้! ก็จงไปตายซะ! ทหาร!!!” รับสั่งเรียกหาทหารหลวงจนเอ็ดอึง เป็นเหตุให้หมอหลวงคนดังกล่าวตาเหลือกลานรีบกราบทูลออกไปด้วยความกลัวตายอย่างรวดเร็ว “องค์รัชทายาทอย่าเพิ่งทรงพิโรธกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ คือกระหม่อมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแต่ได้ยินเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ ที่ตามเสด็จมาเฝ้าพระอาการต่างพากันบอกว่า มีบุรุษปริศนาผู้หนึ่งปรากฏกายในสนามรบ และชายผู้นี้เป็นผู้ช่วยเหลือองค์ชายเก้า อาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นมียาแก้พิษจึงทำให้องค์ชายรอดมาได้อย่างหวุดหวิดพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงตัดสินใจกราบทูลความเท็จออกไปเพื่อหาข้ออ้างให้แนบเนียนแลดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะรายงานเหตุการณ์จริง “บัดซบสิ้นดี! จนในสนามรบท่ามกลางความเป็นความตาย เจ้าคนไม่เอาถ่านยังมีผู้ใดตามมาช่วยเหลือได้อีก! มิหนำซ้ำยังสามารถแก้พิษปลิดวิญญาณของเสด็จแม่ข้าได้อีกเสียด้วย ไม่เคยมีผู้ใดถูกยาพิษชนิดนี้แล้วยังรอดชีวิตอยู่ได้! ไม่มีทาง! ไม่มีทาง!” รับสั่งลอดไรพระทนต์ก่อนจะขบเข้าหากันจนแน่น ด้วยแรงชิงชังพระอนุชาต่างมารดาอย่างยิ่งยวด ทันใดนั้นเอง “รายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงตะโกนก้องอยู่ด้านนอกกระโจมที่ประทับ พร้อมร่างสันทัดจากทหารที่ส่งไปหาข่าวในกองทัพขององค์ชายเก้ารีบรุดเข้าเฝ้าก่อนจะทรุดกายลงนั่งคุกเข่าถวายรายงานทันใด “กราบทูลองค์รัชทายาท บัดนี้กองทัพของต้าเว่ยทั้งหมดถูกองค์ชายเก้าไล่ต้อนเข้าไปในเทือกเขาหัวซานเป็นผลสำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูลพระวรกายใหญ่ขององค์ไทจื่อลุกพรวดพราดจากตั่งที่ประทับด้วยความตกพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อทรงได้ยินรายงานข่าวจากแนวหน้าเช่นนั้น “เป็นไปไม่ได้! กองทัพทั้งแปดทิศยังไม่ได้ตามเข้าไปสมทบกับทัพใหญ่ เหตุไฉนด้วยกำลังทหารเพียงแค่ไม่กี่หมื่นนายจะสามารถต้อนทัพของต้าเว่ยนับเรือนแสนเข้าไปเทือกหัวซานได้! เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อ!” “เป็นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! อีกทั้งฝ่ายข่าวได้ส่งอินทรีสื่อสารรายงานไปให้ฝ่าบาททรงทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าองค์ชายเก้าทรงต้อนทัพของต้าเว่ยเข้าไปยังเทือกเขาหัวซานได้เป็นผลสำเร็จ โดยปราศจากทัพทั้งแปดเข้าช่วยเหลือสนับสนุนแต่อย่างใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์คมคร้ามถมึงทึงขึ้นมาทันทีก่อนจะสั่นระริกด้วยแรงพิโรธเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ฝ่ายข่าวที่คอยรายงานการทำศึกสงครามเหตุใดจึงมีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์ออกมาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีคนของพระองค์คอยปกปิดข่าวสารในการทำศึกใหญ่ในครั้งนี้เพื่อมิให้จางเหว่ยฮ่องเต้ทรงล่วงรู้ จนกว่าแผนการของพระองค์จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี “พวกมันหาญกล้าทรยศข้า! บังอาจรายงานข่าวการทำศึกครั้งนี้ไปให้พระบิดาทรงทราบ ฝ่าฝืนคำสั่งของข้าอย่างเห็นได้ชัด ดี! ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าระหว่างจ้าวเฟยหลงกับข้าซึ่งเป็นองค์รัชทายาท ผู้ใดจะปิดฉากกับกองทัพของต้าเว่ย! ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป! เคลื่อนทัพเข้าสู่เทือกเขาหัวซานและแจ้งกองทัพที่เหลือให้กับองค์ชายอื่นๆ ให้เคลื่อนทัพตามไปสมทบเดี๋ยวนี้!” “รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารแนวหน้ากล่าวพร้อมรีบรุดหันหลังกลับออกจากกระโจมที่ประทับทันที พระเนตรสีดำสนิทลุกโชนด้วยแรงริษยาและเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างยิ่งยวด พระวรกายใหญ่หันกลับไปคว้าดาบประจำพระองค์รีบรุดเสด็จออกจากกระโจมอย่างมิชักช้า ทันทีที่ออกจากกระโจมที่ประทับ “เคลื่อนทัพเข้าเทือกเขาหัวซาน!!!” สุรเสียงรับสั่งตะโกนกึกก้อง “พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารทั้งห้าหมื่นนายขานรับพระบัญชาเสียงดังก้องไปทั่วทิศบูรพา องค์ไทจื่อพระดำเนินตรงไปที่ม้าศึกของพระองค์ ก่อนจะกระโดดขึ้นนั่งประทับบนหลังม้าโจนทะยานบ่ายหน้าเข้าสู่เทือกเขาหัวซาน โดยมีทหารนับหลายหมื่นนายควบม้าศึกตามหลังพระองค์ไปติดๆ เสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องไปทั่วทั้งทิศบูรพา รวมไปถึงกองทัพจากทิศอื่นๆ เริ่มเคลื่อนไหวดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ บริเวณเทือกเขาหัวซาน กองทัพขององค์ชายเก้าตั้งค่ายโอบล้อมกระจายกำลังทหารหลายหมื่นนายอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา อาชาสีดำทะมึนตัวมหึมาค่อยๆ ก้าวนำหน้าทหารทั้งหมดก่อนจะหยุดลงพร้อมพระพักตร์โฉมสลักตรึงจิตแหงนขึ้นเพื่อทอดพระเนตรเทือกเขาหัวซานที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ก่อนจะหันกลับไปทอดพระเนตรอาชาสีน้ำตาลเข้มซึ่งบนหลังม้าปรากฏบุรุษรูปโฉมหล่อเหลาละมุนละไมนั่งอยู่ในขณะนี้ “คนผู้นี้ท่าทีองอาจและกล้าหาญเป็นยิ่งนัก อีกทั้งมีฝีมือในการทำสงครามฉกาจฉกรรจ์อย่างยิ่งยวด หากแม้นข้าได้คนผู้นี้ไว้คอยช่วยเหลือในกองทัพจะทำให้แคว้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเพราะได้คนมีฝีมือและเจนจัดประสบการณ์ในการทำสงครามมาเข้าร่วมด้วย คงต้องลองเจรจาโน้มน้าวดูสักครา” องค์ชายรูปงามรำพึงอยู่ภายในพระทัย ก่อนจะมีรับสั่งออกไป “ขอบน้ำใจท่านยิ่งนักที่เข้ามาช่วยเหลือและร่วมรบกับกองทัพของข้า ท่านผู้กล้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร และมาจากที่ใดกันเล่า แลดูมีประสบการณ์และช่ำชองในการทำสงครามเป็นยิ่งนัก” เทพเจ้าศาสตราแย้มพระโอษฐ์กว้าง เมื่อได้ยินพระสหายรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น “ข้าก็แค่คนร่อนเร่พเนจรไปทั่ว ค่ำไหนนอนนั่นไปวันๆ บังเอิญเดินทางผ่านมาเห็นการทำสงครามเข้าให้พอดี จังหวะเห็นท่านกำลังได้รับบาดเจ็บก็เลยเข้าช่วยเหลือก็แค่นั้นเองไม่มีอะไรมากหรอก” “อ่อ... เช่นนั้นรึ” รับสั่งออกมาเบาๆ คำตอบของเทพเจ้าศาสตราทำให้องค์ชายรูปงามพยักพระพักตร์ขึ้นลง ด้วยทรงพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าบุรุษตรงหน้าพระพักตร์ในขณะนี้คงเป็นจอมยุทธ์ที่เดินทางไปทั่วยุทธ์ภพนั่นเอง “แล้วท่านผู้กล้าจะเดินทางไปที่ใดหรือไม่ หากแม้นมิมีจุดหมายปลายทาง ถ้าเช่นนั้นจะไม่เป็นการดีต่อท่านหรอกหรือหากข้าอยากให้ท่านใช้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำสงครามของท่านเข้ารับใช้ราชสำนักของแคว้นจ้าว หากท่านยินยอมจะได้...” พระองค์รับสั่งได้เพียงเท่านั้นพลันต้องสะดุดหยุดลงเมื่อเทพเจ้าศาสตรารับสั่งสวนกลับมาทันใด “ข้ายินยอม! เต็มใจอย่างยิ่ง... และมากๆ ด้วย... ไม่ต้องเสียเวลาคิดและไม่ต้องเสียเวลาเล่นตัวแต่อย่างใด ตกลงตามคำเชิญของท่านไม่มีปัญหาเหวินฉาง” พระองค์เผลอรับสั่งพระนามของพระสหายบนสรวงสวรรค์ด้วยเพราะหลงลืม เป็นเหตุให้องค์ชายรูปงามขมวดพระขนงคมเข้มได้รูปสวยเข้าหากันทันทีด้วยความงงงัน ไม่คาดคิดว่าจะทรงได้ยินการตอบรับจากอีกฝ่ายรวดเร็วถึงเพียงนี้ “เหวินฉาง!” องค์ชายรูปงามรับสั่งทวนชื่อดังกล่าวเบาๆ ราวกับว่าทรงคุ้นเคยและเหมือนเคยได้ยินชื่อดังกล่าวก่อนจะมีรับสั่งตอบกลับไป “เออ... ท่านไม่เสียเวลาใคร่ครวญแม้แต่น้อยที่ตอบรับคำเชิญของข้า นับว่าแคว้นจ้าวช่างโชคดีเป็นยิ่งนัก” รับสั่งพลางทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ก่อนจะมีรับสั่งสำทับตามติดมา “เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าเหวินฉางอย่างนั้นรึ! ทว่าข้ามิได้มีนามเช่นนั้น นามของข้าคือจ้าวเฟยหลง แล้วท่านเล่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” รับสั่งถามกลับไป พระพักตร์หล่อเหลาเกิดอาการเก้อเขินขึ้นมาทันทีเมื่อรับสั่งพระนามผิดๆ ถูกๆ ของพระสหายรัก “ข้ามีนามว่าเฟิ่งเหมี่ยน” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ เทพศาสตรารีบเฉไฉทอดพระเนตรไปทางอื่น ด้วยคร้านจะตอบคำถามกับพระสหายด้วยเพราะพระองค์คือเทพบรรพกาล เหล่าเทพเซียนชั้นสูงในยุคบรรพกาลและยุคกลางจะมีเพียงพระนามเท่านั้น มิได้มีแซ่ดั่งชาวโลกมนุษย์ ทว่าหากเทพเซียนองค์ใดเป็นมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะเพื่อบรรลุให้เป็นเทพเซียนแล้วไซร้ จึงจะมีแซ่มาพร้อมกับนามของตน “แล้วท่านแซ่ใดกระนั้นรึ” องค์ชายเก้าไม่วายรับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ ถ้อยรับสั่งของพระสหายทำให้เทพศาสตรานิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่าพระองค์มิได้มีแซ่ดั่งชาวมนุษย์เพราะทรงอวตารมาจากดอกบัวทิพย์ของพระพุทธองค์ “ข้าเป็นลูกกำพร้าไร้บิดามารดา นับตั้งแต่ถือกำเนิด จึงมิได้มีแซ่ดั่งเช่นผู้อื่นพึงมี จะมีเพียงแค่นามที่ถูกตั้งขึ้นจากผู้ที่ชุบเลี้ยงข้าเมื่อครั้งยังเยาว์วัยเพียงเท่านั้น เพราะผู้เลี้ยงข้ามาก็หามีแซ่เช่นเดียวกัน” รับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริง คำตอบของเทพเจ้าศาสตราทำให้องค์ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด ที่รับสั่งซักไซ้ไล่เลียงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากจนเกินไป แต่เพราะทรงต้องการทำความรู้จักผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์ให้มากกว่านี้ก็เท่านั้นเอง “ข้าต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาทถามไถ่เรื่องส่วนตัวของท่านมากจนเกินไป หวังว่าจะให้อภัยข้าที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้าเพียงแค่อยากทดแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือและอยากคบหาท่านเป็นสหายด้วยใจจริง” พระพักตร์งามละมุนหันกลับมาทอดพระเนตรพระสหายของพระองค์ทันที ก่อนจะทรงพระสรวลออกมาทันใด “ท่านคิดมากเกินไปแล้วเฟยหลง ข้าไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้นหรอกนะ เราคบหากันเป็นสหายมาอย่างยาวนานนับหลายแสนปีแล้ว เรื่องเพียงแค่นี้เล็กน้อยเท่านั้น” เทพศาสตรารับสั่งลืมตัวอีกแล้ว “หืออ!!” องค์ชายเก้าเปล่งพระสุรเสียงอยู่ในพระศอ เมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งแปลกๆ ของพระสหายใหม่ที่เพิ่งพานพบได้ไม่นาน ครั้นเทพศาสตรารู้สึกพระองค์รีบกลบเกลื่อนออกไปทันที “อะ... เออ... ข้าพูดผิดไป... ท่านอย่าได้ใส่ใจเลยนะ เวลาพูดอะไรเร็วๆ จะกล่าวคำผิดถูกอยู่เสมอเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป” รับสั่งพร้อมแย้มพระโอษฐ์กว้างส่งให้พระสหาย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเชือนแชไปทางอื่นทันที “แล้วนี่ท่านคิดออกหรือยังว่าจะจัดการทำยังไงกับกองทัพศัตรูของท่าน ที่ถอยร่นเข้าไปในเทือกเขาสูงแบบนั้น ถ้าจะใช้กำลังโอบล้อมอยู่เช่นนี้ จะเสียเวลาไปโดยมิมีประโยชน์ ทางที่ดีจัดการรวบรัดให้เสร็จศึกอย่างรวดเร็วจะดีกว่านะ” เทพศาสตราแสดงความคิดเห็นออกไป และนั่นทำให้พระพักตร์หล่อเหลามีรอยยิ้มบางๆ ออกมาทันทีเมื่อทรงได้ยินพระสหายใหม่กล่าวออกมาเช่นนั้น “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าจะทำเช่นไรกับกองทัพของศัตรู เพียงแต่ต้องใช้กองทหารส่วนหนึ่งไล่ต้อนให้ทัพของต้าเว่ยเข้าไปในถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาหัวซาน เพราะบริเวณนั้นเป็นจุดที่เปราะบางเกิดหิมะถล่มได้ตลอดเวลา เพียงแค่มีคนเข้าไปเหยียบย่ำภายในบริเวณนั้นหิมะก็ถล่มลงมาแล้ว ปิดกั้นหนทางเข้าไปได้แต่ออกไม่ได้ และนั่นจะทำให้กองทหารของต้าเว่ยต้องยอมจำนนแต่โดยดี วิธีนี้จะทำให้ชีวิตของทหารทั้งสองฝ่ายมิต้องล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิวอีกต่อไป” เทพศาสตราตราพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันก่อนจะยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นมาทันใด “ประเสริฐ! แผนการรบของท่านใช้ปราการทางธรรมชาติเข้าช่วยเหลือได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่เกรงว่าทหารของท่านจะต้องถูกฝังร่างตายตกไปตามกันด้วยน่ะสิ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดจากหิมะถล่มไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตเลยสักครา ทหารของต้าเว่ยรอดชีวิตแค่ยอมแพ้ แต่ทหารของท่านต้องพลีชีพเพื่อแผนนี้นับหลายร้อยนายเลยทีเดียว” “เฮ้อ!!!” เสียงถอนพระทัยออกมาทันใด เมื่อทรงได้ยินเทพศาสตรามีรับสั่งเช่นนั้น “นี่คือสิ่งที่ข้าก็กำลังขบคิดว่าจะหาทางออกเช่นไรดี จึงจะทำให้ทหารของข้ามีชีวิตรอดกลับมา” พระองค์รำพึงออกมาเบาๆ ท่ามกลางสายพระเนตรของเทพเฟิ่งเหมี่ยน ทรงครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในพระทัย ในขณะเดียวกัน “ท่านผู้เฒ่า! ท่านผู้เฒ่าอยู่ไหน! ได้ยินที่ข้าเรียกหรือไม่...ท่านผู้เฒ่าเยว่เทียน!!!” สุรเสียงรับสั่งผ่านทางญาณทิพย์จากโลกมนุษย์มาถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทะลุถึงเทือกเขาจันทรา ซึ่งเทพเจ้าจันทรากำลังเข้าญาณอยู่ในขณะนี้ เปลือกพระเนตรที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยพระเนตรสีฟ้าครามคู่สวยของเทพเจ้าหนุ่มใหญ่ฉายแววความระอาเมื่อทรงได้ยินสุรเสียงของพระสหายสนิท “ข้าได้ยินเจ้าแล้วเฟิ่งเหมี่ยน ตั้งแต่เจ้าลงไปโลกมนุษย์เรียกหาข้าๆ ทุกๆ หนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว ข้าปวดหัวกับเจ้าจริงๆ เชียว ล่วงรู้หรือไม่” รับสั่งตอบพระสหายกลับไปพลางส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กัน “ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าร่ำร้องเรียกหาท่านอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ก็ปลดผนึกพลังเวทคืนให้แก่ข้าสิ ข้าจะได้ไม่ต้องมารบกวนท่านบ่อยๆ และเรียกหาท่านอยู่แบบนี้” เทพศาสตรารับสั่งทวงพลังเวทของพระองค์กลับคืน “นี่อาศัยที่ข้ากำลังรำคาญเจ้าเพราะถูกเรียกบ่อยๆ มาเป็นข้อเจรจาต่อรอง นับว่าเจ้าฉลาดมากนะเฟิ่งเหมี่ยน” “ก็แล้วใครบอกว่าข้าโง่เล่า แต่เป็นเพราะถ้าเทียบความฉลาดแล้ว ท่านฉลาดกว่าข้าก็เท่านั้นเอง แต่ก่อนอื่นข้าใคร่อยากถามอะไรบางอย่างท่านสักหน่อย” เทพศาสตรารับสั่งถามในสิ่งที่พระองค์ใคร่รู้ ทว่าสิ่งที่พระองค์ใคร่รู้นั้นเทพจันทราทรงล่วงรู้แล้วโดยมิทันได้มีรับสั่งถามแต่อย่างใด “ถ้าเจ้าจะถามข้าว่า เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นไรต่อไปเจ้ามิต้องไปเสียเวลาตรงนั้นหรอกเฟิ่งเหมี่ยน ลิขิตสวรรค์กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เจ้าเพียงแค่เฝ้าคอยดูเหตุการณ์มิต้องทำอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งย่อมมีเหตุและผลด้วยกันทั้งสิ้น” รับสั่งของเทพเจ้าจันทราทำให้พระสหายเงียบงันไปทันใด เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินพระสุรเสียงรับสั่งถามทางญาณทิพย์กลับมา “เพราะเหตุการณ์นี้ใช่หรือไม่คือจุดเปลี่ยนชีวิตของเหวินฉาง” “ถูกต้อง!” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะปิดพระเนตรลงอย่างช้าๆ “จากนี้ไปลำบากเจ้าแล้วเฟิ่งเหมี่ยน เพราะหนทางข้างหน้าจะเกิดเหตุการณ์มากมายกับเหวินฉาง เจ้าทำได้เพียงแค่เฝ้ามองและคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่ฝ่าฝืนลิขิตของสวรรค์” เทพเจ้าจันทรารับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์พลางร่ายเวทปลดผนึกพลังเทพเซียนของเทพเจ้าศาสตรากลับคืนไปให้ดั่งเดิม เพื่อที่พระสหายสนิทจะไม่ต้องโวยวายต่อว่าพระองค์อีกต่อไป ด้วยเพราะในเวลานี้จำต้องเข้าญาณบำเพ็ญเพื่อเรียกพลังเวทกลับคืน สาเหตุมาจากการสูญเสียพลังในการปิดผนึกหยกจันทราที่สถิตอยู่ในพระวรกายขององค์หญิงน้อยนั่นเอง อำนาจของหยกจันทราที่แผ่อยู่ในโลกมนุษย์ทำให้เทพเจ้าจันทราเสียพลังบำเพ็ญไปห้าส่วนเลยทีเดียว จึงมิทรงมีพระทัยจะคอยแกล้งพระสหายอีกต่อไป ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของเทพศาสตราเต็มไปด้วยความยินดีอย่างยิ่งยวดเมื่อทรงได้พลังเวทของพระองค์กลับคืน “โอ้โห! ท่านคืนพลังเวทให้แก่ข้าจนหมดเช่นนี้ ช่างดียิ่งนัก ต่อไปจะคิดอะไรทำอะไรก็จะสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องมารบกวนท่านอีกแล้ว สบายใจได้เลยท่านผู้เฒ่า ทางโลกมนุษย์ข้าจะจัดการแทนให้เอง ไม่ต้องห่วงมีเฟิ่งเหมี่ยนเพียงแค่หนึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว” เทพเจ้าศาสตรารับสั่งมาทางญาณทิพย์ก่อนจะเงียบงันไป พระเนตรสีฟ้าครามค่อยๆ เปิดขึ้นมาอีกคราราวกับว่ามีบางอย่างที่ทรงกังวลอยู่ภายในพระทัย “ข้าก็หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับจากนี้ต่อไปเบื้องหน้าเช่นกัน” เทพเจ้าจันทรารับสั่งพร้อมค่อยๆ ปิดพระเนตรสีฟ้าครามเริ่มเข้าญาณตบะขั้นที่เก้าของพระองค์เพื่อเรียกพลังบำเพ็ญกลับคืน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม