บริเวณกระโจมที่ประทับ
พระวรกายใหญ่บรรทมนิ่งอยู่บนฟูกนอนภายในกระโจม พระพักตร์หล่อเหลาโฉมสลักตราตรึง บัดนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำอย่างเห็นได้ชัด พระโอษฐ์หยักได้รูปสวยขาวซีดไร้สิ้นสีเลือดเจือจาง ลมหายใจเริ่มขาดห้วงลงเมื่อเหล่าหมอหลวงมิอาจถอนพิษร้ายไปจากพระวรกายขององค์ชายรูปงามนี้ไปได้เลย จะเป็นเพราะด้วยจนปัญญามิสามารถหาหนทางรักษาหรือเพราะตั้งใจให้องค์ชายเก้า จ้าวเฟยหลง สิ้นพระชนม์ในการออกทำศึกสงครามเป็นครั้งแรกของพระองค์ก็มิอาจล่วงรู้ได้
“จะทำเช่นไรดีหนอ องค์ชายจวนเจียนจะสิ้นพระชนม์แล้ว พวกท่านเป็นหมอหลวงด้วยกันทั้งสิ้น เหตุใดจึงหาต้นตอพิษร้ายนี้ไม่ได้ จะเฝ้ามองให้องค์ชายจบสิ้นชีวาวายไปต่อหน้าเช่นนี้หรอกรึ!!!”
แม่ทัพผู้ซื่อสัตย์นามว่าหวังซุนเย่ ซึ่งคอยรบเคียงข้างพระวรกายองค์ชายของตนเอ่ยถามเสียงดังก้องด้วยความขัดเคืองใจ หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นกลับมีเพียงความเงียบงันไร้สิ้นถ้อยเจรจาแม้เพียงครึ่งคำก็หาได้ออกจากปากไม่
บรรดาหมอหลวงต่างก้มหน้ามองพื้นดิน มิยอมเอื้อนเอ่ยถ้อยเจรจาแต่อย่างใด ต่างคนต่างหันไปสบตาหมอหลวงซึ่งนั่งอยู่หัวแถว ซึ่งนั่งหน้านิ่งมิรู้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะหมอหลวงคนดังกล่าวถูกองค์ไทจื่อส่งมานั่นเอง เพื่อลงมือทำตามแผนร้ายที่พระองค์กับต้ากุ้ยเฟยวางแผนเอาไว้
หากแม้นองค์ชายรูปงามได้รับบาดเจ็บในสนามรบเพราะถูกยาพิษที่อาบไว้ที่อาวุธทุกชนิด ซึ่งแอบลักลอบวางยาพิษดังกล่าวในอาวุธขององค์รัชทายาทจากต้าเว่ยเพื่อให้อีกฝ่ายถูกพิษร้ายจากแคว้นศัตรู โดยหารู้ไม่ว่าพิษนั้นถูกลักลอบวางยาจากองค์ไทจื่อจากแคว้นจ้าว หมายสังหารพระอนุชาองค์สุดท้องด้วยความริษยาและชิงชังอย่างยิ่งยวด
มิหนำซ้ำยังส่งหมอหลวงซึ่งเป็นฝ่ายขององค์รัชทายาทเข้ามาตรวจรักษาอาการ และขัดขวางมิให้ทำการรักษาได้เพื่อให้องค์ชายรูปงามสิ้นพระชนม์ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อแผนดังกล่าวสำเร็จองค์ไทจื่อจะสวมรอยนำทัพทั้งแปดทิศบุกต้อนทัพของต้าเว่ยเข้าไปในเทือกเขาหัวซาน ดำเนินตามแผนของพระอนุชาซึ่งเป็นผู้คิดค้นแผนการนี้
นอกจากจะสามารถสยบกองทัพของต้าเว่ยเอาไว้ได้แล้ว พระนามขององค์ไทจื่อจะต้องเลื่องลือจนโจษขานเป็นที่ยำเกรงไปทั่วทุกสารทิศเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสวมรอยแอบอ้างนำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน เป็นเรื่องที่จ้าวจื่อห้าว องค์รัชทายาทผู้นี้ถนัดเป็นยิ่งนัก
“พรึ่บ!” พระวรกายเลือนรางขององค์หญิงเจียงอิ้งเยว่ปรากฏขึ้นภายในกระโจมที่ประทับขององค์ชายจ้าวเฟยหลงแห่งแคว้นจ้าว
พระเนตรสีอ่อนทอดพระเนตรไปยังพระพักตร์หล่อเหลาที่เคยมีพระสิริโฉมสลักตราตรึง แต่ที่ทำให้องค์หญิงแสนสวยต้องตะลึงลานหาใช่พระสิริโฉมหล่อเหลา แต่กลับเป็นพระเนตรสีทองอร่ามและพระเนตรที่สามซึ่งพระนางได้ทอดพระเนตรด้วยความบังเอิญเมื่อเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา ทำให้พระนางถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะเลยทีเดียว ก่อนจะรู้สึกพระองค์รีบร่ายเวทเร้นพระวรกายออกจากสนามรบโดยพลันเพื่อมิให้อีกฝ่ายล่วงรู้
ทว่าการกระทำของบุรุษผู้นั้นทำให้องค์หญิงน้อยรู้สึกผิดเป็นยิ่งนัก ที่รีบร้อนเร้นพระวรกายออกจากสนามรบทั้งๆ ที่ทรงเป็นต้นเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงเพราะเข้ามาช่วยเหลือพระนางจนได้รับบาดเจ็บหนักเสียเอง
องค์หญิงน้อยทอดพระเนตรบรรดาทหารและหมอหลวงที่กำลังนั่งเคร่งเครียดกับอาการของผู้มีพระคุณที่มีต่อพระนาง ทว่าจากที่ทรงได้สดับฟังคร่าวๆ แลดูคล้ายราวกับว่า ผู้มีพระคุณจะมียกศักดิ์สูงกว่าแม่ทัพนายกองทั่วไปตามที่พระนางทรงคิดไว้ตั้งแต่แรก
“บุรุษผู้นี้คงจะมีฐานะสำคัญของแคว้นจ้าวเสียกระมัง บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองจึงล้วนแต่เคร่งเครียดกันเช่นนี้” องค์หญิงน้อยรับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย
ทว่าพระนางมิอาจรอช้าได้รีบรุดพระดำเนินเร้นพระวรกายอันเลือนรางเข้าไปหาผู้มีพระคุณของพระนางโดยพลัน
พระเนตรสีน้ำตาลอ่อนทอดพระเนตรใบหน้าหล่อเหลา คมคร้ามรัญจวนจิตอย่างยิ่งยวด แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกพิษร้ายแต่ความงดงามยังคงอยู่มิเปลี่ยนแปลง พระดรรชนีค่อยๆ ยกขึ้นก่อนจะสัมผัสพระเนตรที่กำลังปิดสนิทอยู่ขององค์ชายรูปงาม ดรรชนีเรียวสวยค่อยๆ ไต่ไปตรงกลางพระนลาฎที่ได้ทอดพระเนตรตาที่สาม
“ท่านเป็นผู้ใดกระนั้นรึ! เหตุใดจึงมีดวงตาสีทองอร่ามดั่งเช่นข้า! มิหนำซ้ำยังมีตาที่สามตรงกลางหน้าผาก หากแม้นข้ามิเห็นด้วยตาตัวเองแล้วไซร้ หายอมเชื่อเป็นแม่นมั่นว่าในพิภพนี้ยังมีบุรุษผู้ซึ่งมีลักษณะดุจเดียวกับมหาเทพแห่งสงครามบนสรวงสวรรค์ที่มนุษย์เช่นข้าต่างเทิดทูนและเคารพบูชามหาเทพองค์นั้นมาโดยตลอด” พระนางรำพึงอยู่ภายในพระทัย ก่อนจะสลัดความคิดออกไปทันที
“ข้าซาบซึ้งในน้ำใจที่ท่านช่วยชีวิตในสนามรบเป็นยิ่งนัก เพื่อแทนคุณของท่านที่ช่วยชีวิตมิต้องติดค้างเป็นหนี้บุญคุณต่อกัน ข้าจะถอนพิษร้ายออกจากกายให้เอง” พระนางรับสั่งพร้อมเริ่มร่ายเวทเพื่อถอนพิษร้ายออกจากผู้มีพระคุณ
ทันใดนั้นเอง
“พรึ่บ!” พระวรกายสูงใหญ่ของเทพเจ้าจันทราปรากฏขึ้นโดยพลัน
มหาเทพเยว่เทียนปรากฏพระวรกายขึ้น ก่อนจะร่ายเวทให้ทุกชีวิตทั้งภายในกระโจมและด้านนอกหยุดชะงักทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์หญิงน้อยจากแคว้นเจียงที่ล่มสลาย ก็ตกอยู่ในพลังเวทอันแก่กล้าของพระองค์ด้วยเช่นกัน
เทพบรรพกาลผู้มากด้วยสิริโฉมพระดำเนินตรงไปที่พระสหายของพระองค์ ก่อนจะร่ายเวทล้างพิษร้ายออกไปจากพระวรกายของเหวินฉางเทียนจวิน พลังเวทสีฟ้าอ่อนเรืองรองเปล่งออกจากพระหัตถ์ก่อนจะทาบทับตั้งแต่พระเศียรและค่อยๆ ลามเลียไปทั่วพระวรกาย พระพักตร์หล่อเหลาที่เขียวคล้ำ และพระโอษฐ์ที่ขาวซีดดั่งคนตายแปรเปลี่ยนกลับมาดั่งเดิมเป็นปกติไร้สิ้นพิษร้ายไปโดยพลัน
มหาเทพรูปงามค่อยๆ หันพระวรกายกลับมาทอดพระเนตรองค์หญิงน้อยเขม็ง พร้อมใช้พระเนตรทิพย์สำรวจหาหยกจันทราซึ่งสถิตอยู่ภายในพระวรกายของสตรีมนุษย์ตรงหน้าพระพักตร์ พระเนตรทิพย์ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรหยกจันทราได้ทำการหล่อหลอมหัวใจของเจียงอิ้งเยว่เกือบจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“เป็นไปไม่ได้!” รับสั่งด้วยความตระหนกพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อทรงล่วงรู้ความลับสวรรค์
“เหตุใดสวรรค์จึงลิขิตสตรีมนุษย์ผู้นี้พลิกผันให้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ไม่ได้การแล้ว! เห็นทีต้องผนึกพลังเวทของหยกจันทรามิให้แผ่ไอทิพย์ออกมา หาไม่แล้วจะทำให้เหล่ามารและปีศาจตามพลังเวทจนพบและล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้ว หยกจันทราสถิตอยู่ในกายของนาง หายนะบังเกิดขึ้นแน่!”
มหาเทพเยว่เทียนรับสั่งพร้อมเริ่มร่ายเวทปิดผนึกพลังอำนาจของหยกจันทราซึ่งอยู่ในพระวรกายขององค์หญิงน้อยอย่างหนาแน่น ตราบใดที่นางยังเป็นมนุษย์จะมิสามารถใช้พลังเวทดังกล่าวนี้ได้อีกต่อไป จนกว่าจะตายจากกายหยาบของการเป็นมนุษย์ พลังอำนาจของหยกจันทราจึงจะหวนกลับคืนดั่งเดิม
ไอทิพย์ของหยกจันทราที่แผ่ออกจากร่างขององค์หญิงแสนสวย เปล่งรัศมีออกมาตลอดเวลาทันทีที่สัมผัสกับผู้เปิดผนึก แสงเรืองรองค่อยๆ กลับคืนเข้าไปภายในพระวรกายงามทีละน้อยเมื่อถูกเทพเจ้าจันทราใช้พลังเวทขั้นสูงสุดของผู้สำเร็จตบะขั้นที่เก้าปิดผนึกไอทิพย์ของหยกจันทรามิให้สำแดงเดชออกมาในโลกมนุษย์นี้อีกต่อไป ทันทีที่ไอทิพย์ของหยกจันทราถูกปิดผนึกเป็นผลสำเร็จ
“พรืดดด!!!” มหาเทพรูปงามทรงสำลักพระโลหิตออกมาโดยพลัน
“อ๊อกกก!!!” พระโลหิตสีแดงฉานกระอักออกมาจากพระโอษฐ์ทันใดครั้นทรงปิดผนึกพลังเวทจากหยกจันทราเสร็จสิ้น ก่อนจะยกพระหัตถ์เรียวค่อยๆ เช็ดพระโลหิตที่เปรอะเปื้อนอยู่ริมพระโอษฐ์ให้หมดสิ้นไป
“สิ่งวิเศษของเทพบิดรชิ้นนี้เต็มไปด้วยอำนาจและพลังกล้าแข็งยิ่งนัก เพียงแค่ปิดผนึกมิให้หยกจันทราแสดงอำนาจออกมา กลับทำให้พลังบำเพ็ญของข้าสูญสิ้นไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย
พระเนตรสีฟ้าครามค่อยๆ หันกลับไปทอดพระเนตรพระสหายของพระองค์ที่ทรงบรรทมอยู่ในขณะนี้ ก่อนจะหันกลับไปทอดพระเนตรพระพักตร์งดงามลึกล้ำขององค์หญิงแสนสวย ราวกับว่าทรงหนักพระทัยอะไรบางอย่างเมื่อทรงล่วงรู้ความลับสวรรค์ที่เพิ่งจะค้นพบ
“ลำบากเจ้าแล้วอิ้งเยว่ ข้าหวังว่าเจ้าจะก้าวผ่านพ้นลิขิตของสวรรค์นี้ไปได้ และหวังว่าเจ้าจะอดทนได้อย่างดีเยี่ยมเพื่อที่เจ้าและเหวินฉางจะก่อเกิดวาสนาต่อกันในภายภาคหน้า”
มหาเทพรับสั่งพร้อมร่ายเวทดึงความทรงจำที่พระนางจดจำได้ว่าเคยมีพลังเทพเซียนในกายของนางออกทันที รวมไปถึงร่ายเวทกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพระนางดึงความทรงจำที่ล่วงรู้ว่าเคยมีพลังเวทของหยกจันทราแฝงเร้นอยู่ในพระวรกายลบเลือนหายไปจนหมดสิ้น
พลังเวทของเทพเจ้าจันทราทำให้พระนางจดจำได้แต่เพียงว่าบุรุษผู้มีโฉมสลักงดงามหล่อเหลาผู้นี้เป็นคนช่วยชีวิตพระนางไว้กลางสนามรบในขณะที่กำลังเดินทางมาแคว้นจ้าว และพลัดหลงเข้าไปในสนามรบเพราะพระนางเข้าไปช่วยบุรุษปริศนาผู้หนึ่งที่ตกจากเทือกเขาสูง ก่อนจะร่ายเวทนำพระวรกายองค์หญิงน้อยออกไปจากกระโจมที่ประทับกลางสนามรบเพื่อกลับไปทำหน้าที่แทนคุณตามที่ได้รับมอบหมายมา
พระวรกายงามระหงขององค์หญิงเจียงอิ้งเยว่ค่อยๆ เลือนหายไปจากกระโจมที่ประทับโดยพลัน พระพักตร์โฉมสลักตราตรึงของมหาเทพเยว่เทียนหันกลับไปทอดพระเนตรพระสหายอยู่เพียงครู่พลางคลี่พระโอษฐ์ออกมาบางๆ ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปกลับขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าดั่งเดิม
“ทุกชีวิตแม้จะถูกสวรรค์ลิขิตโชคชะตา ทว่ามิได้เป็นไปตามดั่งที่สวรรค์ลิขิตไว้เช่นทุกรายไป ข้าเอาใจช่วยเจ้าอยู่เสมอ เหวินฉาง อิ้งเยว่ แม้วาสนาของเจ้าทั้งสองจะบางเบา ทว่าแม้นไม่มีวาสนาต่อกันแล้วไซร้ไฉนเลยจึงมาพานพบกันได้ในครานี้ อย่างน้อยบุพเพของเจ้าทั้งสองก็ยังมีเยื่อใยบางๆ ร้อยรัดเอาไว้”
พระสุรเสียงของมหาเทพเยว่เทียน รับสั่งทิ้งท้ายดังก้องอยู่ในดวงจิตขององค์ชายจ้าวเฟยหลงแห่งแคว้นจ้าว ก่อนจะค่อยๆ เงียบงันพร้อมทุกชีวิตเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
พระเนตรที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ จวบจนกระทั่งสามารถทอดพระเนตรรอบพระวรกายได้อย่างชัดเจน พระวรกายใหญ่ลุกพรวดพราดจากฟูกพระบรรทม ท่ามกลางอาการตกตะลึงของเหล่าแม่ทัพนายกองและบรรดาหมอหลวงที่กำลังเคร่งเครียดในพระอาการที่ใกล้จะสิ้นพระชนม์อยู่รอมร่อ
“นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกันอยู่ที่นี่! เหตุใดไม่อยู่ในสนามรบ ผู้ใดควบคุมกองทัพอยู่ในขณะนี้!” รับสั่งถามสุรเสียงดังก้องท่ามกลางความงงงันต่อบรรดาข้าราชบริพารที่อยู่ภายในกระโจม
“ข้าถามพวกเจ้าไม่ได้ยินรึ!!!” สุรเสียงตวาดกึกก้อง
บรรดาแม่ทัพนายกองรู้สึกตัวขึ้นมาโดยพลัน ก่อนจะรีบละล่ำละลักกราบทูลถามกลับไป
“องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ถูกลูกศรพิษขององค์รัชทายาทต้าเว่ยจนจวนเจียนจะสิ้นพระชนม์แล้ว เหตุใดจึงมิปรากฏพิษดังกล่าวออกมาอีกเลย” แม่ทัพคนสนิทกราบทูลถามด้วยความงงงันมิรู้วาย
“ข้าถูกพิษเช่นนั้นรึ! แต่ข้าหามีความรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด! ตอนนี้เป็นปกติดีทุกอย่าง แล้วผู้ใดบัญชาการทัพแทนข้าอยู่ตอนนี้หรือว่าเจ้าพี่นำทัพมาสนับสนุนแล้วอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายรูปงามรับสั่งถามกลับไป
“องค์ชายทั้งแปดได้ยกทัพมาสนับสนุนเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่มีบุรุษผู้หนึ่งองอาจและห้าวหาญเป็นยิ่งนัก อีกทั้งมีฝีมือในการทำสงครามอย่างยิ่งยวดเข้ามาช่วยรบและช่วยเหลือองค์ชายให้กลับมารักษาพระวรกาย ก่อนจะนำกองทหารเท่าที่มีอยู่ออกต้านทัพของต้าเว่ยอยู่ในขณะนี้ ส่วนสถานการณ์จะเป็นเช่นไรนั้นกระหม่อมมิอาจล่วงรู้ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะเฝ้าพระอาการองค์ชายอยู่ที่นี่”
พระพักตร์โฉมสลักตราตรึงหันกลับไปทอดพระเนตรแม่ทัพของพระองค์ทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะวิ่งออกจากกระโจมที่ประทับไปทันที
“องค์ชาย! จะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะกลับไปสนามรบ!!!” สุรเสียงตะโกนก้องกลับมา
ถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้บรรดาแม่ทัพต่างรีบวิ่งตามไปติดๆ อย่างมิรอช้าทันที
“ทรงเพิ่งถูกพิษเหตุไฉนจึงกลับคืนเป็นปกติดั่งมิเคยต้องพิษร้ายมาก่อนได้เล่า ช่างน่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร ตามเสด็จเร็วเข้า!” บรรดาแม่ทัพวิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิดเพื่อติดตามเสด็จองค์ชายซึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพในครั้งนี้ของตน
ท่ามกลางสายตาของหมอหลวงโฉดซึ่งองค์ไทจื่อส่งมา เพื่อดำเนินการตามแผนร้ายที่วางเอาไว้ ดวงตาดำใหญ่กลอกกลิ้งไปมาด้วยความแปลกใจระคนตื่นตระหนก ที่ได้เห็นพระอาการขององค์ชายเก้าจวนเจียนใกล้จะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว ทว่ากลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากที่จะต้องสิ้นพระชนม์ กาลกลับกลายเป็นปกติดั่งเดิมราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“หรือว่า... สิ่งที่ข้าเคยได้ยินมาจะเป็นความจริง!” หมอหลวงคนดังกล่าวรำพึงออกมาเบาๆ
“ท่านเคยได้ยินกระไรมารึ!” ผู้ช่วยหมอหลวงถามแทรกขึ้นมาทันที
“ข้าได้ยินหัวหน้าหมอหลวงเคยพูดว่า ในวันที่องค์ชายเก้าทรงประสูติเกิดปรากฏการณ์ดวงดาวทั้งเก้าทิศทอแสงจากเบื้องบนลงอาบทั่วบริเวณพระราชวังหลวง อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าองค์สำคัญลงมาจุติในโลกมนุษย์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะทรงถูกปองร้ายด้วยวิธีใด พระองค์มิเคยต้องเหตุเภทภัยนั้นเลย เพราะทรงมีเทพเจ้าคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา”
คำกล่าวของหมอหลวงทำให้บรรดาผู้ช่วยต่างหันกลับมามองหน้ากันทันที ความหวาดกลัวพลันบังเกิดขึ้นมาโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ขะ... ข้า... ข้าไม่ขอเข้าร่วมงานครั้งนี้อีกต่อไปแล้ว ขืนทำตามรับสั่งขององค์รัชทายาทจะต้องถูกเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ลงโทษเป็นแน่ ดีไม่ดีจะถูกสาปให้เป็นหมู เป็นหมาหรือเป็นสัตว์เดรัจฉานอื่นๆ จะทำเช่นไรเล่า... เรื่องที่ท่านล่วงรู้มาข้าก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน ข้าคนหนึ่งที่ไม่ขอร่วมมือด้วยแล้ว ข้ากลัวเทพเจ้าลงโทษ”
ผู้ช่วยหมอหลวงคนดังกล่าวทิ้งประโยคให้ได้คิดพร้อมรีบก้าวออกจากกระโจมที่ประทับอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของผู้ช่วยหมอหลวงคนอื่นๆ ร้องเรียกตามไล่หลังเอ็ดอึง
“ข้าไปด้วย!”
“ข้าก็ขอไปด้วย! ข้ากลัวเช่นกัน”
ผู้ช่วยหมอหลวงรีบผละออกจากหมอหลวงคนดังกล่าวทันที ต่างแยกย้ายไปดูอาการบรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บกันอย่างเร่งรีบมิขอเข้าไปเกี่ยวข้องกับแผนการลอบปลงพระชนม์องค์ชายเก้าอีกต่อไป โดยมีเสียงรำพึงรำพันของหมอหลวงคนดังกล่าวไล่หลังตามติดมา
“ข้าก็กลัวไม่น้อยกว่าพวกเจ้าเช่นกัน! ตัวใครตัวมันเถอะ! องค์ไทจื่อ ทรงอยากถูกเทพเจ้าลงโทษก็เชิญพระองค์อยู่เผชิญหน้าไปเพียงลำพัง ข้าขอเอาตัวเองให้รอดเป็นการดีที่สุด” กล่าวพร้อมรีบวิ่งออกจากกระโจมดังกล่าวทันที วิ่งหน้าตั้งไม่หันกลับมามองภายในกระโจมดังกล่าวอีกเลย