“กล่าวความจริงมา ว่าแท้จริงระหว่างเจ้ากับผิงหลัวอันใดเกินเลยกันไปหรือไม่?” พอทุกคนมาพร้อมหน้ากันยังห้องหลังสือใหญ่แล้วเซี่ยหย่งสือเขาจึงเอ่ยปากสอบสวนบุตรชายก่อนเป็นอันดับแรก อย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมอีกเพราะในห้องนี้มีเพียงคนกันเองทั้งสิ้น
เพราะเหลือบสายตาไปมองเด็กสาวผู้เดียวในห้องแล้วพบว่านางนั้นนั่งตัวลีบหดเล็กมีท่าทางหวาดกลัวจนกายสั่นระริกใต้เท้าเซี่ยก็อดจะสงสารจากใจจริงเสียมิได้ นิสัยของบุตรชายเป็นเช่นไรเขาหรือจะไม่ทราบ เช่นกันเด็กสาวที่เขาเห็นนางเติบโตมากับตาหลายปีเป็นคนหัวอ่อนและแสนจะหวาดกลัวเพียงใดเขาย่อมรู้แจ้ง ส่วนซูเยว่ผิงอดีตอนุภรรยาผู้หนึ่งที่เขาโปรดปรานมากกว่าผู้ใดพอสิ้นฮูหยินเอกผู้เป็นมารดาของเซี่ยหย่งอี้สิ้นใจเขาจึงเลือกยกฐานะจากอนุภรรยาขึ้นมาเป็นฮูหยินแทน เองเขาก็ยิ่งทราบดีถ่องแท้ไปถึงสันดานดิบของนางดี ดังนั้นนับตั้งแต่แรกเริ่มเขาจึงเร่งตบแต่งงานมาเป็นอนุภรรยาแทนที่จะปล่อยให้นางมาเป็นสะใภ้ตั้งแต่หลายปีก่อนเช่นนี้
“ท่านพ่อเบาปัญญาจนมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ออกจริงหรือ?”
ดูเจ้าลูกชายของเขามันยอกย้อนเสียก่อนมันน่าปล่อยมือไม่ช่วยเหลือเสียจริง ยิ่งเขามองจับจ้องดวงตาที่ถอดพิมพ์ของอดีตภรรยาเอกผู้ลาจากมาถึงเก้าส่วน แล้วเซี่ยหย่งอี้นั้นมองตอบกลับมาด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่ความหมายที่ส่งมานั้นเขาอ่านได้ว่า’ ท่านพ่อเพียงมองด้วยตาเปล่าจะมิแจ้งใจจริงหรือว่าข้าเป็นคนเช่นไร เป็นบุรุษที่จะรังแกสตรีผู้ไม่เต็มใจได้จริง?’ ซึ่งนั้นกลับทำให้ใต้เท้าเซี่ยต้องแอบระบายลมหายใจทิ้งอย่างอึดอัดเพราะเขาทราบดีแต่หลักฐานที่ซูเยว่ผิงสร้างขึ้นมันก็ร้อยรัดมัดกายบุตรชายของเขาจนยากจะแก้นะสิ หากเขาตัดสินยึดความเป็นจริงข่าวฉาวโฉ่และคาวโลกีย์เช่นนี้ฝ่ายเซี่ยหย่งอี้นั้นมิสะท้านสะเทือน ทว่าซูผิงหลัวเด็กสาวคนซื่อบื้อนางย่อมเสียหายยากจะกู้คืนแล้วเป็นแน่
“ท่านพี่เจ้าค่ะ เยว่ผิงขอกล่าวแทรกสักหน่อยเถิด กล่าวกันอย่างจริงใจ เมื่อราตรีที่ผ่านมานั้นจะเกิดสิ่งไม่งามขึ้นหรือไม่เกิดแต่เช่นไรผิงเอ๋อร์นั้นก็เป็นสตรี เป็นเด็กสาววัยใกล้จะออกเรือนอย่างไรก็เสียหายไปแล้ว ส่วนท่านแม่ทัพนั้นเป็นบุรุษย่อมมิระคายอันใดเลย เช่นนั้นอย่างไรท่านพี่ก็สมควรจะมอบความเป็นธรรมให้ผิงเอ๋อร์นะเจ้าค่ะ”
พอซูเยว่ผิงนั้นเห็นท่าทีของสามีดูจะเอนเอียงไปทางบุตรชายของตนเองมากกว่าบุตรสาวบุญธรรมของนาง จึงอดจะกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างเกรงว่าแผนที่นางเตรียมมาหลายสิบวันอาจจะล่มสลายไม่สมหวังพังไม่เป็นท่าเอาได้ ซูงหากแผนการในวันนี้ล่มก็คงยากจะลงมืออีกแล้วเป็นแน่เพราะนานครั้งเซี่ยหย่งอี้นั้นจะกลับมาเมืองหลวงเขารั้งอยู่เพียงค่ายที่หยางโจวรอบนี้ยังนานถึงสามปีเขาจึงกลับมาร่วมงานเลี้ยงของบิดาตนเอง แล้วหากเขากลับไปคราวนี้ผู้ใดจะทราบว่าจะนานกี่ปีกัน
ซึ่งคำกล่าวของท่านแม่บุญธรรมทำให้ซูผิงหลัวผวาเฮือกเพราะนางโง่ก็จริงแต่ความหมายที่ท่านแม่จะสื่อนางย่อมเข้าใจแจ่มแจ้ง ดวงตากลมโตที่บวมช้ำเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าซูเยว่ผิงนั้นจะต้องการให้เซี่ยหย่งอี้รับผิดชอบนางจริงจัง ก็หลายวันก่อนท่านแม่บุญธรรมยังต้อนรับแม่สื่อของจวนสกุลเย่อยู่เลย แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งใดนางทราบดีว่าตนเองกับท่านแม่ทัพจอมทมิฬนั้นมิได้มีสิ่งใดเกินเลยต่อกัน
“ท่านแม่บุญธรรมเจ้าคะ ถึงเมื่อคืนนี้ผิงหลัวนั้นเผลอเข้าห้องผิดไปจริง ทว่าร่างกายนี้ผิงหลัวย่อมทราบดีว่ายังเหมือนเดิมมิมีสิ่งใดเสียหายเลยสักน้อย เช่นนั้นท่านแม่บุญธรรมและท่านพ่อบุญธรรมก็อย่าให้ท่านแม่ทัพมาเดือดร้อนต้องรับผิดชอบอันใดต่อผิงหลัวเลยนะเจ้าค่ะ”
เด็กสาวเร่งร้อนรีบโต้แย้งออกไปทันทีเพราะในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเองกำลังจะทำให้ท่านแม่ทัพเซี่ยหย่งอี้นั้นต้องมาเดือดร้อนทั้งที่คาดว่าท่านแม่ทัพคงไม่รู้เรื่องอันใดด้วยจริง ก็นั่นมันห้องหอนอนของเขาเป็นนางที่บุกรุกเข้าไปหากมันคือห้องหอนอนของนางแล้วเขาบุกรุกเข้านั่นจึงค่อยกล่าวได้เต็มปากว่าอีกฝ่ายคิดไม่ดีต่อนางจริงๆ
นางกล่าวทุกคำจากใจออกไปแล้วก็ไม่กล้าจะมองหน้าของผู้ใดทั้งสิ้นโดยเฉพาะเซี่ยหย่งอี้ด้วยแล้วนางยิ่งไม่กล้าหันไปมองอีกฝ่ายแม่เพียงปลายเท้าของเขาเพราะหวาดกลัวสายตาเกรี้ยวกราดไปด้วยเพลิงโทสะท่วมท้น
ซึ่งเซี่ยหย่งอี้นั้นพอได้ฟังคำพูดแสนใสซื่อของเด็กสาวเขาก็พลันแสยะยิ้มร้ายกาจออกมาเต็มใบหน้าเพราะเขานั้นคิดเอาไว้แต่แรกที่เห็นซูเยว่ผิงไปโผล่อยู่ที่หน้าเรือนนอนฝั่งของเขาตั้งแต่เช้านั่นแล้ว สตรีไร้ยางอายผู้นี้จุดประสงค์ดีคงไม่มีเป็นแน่อยู่แล้ว หึ!...แล้วหากวันนี้นางยังไม่สมหวังคงไม่มีทางที่ซูเยว่ผิงนั้นจะล้มเลิกแผนการร้ายและความตั้งใจไปโดยง่ายเป็นแน่หากนางยังไม่ได้ในสิ่งที่นางต้องการ
“หุบปาก!”
ซูเยว่ผิงหันไปตวาดบุตรสาวบุญธรรมที่โง่เง่าไม่ได้ดังใจของนางเสียเลย กายบอบบางถึงกับผวาสะดุ้งแทบพลัดตกจากเก้าอี้ นางจิกปลายเล็กลงบนหลังมือพร้อมกับกัดเรียวปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดในปากเพราะหวาดกลัวแม่บุญธรรมของตนเองอย่างล้นเหลือ
“เจ้าเป็นสตรีในวัยออกเรือนหลายวันก่อนสกุลเย่เพิ่งส่งแม่สื่อมาทาบทามเจ้าให้กับคุณชายรองเย่ หากวันนี้ข่าวเรื่องที่เจ้าไปอยู่ในเรือนท่านแม่ทัพร่วมเตียงเดียวกันทั้งคืนกำหนดหมั้นหมายคงไม่ต้องกล่าวถึงอีกแล้ว เจ้าเป็นสตรีมันเสียหายเพียงใดข้าสั่งสอนเจ้ามาสิบสองปีมันไม่เคยเข้าไปในสมองเลยใช่หรือไม่!?”
นางตวาดด่าทอซูผิงหลัวไปพอนางยังลุกขึ้นไปใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของเด็กสาวโดยแรงจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาหงายออกไปทางด้านหลังจนเกือบจะตกเก้าอี้ไปอีกคราว เพราะเด็กผู้นี้ช่างไม่ได้ดังใจของนางเสียเลย
“แต่ว่า...แต่ว่ามัน...มันไม่มีสิ่งใดจริงๆ นี่เจ้าค่ะ”
เด็กสาวผู้เดียวภายในห้องก็ยังคงอุบอิบกล่าวแก้ออกมาอย่างพยายามจะดึงความกล้าหาญออกมาถกเถียงกับมารดาบุญธรรมเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปีเลยก็ว่าได้เป็นผลให้ซูเยว่ผิงเตรียมขยับเรียวปากด่าทอเด็กสาวอีกรอบ ด้วยกิริยาและสีหน้าทะมึน ทว่าเซี่ยหย่งสือเขาส่งสายตามองปรามออกไปนางจึงหยุดกิริยาร้อนร้ายลงไปทันควัน
“ท่านพี่เจ้าค่ะเช่นไรเหตุการณ์วันนี้ท่านแม่ทัพก็ต้องรับผิดชอบผิงเอ๋อร์นะเจ้าค่ะ”
ซูเยว่ผิงถือคติว่าจะตีดาบต้องตีในยามเหล็กยังร้อนหาไม่จะเสียการใหญ่ อย่างไรคราวนี้นางก็ต้องกำจัดบุตรสาวบุญธรรมออกไปจากจวนสกุลเซี่ยให้จงได้เพราะอนุอีกสิบสี่นางเหล่านั้นนางยังพอรับมือได้ หากแต่ซูผิงหลัวนั้นงดงามล่มปฐพีถึงเพียงนี้หากตาเฒ่าเซี่ยได้ลิ้มรสของเด็กสาวมีหรือจะไม่หลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นซึ่งหากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งฮูหยินเอกซึ่งนางครอบครองอยู่จะมิสั่นสะเทือนหรอกหรือไร?
“ทะ...ท่านแม่...”
“หุบปาก!!!”
พอซูผิงหลัวเตรียมขยับเรียวปากคัดค้านอีกซูเยว่ผิงจึงหันไปตวาดเอ็ดอึงด้วยสีหน้าดุดันที่อีกฝ่ายในวันนี้ช่างไม่เป็นไปดังใจของนางเลย ซึ่งเด็กสาวที่พยายามจะอธิบายทุกสิ่งถึงกับมองไปที่มารดาบุญธรรมด้วยสายตาอ้อนวอน ทว่านางก็ต้องใบหน้าเหยเกเมื่อซูเยว่ผิงมองตอบกลับมาอย่างตำหนิและปรามให้นางจงหุบปากในสนิทเอาไว้อย่าได้บังอาจกล่าวอันใดที่นางไม่ต้องการจะฟังออกมาอีก
ซูผิงหลัวจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงมองมือน้อยที่กำเอาไว้จนแน่นเหฝ้นข้อนิ้วขาวชัดเจนด้วยแววตาหม่นเศร้าไหวระริก ที่มารดาบุญธรรมสตรีนางเดียวที่เป็นเจ้าชีวิตของนางไม่ยอมรับฟังอันใดจากตนเองเลย นางมิได้ต้องการความรับผิดชอบ และยิ่งมิต้องการตบแต่งกับบุรุษน่ากลัวเช่นเซี่ยหย่งอี้ เขาดูโหดร้ายเกินไปเพียงนั่งใกล้นางยังหวาดกลัวให้นางแต่งไปเป็นภรรยาของเขาชีวิตของนางก็ตกลงสู่ขุมนรกดีๆ นี่เอง
“เอาละหย่งอี้ ถึงผิงเอ๋อร์นั้นจะยืนยันหนักแน่นว่าราตรีที่ผ่านมาพวกเจ้ามิได้มีอันใดกันก็จริง แต่บุรุษและสตรีที่ยังมิได้หมั้นหมายหรือตบแต่งงานกันอย่างถูกต้องแต่นอนค้างอ้างแรมร่วมเตียงกันทั้งคืนย่อมมิใช่สิ่งถูกต้องฝ่ายบุรุษนั้นย่อมมีเสื่อมเสีย ทว่าผิงเอ๋อร์เล่าชาตินี้นางแปดเปื้อนมลทินเสียแล้วจะมีบุรุษดีที่ใดยอมรับตบแต่งนางไปเป็นภรรยาได้อีก”
เพียงได้ฟังคำกล่าวของบุรุษผู้เป็นใหญ่ที่สุดในสกุลเซี่ย เด็กสาวก็พลันจิตใจห่อเหี่ยวลงไปด้วยความสิ้นหวังไปแล้วจนสิ้น เมื่อนางมิอาจจะหลบเลี่ยงความต้องการของผู้เป็นบิดาและมารดาบุญธรรมได้แล้วเป็นแน่ ดวงตากลมโตที่บวมช้ำแอบชำเลืองมองไปที่ท่านแม่ทัพหนุ่มด้วยยังพอเหลือความหวังอยู่บ้างเพราะหากเขาปฏิเสธ ที่จะตบแต่งรับผิดชอบนางในวันนี้
นางเชื่อว่าให้สิบหรือล้านท่านใต้เท้าเซี่ยก็ยากจะบีบบังคับเซี่ยหย่งอี้ให้แต่งกับนางไปได้ แต่ทว่าที่นางมองเห็นก็มีเพียงใบหน้าหวานราวสตรีนั้นเคร่งขรึมและเย็นชา ทำเอาความหวังของนางนั้นดูริบหรี่จนห้ามน้ำตาแห่งความอาดูรมิให้ร่วงเผาะลงมาได้เลย
“ท่านพี่แม่ทัพ ผิงเอ๋อร์นางเป็นสตรีที่ดี แถมกำลังจะมีการหมั้นหมายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากับคุณชายรองของท่านใต้เท้าเย่เจ้ากรมโยธาแต่กลับมาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ท่านคิดหรือว่ากำหนดการหมั้นหมายจะคงคงอยู่ ท่านทำลายการหมั้นหมายลงจนสิ้น เช่นนี้จะยังไม่รับผิดชอบ เช่นนั้นชื่อเสียงของท่านแม่ทัพเซี่ยผู้เที่ยงธรรมยังจะคงอยู่ได้อีกหรือ?”
เพราะกลัวความพยายามและแผนการของตนเองจะไม่ประสบความสำเร็จ ซูเยว่ผิงนั้นจึงหันไปเอ่ยกับอดีตคนรักโดยตรง เรื่องในวันนี้จะต้องจบลงที่เซี่ยหย่งอี้นั้นต้องรับผิดชอบตบแต่งบุตรสาวบุญธรรมของนาง แม้ความจริงจะเป็นที่รู้กันว่าแน่นอนเมื่อคืนที่ผ่านมาทั้งสองมิได้มีอันใดต่อกันเลย แต่การกระทำของนางในวันนี้ก็ถือว่าตนเองเดิมพันด้วยการทำให้ซูผิงหลัวนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียงจนป่นปี้มิมีชิ้นดีเสียแล้วหากผิดจากแม่ทัพเซี่ย เด็กสาวก็มิอาจตบแต่งกับคุณชายสกุลดีได้อีกแล้วนั่นเอง
“เอาละเป็นอันว่าเจ้าต้องรับผิดชอบด้วยการตบแต่งเอาผิงเอ๋อร์ไปเป็นฮูหยินภายในเก้าวันนี้”
คำประกาศิตของผู้เป็นใหญ่ในจวนสกุลเซี่ยทำให้เซี่ยหย่งอี้มีสีหน้าเรียบขรึมอยู่แล้วนั้นขบกรามแกร่งเข้าหากันจนแน่นดวงตาสีดำนสิทและคมกริบนั้นพลันอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะโกรธกรุ่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนระอาและแค้นเคืองสตรีหน้าด้านเช่นซูเยว่ผิงอย่างยิ่ง
เขายกแขนขึ้นกอดอกแกร่งแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้คล้ายไม่ยี่หระ ก่อนที่ดวงตาคมสวยคู่นั้นจะค่อยๆ หันไปมองบุคคลที่นั่งเคียงข้างบิดาของเขาในฐานะมารดาเลี้ยงยังสาวที่มากวัยกว่าเขาเพียงหนึ่งปีมุมปากเรียวงามเกินบุรุษกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงหัวเราะหึ...หึ..หึ...ดังขึ้น
ภายในใจของเซี่ยหย่งอี้นั้นกำลังคิดว่าสตรีไร้ยางอายเช่นซูเยว่ผิงนางคงจะดูเบาเขาเกินไปแล้ว นางคิดได้อย่างไรว่าบุรุษเช่นเขานั้นมีสตรีปีนเตียงแล้วในรุ่งเช้าของวันต่อมาเขาและบุตรสาวบุญธรรมของนางจะต้องจบลงด้วยการตบแต่งเป็นสามีภรรยากัน ตบแต่งนั้นย่อมได้แต่สำหรับเขา แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายหยางโจว มิได้จะหักเขี้ยวพยัคฆ์กันได้ง่ายถึงเพียงนั้น!!!
“หากท่านพ่อต้องการเช่นนั้น หย่งอี้ก็จะมิขัดข้อง ทว่า...”
เขาลากเสียงเว้นระยะทิ้งห่างรังแกอารมณ์ของซูเยว่ผิงให้นางทรมานเล่นอยู่หลายอึดใจก่อนจะยกยิ้มร้ายกาจที่ซูผิงหลัวเป็นแล้วสรุปได้ว่ารอยยิ้มดังกล่าวเป็นรอยยิ้มของปีศาจชัดเจน!
“ตบแต่งนั้นได้ แต่ข้าจะยอมรับนางเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้นส่วนตำแหน่งฮูหยินเอก สตรีซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากมารดาที่เป็นนางคณิกาจนลมหายใจสุดท้ายท่านพ่อคิดว่าสมควรหรือ?”
คำกล่าวต่อมาของเซี่ยหย่งอี้ทำให้ซูเยว่ผิงนั้นถึงกับตกตะลึง แม้แต่ตัวของซูผิงหลัวเองที่ถูกพาดพิงไปถึงมารดาที่แท้จริงเองก็ใบหน้าซีดเซียวลงทันตา เปลือกตาที่บวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มานานนับชั่วยามหลุบลงมองไปที่ปลายเท้าของตนเองเพราะอดสูยิ่งนักที่ตนเองถูกขุดคุ้ยอดีตอันแสนเจ็บปวดขึ้นมาหยามเหยียดอีกครั้ง นางอย่างตะโกนออกไปว่านางไม่เคยต้องการความรับผิดชอบ ตำแหน่งฮูหยินเอกหรืออนุภรรยาของเขานางก็ไม่ต้องการทว่า...
...นางมิอาจกระทำตามใจตนเองได้เลย....
“ข้าให้นางได้เพียงเท่านี้คาดว่าท่านแม่รองคนจะยอมรับได้ใช่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มในวัยยี่สิบแปดปีที่จู่ๆ ก็ถูกเล่ห์กลของอดีตหญิงคนรักยัดเยียดเด็กสาวใสซื่อที่มิใช่ความชอบของเขามาให้นั้นคับแค้นใจอย่างยิ่งแต่ในเมื่อนางเสนอมาเขาไม่สนองกลับรับรองว่าไม่เกินหนึ่งเดือนจากนี้คนเห็นแก่ตัวเห็นแก่เงินเช่นซูเยว่ผิงจะต้องจับบุตรสาวบุญธรรมของตนเองยัดเยียดไปให้ตาแก่สักคนออกไปให้พ้นจวนพ้นสายตาบิดาของเขาเป็นแน่
“ท่านพี่เจ้าค่ะ...”
ซูเยว่ผิงหันไปมองสามีด้วยสีหน้าฉายแววความไม่พึงใจและขึ้งโกรธอยู่แปดส่วน หวังจะให้สามีช่วยเปลี่ยนความคิดของผู้เป็นบุตรชายคนเดียว เพราะหากเป็นเพียงอนุภรรยาแผนการของนางก็ล่มไม่เป็นท่าแล้วจริงๆ
“คงต้องถามตัวของผิงเอ๋อร์แล้ว...ว่าอย่างไรเจ้าเต็มใจจะแต่งเป็นอนุภรรยาของหย่งอี้หรือไม่?”
เซี่ยหย่งสือเองถึงจะเอ็นดูเด็กสาวอยู่มากแต่การจะรับเด็กสาวที่มีอดีตไม่ดีมาเป็นสะใภ้เอกเขาเองก็ยากจะยอมรับได้เช่นกัน ยิ่งเซี่ยหย่งอี้เป็นบุตรชายผู้เดียวของเขาแน่นอนสะใภ้ที่เขาคาดหวังย่อมต้องส่งเสริมสกุลเซี่ยต่อไปได้ แล้วอดีตของบุตรสาวของหญิงคณิกาไร้อันดับที่สุดท้ายก็ติดโรคจนตายเขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
“คือ...ความจริงผิงหลัวก็กล่าวไปแล้วว่ามิต้องการความรับผิดชอบใดจากท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ เพราะอย่างที่ผิงหลัวพยายามจะอธิบายออกไปนั่นก็คือเมื่อคืนที่ผ่านมามันไม่มีอันใดเกิดขึ้นเลยจริงๆ”
หลังจากรวบรวมความกล้าหาญชาญชัยกล่าวเรื่องจริงออกไปอีกครั้งเด็กสาวก็เร่งก้มใบหน้าหลบสายตาของมารดาบุญธรรมทันควัน ก่อนจะลอบถอนหายใจออกไปแผ่วเบา เพราะอย่างน้อยในที่สุดนางก็มีโอกาสจะบอกความต้องการของตนเองออกไปเสียที
เพราะนางนั้นกลัวมารดาบุญธรรมมากเกรงว่าคำพูดของตนเองเมื่อครู่จะยิ่งสร้างความไม่พอใจกับสตรีซึ่งรักใคร่และเลี้ยงดูนางมาอย่างดี...ดีกว่ามารดาโดยแท้ของนางนับหมื่นเท่า เนื่องจากว่านางนั้นนับจากบิดาของนางตาย มารดาก็คิดแต่งงานใหญ่ แต่สามีใหม่ของท่านแม่นั้นมิต้องการนาง ในยามนั้นมารดาที่เคยเป็นอดีตนางคณิกาจึงคิดนำนางไปขายยังหอคณิกาที่ตนเองเคยอาศัยอยู่แต่นับว่าสวรรค์ยังเมตตา
ในวันนั้นซูเยว่ผิงพบเขาเสียก่อนจึงขอซื้อนางเสียเองคราวแรกก็เพียงต้องการซื้อมาเป็นสาวใช้แต่เพราะในวันนี้นางมีวัยเพียงสี่ขวบปีจากที่คิดจะให้เป็นสาวใช้จึงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมเสียแทน ส่วนมารดาแท้จริงของนางสุดท้ายก็ถูกสามีใหม่ล่อลวงไปขายยังหอนางโลมที่ชายแดนและก็จบชีวิตลงยังที่แห่งนั้นในอีกสามปีต่อมา ดังนั้นสำหรับซูผิงหลัวแล้วมารดาบุญธรรมของนางจึงเป็นดังท้องฟ้าทั้งผื่นเป็นแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ ต่อให้อีกฝ่ายส่งนางไปตายสุดท้ายเด็กสาวก็คิดว่าตนเองคงต้องยินยอมเพียงเท่านั้น
ทางฝ่ายของเซี่ยหย่งอี้เองฟังคำกล่าวกึ่งกล้ากึ่งกลัวของเด็กสาวตรงหน้าแล้วก็พลันกระตุกยิ้มร้ายกาจออกมาอีกหนึ่งสาย ดวงตาหงส์งดงามนั้นกวาดมองกายอรชรของซูผิงหลัวอีกครั้ง แล้วจึงดึงสายตากลับมาดังเดิม เพราะออกจะเกินจากที่เขาคาดเดาไปสักหน่อย
ท่านแม่ทัพหนุ่มคิดว่าเด็กสาวที่โตมากับสตรีไร้ยางอายเช่นซูเยว่ผิงนั้นพอได้ฟังโอกาสที่เขาหยิบยื่นให้ นางจะต้องรีบกระโจนเข้าใส่เช่นในอดีตที่ซูเยว่ผิงก็ทอดทิ้งเด็กหนุ่มไร้แก่นสารเช่นเขาแล้วกระโจนเข้าหาบิดาของเขาแทนเสียอีกทว่าช่างคิดคาดไปไกลยิ่งนัก
“หุบปากของเจ้าเสียผิงหลัว”
สุดท้ายซูเยว่ผิงก็คิดตกถึงวันนี้เซี่ยหย่งอี้จะยอมรับให้บุตรสาวบุญธรรมของนางนั้นเป็นเพียงอนุภรรยาแต่อนุภรรยาก็มิใช่ว่าจะขยับฐานะขึ้นไปเป็นฮูหยินเอกมิได้ การนี้สำเร็จได้เพียงเท่านี้นางก็นับว่าลงทุนไปไม่เสียเปล่าแล้ว
“ตกลงตามที่ท่านแม่ทัพกล่าวมาเจ้าค่ะ ข้ายินดีให้ผิงเอ๋อร์ตบแต่งไปเป็นอนุภรรยาของท่านแม่ทัพมิขัดข้องทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
“ทะ...ท่านแม่บุญธรรม...แต่ว่า”
ซูผิงหลัวรีบผวาทรุดลงไปจากเก้าอี้ตรงเข้าไปกอดขาของผู้เป็นมารดาบุญธรรมเอาไว้แน่น นางหน้าตาตื่นสั่นใบหน้างดงามระรัว อีกทั้งยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาวิงวอนจากใจ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านแม่บุญธรรมจะขับไล่ไสส่งนางให้ไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษเช่นเซี่ยหย่งอี้จริงๆ
“ไม่มีแต่อันใดอีกแล้ว ผิงเอ๋อร์คำกล่าวของตัดสินของท่านพ่อและท่านแม่บุญธรรมนับเป็นที่สุดแล้ว ท่านแม่ทัพเซี่ยจะต้องรับผิดชอบเจ้า และถึงจะเป็นเพียงอนุภรรยาแต่ก็นับว่ารับผิดชอบแล้ว”
ซูเยว่ผิงเอ่ยกับเด็กสาวที่นั่งทรุดอยู่ที่พื้นกอดขาสองข้างของนางเอาไว้แน่นพลางส่งสายตาวิงวอนมาให้ด้วยน้ำเสียหนักแน่น พลางมองสำทับไปด้วยแววตาที่ดุกร้าวบ่งบอกว่านางจะไม่มีวันใจอ่อนเด็ดขาด!
เป็นผลในมือบอบบางของเด็กสาวร่วงลงมาข้างกายอย่างอ่อนแรงสุดท้ายนางก็ต้องยอมจำนนต่อโชคชะตาและคำว่า’ บุญคุณ’ เข้าจนได้ นางอยากร้องไห้ฟูมฟายดังเคยแต่คิดอีกคราวร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดความต้องการของมารดาบุญธรรมก็ยากจะเปลี่ยนไป
...จบสิ้นกันแล้วทุกความใฝ่ฝันของเด็กสาวผู้หนึ่ง...