ซูผิงหลัวเดินกลับเข้ามาในเรือนของตนเองแล้วทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ริมระเบียงที่ยื่นออกไปยังบึงบัวสมดังชื่อเรือน’ ริมธารา’ ด้วยใบหน้าหมองเศร้าแววตาเลื่อนลอย เพราะยากจะยอมรับคำพิพากษาตัดสินโทษโดยที่นางมิมีความผิดใดเลย
นางมิใช่โง่เง่าจนไม่ทราบว่าท่านแม่บุญธรรมสามปีที่ผ่านมาคิดและระแวงสิ่งใด ทว่าตรงกันข้ามนางทราบดีดังนั้นจึงระวังตนเองและเจียมเนื้อเจียมตัวให้มากจนเมื่อหลายเดือนก่อนนางก็พบหนทางสว่าง นั้นก็คือสหายสนิทรุ่นพี่เช่นคุณชายรองสกุลเย่’ เย่เจาสิง’ ที่กำลังจะถูกบิดามารดาบีบบังคับให้แต่งภรรยาทั้งที่อีกฝ่ายนั้นเป็นบุรุษผู้นิยมตัดแขนเสื้อ
ดังนั้นนางสตรีที่กำลังจะหาอิสระให้แก่ตนเองกับบุรุษที่ต้องการฮูหยินที่ยินยอมรับตัวตนแท้จริงที่ว่าอีกฝ่ายจะมิอาจแตะต้องร่วมหอหลับนอนกับสตรีได้มาพบกันข้อแลกเปลี่ยนอย่างลับๆ ระหว่างกันจึงบังเกิด เช่นนั้นแม่สื่อจากสกุลเย่จึงถูกส่งมาเมื่อเย่เจาสิงเอ่ยปากบอกแก่บิดามารดาว่าต้องการจะแต่งงานกับนางพวกเขาที่ทราบดีว่าบุตรชายตนเองเป็นอย่างไรมีหรือจะไม่เร่งร้อนมาสู่ขอนางไปเป็นสะใภ้รองโดยเร็วกันเล่าซึ่งทุกสิ่งกำลังดำเนินไปตามความประสงค์ของนางและเย่เจาสิงกำลังจะสำเร็จมิคาดทุกสิ่งจะพลิกผันพังทลายลงเพียงประกาศิตของบิดาและมารดาบุญธรรมที่กำกับให้นางต้องแต่งไปเป็นอนุภรรยาของเซี่ยหย่งอี้
...ความใฝ่ฝันของนางที่จะพ้นออกไปจากเงาท่านแม่บุญธรรมจึงสลายจบสิ้นลงแล้ว...
ในยามนี้เด็กสาวผู้มีความใฝ่ฝันว่าจะโบยบินออกไปใช้ชีวิตศึกษาวิชาการแพทย์และพืชสมุนไพรรู้สึกคล้ายคนที่หมดสิ้นทุกความหวัง นางต้องก้มหน้ายอมรับต่อคำสั่งของผู้มีพระคุณ คิดแล้วเด็กสาวก็ผ่อนลมหายใจออกมาหนักหน่วง เพราะความรู้สึกภายในใจมันแสนจะหนักอึ้ง นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยและถอนหายใจทิ้งไปเฮือกเล่าอย่างจนปัญญาจะแก้ไข แล้วก็นึกไปถึงสหายรุ่นพี่เช่นเย่เจาสิง ท่านหมอหนุ่มแห่งกรมแพทย์หลวงแห่งต้าฉู่ ว่าหากเขาทราบถึงการนี้จะทำอย่างไรกันดี ข้อตกลงที่ทำร่วมกันสลายไปจนสิ้นแล้ว นางมิอาจแต่งให้เขาเพื่อปกปิดการเป็นบุรุษผู้ตัดแขนเสื้อ เรื่องร้านยาสมุนไพรที่จะทำร่วมกันก็คงต้องล่มสลายเพราะนางเองอีกไม่กี่วันก็จะต้องไปยังชายแดนเช่นหยางโจวกับเซี่ยหย่งอี้ในฐานะอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาเสียแล้ว
...เฮ้อ!...
ลมหายใจถูกระบายออกมาอาจเป็นรอบที่พันเห็นจะได้ ก่อนที่คิ้วเรียวสวยจะขมวดเข้าหากันเพราะนางพยายามจะคิดทบทวนว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ชีวิตของตนจึงมาถึงจุดดิ่งลงก้นหุบเหวเช่นนี้
เมื่อวานจนถึงค่ำคืนดึกดื่นที่จวนเซี่ยของท่านอัครมหาเสนาบดีเซี่ยนี้ได้จัดงานเลี้ยงฉลองครบรอบอายุหกสิบปีของท่านผู้เฒ่า ซึ่งปกติทุกปีก็จะจัดเช่นนี้เพราะท่านผู้เฒ่าคือขุนนางใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตามากมาย แต่นางมิได้รับอนุญาตให้ออกไปวุ่นวายหรือช่วยงานอันใด เพราะมารดาบุญธรรมของนางกำชับว่าห้ามมิให้นางออกไปเดินเพ่นพ่านในยามที่มีแขกคนสำคัญชั้นสูงมาร่วมในงานมากมาย
ด้วยเหตุผลที่ซูเยว่ผิงกล่าวแก่นางก็คือเหล่าตาเฒ่าชั้นสูงเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชมชอบเด็กสาวคราวลูกคราวหลานไปเป็นอนุภรรยายิ่งนัก นางที่มีฐานะเพียงบุตรีบุญธรรมอาจถูกล่วงเกินจนเสื่อมเสียเอาได้ สาวน้อยก็เชื่อฟังอย่างดีมาตลอดทุกปี นางมีเพียงคอยช่วยเหลืองานอยู่เพียงในเรือนครัวเท่านั้น
แล้วเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาพอแขกเหรื่อทยอยกันต่างมาลากลับไปจนหมด นางจึงออกมาช่วยเหล่าบ่าวชายและสาวใช้เก็บกวาดสถานที่โดยยกเว้นในส่วนของแขกท่านแม่ทัพเซี่ยผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านเจ้าของจวนเอาไว้ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งพอเสร็จสิ้นนางก็ถูกท่านแม่บุญธรรมดึงตัวให้ไปร่วมนั่งดื่มเป็นเพื่อนโดยที่นางเองไม่เคยดื่มมาก่อนแต่ซูเยว่ผิงก็กล่าวแต่นางว่าอีกไม่นานตนเองก็จะหมั้นหมายและออกเรือนแล้วจำต้องฝึกดื่มสุราเอาไว้ให้เป็นบ้างหาไม่ในยามต้องติดตามสามีไปออกงานเลี้ยงจะทำฝ่ายสามีขายหน้าเอาได้
ต่อให้นางพยายามบอกว่าเย่เจาสิงนั้นเป็นเพียงหมอหลวงขั้นสามมิได้ออกงานเลี้ยงอันใดบ่อยนักทว่า ท่านแม่บุญธรรมกลับยัดเยียดให้นางดื่มให้ได้ และสุดท้ายคนที่ทั้งเคารพทั้งยำเกรงท่านแม่บุญธรรมเช่นนางจะกล้าขัดได้อยู่หรือจึงฝืนใจดื่มไปราวสามจอกนั่นเองนางจึงถูกปล่อยตัวให้กลับเรือนนอนของตนเองได้
ทว่าเพียงกลับถึงเรือนของนางกลับรู้สึกร้อนจัดจนต้องฝืนความมึนศีรษะไปอาบน้ำหลังให้ความร้อนคลายลง หากแต่อาบน้ำแช่อยู่ครู่ใหญ่อาการร้อนดังกล่าวและมึนศีรษะรุนแรงกลับไม่คลายลงเลยมีแต่จะเพิ่มขึ้น นางจึงคิดจะเรียกชุนจื่อสาวใช้ส่วนตัวให้ไปต้มน้ำแกงสร่างเมามาให้ดื่มเพื่อบรรเทาอาการย่ำแย่ดังกล่าว แต่เดินตามหาจนทั่วนางก็หาสาวใช้คนสนิทไม่พบ เลยตัดสินใจว่าจะเดินไปที่โรงครัวต้มน้ำแกงด้วยตนเอง แต่ระหว่างทางนางกลับรู้สึกหน้ามืดและวูบไปเลย จนมาถึงในยามที่ถูกท่านแม่ทัพเซี่ยกระชากนางให้ตื่นจึงพบว่าตนเองนั้นมานอนผิดที่ผิดทางเข้าเสียแล้ว
...เป็นฝีมือท่านแม่บุญธรรมเช่นนั้นหรือ? ...
...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
ระหว่างที่เด็กสาวกำลังคิดทบทวนและบังเกิดความสงสัยอยู่นั้นเสียงเคาะประตูเรือนนอนของนางก็ดังขึ้นปลุกให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ความคิดต่างๆ หันมองไปที่ประตูซึ่งกำลังถูกผลักให้เปิดออกด้วยฝีมือของท่านแม่บุญธรรมของนางนั้นเอง เด็กสาวหันใบหน้างดงามหลบหนีอีกฝ่ายที่เริ่มบังเกิดความน้อยใจเหลือแสนถาโถม พลันขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกเมื่อสมองอันเฉื่อยชากำลังร้องบอกแก่นางดังลั่นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นฝีมือของสตรีที่นางวางใจที่สุดนี่เองเพราะถึงนางจะซื่อบื้อสมองเฉื่อยชาคิดช้า แต่ก็มิได้ถึงขึ้นโง่เขลาเสียทีเดียว ซูผิงหลัวกะพริบตาถี่ๆ เพื่อจะข่มกลั้นมิให้น้ำตานั้นไหลรินออกมาอีกเพราะนางเริ่มได้คิดแล้วว่านั่งน้ำตานองหน้าฟูมฟายจนขาดใจตายไปท่านแม่บุญธรรมก็ไม่มีวันจะใจอ่อนยกเลิกคำสั่งที่ให้นางแต่งไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษร้ายกาจเช่นเซี่ยหย่งอี้ไปได้
...ร้องไห้ไปก็เปล่าประโยชน์ทั้งเพ....
“เด็กดี...เจ้ากำลังโกรธท่านแม่กระมังผิงเอ๋อร์”
ซูเยว่ผิงเดินตรงมาหากายอรชรที่งดงามอาจจะงดงามเกินกว่านางในสมัยวัยเท่ากับเด็กสาวไปอยู่หลายส่วน พลางผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา นางมาทรุดกายที่งดงามลงนั่งเคียงข้างบุตรสาวบุญธรรมที่นางเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างดีมาถึงสิบสองปี พลางยื่นมือไปกอบกุมมือบอบบางที่วางอยู่บนตกแล้วบีบกระชับแนบแน่น ดวงตาเรียวมองเสี้ยวใบหน้างดงามของซูผิงหลัวด้วยความรู้สึกผิดผสานละอายใจ ที่ตนเองต้องผลักไสให้คนที่นางรักดังดวงใจให้แก่บุรุษเช่นเซี่ยหย่งอี้ แต่สำหรับนางในเวลาเช่นนี้ทางเลือกนั้นมีไม่มากเลย
เพราะแต่เดิมนางนั้นคิดว่าหากซูผิงหลัวแต่งออกไปอยู่กับเย่เจาสิงก็นับว่างดงามอนาคตของเด็กสาวจะต้องสดใสแน่แท้มิคาดเมื่อไม่นานมานี้นางกลับไปทราบความลับที่ว่าท่านหมอหลวงหนุ่มอนาคตก้าวไกลผู้นั้นจะไม่ชมชอบสตรีทว่าเขาชมชอลบุรุษด้วยกัน เช่นนี้นางจะวางใจส่งเด็กสาวแสนซื่อเช่นซูผิงหลัวออกเรือนกับบุรุษเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน เพราะการมีสามีเช่นนั้นก็เหมือนตกขุมนรกไปตลอดชีพเลยทีเดียว
แต่คลั้นนางจะรั้งให้ซูผิงหลัวนั้นอยู่ในจวนต่อไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเซี่ยหย่งสือก็มาเอ่ยปากแก่นางว่าหากไม่ยินดีให้เด็กสาวแต่งออกไปกับคนแซ่เย่เช่นนั้นก็ยกให้แก่เขาจะได้หรือไม่ เช่นนี้ทางเลือกของนางจึงไม่มีเลยจนเมื่อหกวันก่อนเซี่ยหย่งอี้เดินทางกลับมาร่วมงานวันครบรอบอายุหกสิบปีของบิดา นั่นเองนางจึงคล้ายพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทว่านางมิคาดอีกฝ่ายจะยื่นตำแหน่งเพียงอนุภรรยาให้แก่ซูผิงหลัว แต่เป็นอนุภรรยาของตนหนุ่มแน่นเช่นเซี่ยหย่งอี้ก็ยังดีกว่าเป็นอนุภรรยาของเซี่ยหย่งสือผู้เป็นบิดาของเขาและยังดีกว่าตบแต่งไปเป็นฮูหยินเอกของบุรุษตัดแขนเสื้อเช่นเย่เจาสิงมากมายยิ่งนัก
“ท่านแม่ทราบดีว่าการผลักเจ้าให้ตบแต่งไปเป็นอนุภรรยานั้นมันย่ำแย่และหยามเกียรติสตรีเช่นพวกเราแต่...ท่านแม่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ นะผิงเอ๋อร์เจ้าคงมิทราบว่าเย่เจาสิงนั้นเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อแต่งกับเขาสู้เจ้าเป็นอนุภรรยาของเซี่ยหย่งอี้ยังดีเสียกว่า อีกสิ่งที่ท่านแม่ต้องเร่งลงมือเจ้าคงไม่รู้ว่าสองปีมานี้ความงดงามของเจ้ากำลังทำให้ตาเฒ่าเช่นเซี่ยหย่งสือกระหายใคร่อยากได้เจ้าเป็นอนุภรรยาคนที่สิบห้า”
“!!!”
เรื่องของเย่เจาสิงแน่นอนว่าซูผิงหลัวทราบดีตั้งแต่สองปีก่อน แต่เรื่องที่บิดาบุญธรรมคิดรวบหัวรวบหางให้นางเป็นอนุภรรยาคนที่สิบห้าต่างหากที่ทำให้เด็กสาวตกใจจนแทบพลัดตกจากเก้าอี้
“เจ้าจะโกรธจะเกลียดท่านแม่ก็ได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นที่ท่านแม่ทำลงไปในวันนี้ล้วนมาจากความรักและหวังดีต่อเจ้าจากใจจริงนะผิงเอ๋อร์ หลายปีที่มีเจ้าเป็นบุตรสาวท่านแม่ก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นเพียงลูกบุญธรรมเลย ท่านแม่รักเจ้าดังเลือดในอกของตนเองมาเสมอ ดังนั้นหากมีทางใดจะส่งเจ้าไปได้ดีที่สุดท่านแม่ย่อมกระทำต่อให้เจ้ามองว่าท่านแม่ผู้นี้สารเลวนักที่คิดยัดเยียดส่งเจ้าไปให้บุรุษหยาบช้าเช่นเซี่ยหย่งอี้”
นางผิดหรือที่อยากให้บุตรสาวได้สามีร่ำรวยและมียศมีอำนาจ และนางผิดหรือที่ไม่ต้องการให้บุตรสาวแต่งออกไปกับบุรุษที่ไม่มีวันจะรักสตรีได้ และนางผิดหรือที่ไม่ต้องการให้บุตรสาวต้องมาร่วมใช้สามีคนเดียวกัน หากนางผิดจนต้องตกนรกหมกไหม้ซูเยว่ผิงก็ยินดียอมรับมิต่อรองเลยแม้เพียงครึ่งคำ!
เจ้าของใบหน้างดงามแต่แสนเศร้าหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นมารดาบุญธรรมแล้วมองอีกฝ่ายให้ลึกซึ้งซึ่งที่ซุผิงหลัวมองเห็นก็คงมีเพียงความรักและจริงใจส่งมาให้มิเปลี่ยนไปจากอดีตในวันที่ท่านแม่บุญธรรมยอมจ่ายตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเพื่อจะซื้อนางมาจากมารดาแม่จริงที่กำลังทุบตีบีบบังคับพานางไปขายยังหอนางโลมเลยสักเพียงนิด
“ท่านแม่...”
เด็กสาวโผล่เข้าสู้อ้อมกอดที่จะกี่วันกี่ปีอ้อมกอดนี้ก็อบอุ่นกว่าอ้อมอกมารดาโดยแท้ของตนเองมาเสมอ ซูผิงหลัวทราบดีว่าต่อให้มารดาบุญธรรมคิดร้ายต่อนางตนเองก็คงยากจะโกรธเคืองสตรีผู้นี้ สตรีซึ่งนับจากบิดาของนางตายจากไป ก็คงมีเพียงซูเยว่ผิงที่ดีต่อนาง และถนอมนางมาตลอดสิบสองปี ถึงในจวนนี้ฐานะของนางเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมแต่ ซูผิงหลัวมิเคยต้องลำบาก มิเคยถูกเหล่าอนุภรรยาผู้อื่นรังแก เพราะหากจะเกิดเรื่องเหล่านั้นก็มีซูเยว่ผิงที่กางปีกปกป้องนางดังแม่ไก่ดุดันหวงบุตรของมัน
“ข้าทำเลวในคราวนี้ก็เพราะรักเจ้านะผิงเอ๋อร์ รักและห่วงใยเจ้ามาก ชีวิตของท่านแม่บัดนี้อายุก็มากขึ้นทุกวัน ตาเฒ่าเซี่ยนั้นจะโปรดปรานกันไปนานอีกเท่าใดก็ยากจะคาดเดา วันนี้ท่านแม่ของเจ้าอาจยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งฮูหยินเอกแต่ในอนาคตจะแน่นอนอยู่หรือเขามันบุรุษมักมาก หากไปถูกอกถูกใจอนุภรรยาคนใดมากจนหน้ามืดวันนั้นท่านแม่ของเจ้าเองก็คงสิ้นวาสนาแล้ว”
ซูเยว่ผิงมิได้กล่าวเกินจริงเพราะสิบสามปีที่ตบแต่งมาเป็นอนุภรรยาจนเมื่อหกปีก่อนนางได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งฮูหยินเอกแทนคนเก่าที่ตายจากไป แต่จนถึงวันนี้บุรุษผู้นั้นกลับไม่ยอมให้นางหรืออนุภรรยาคนใดได้ให้กำเนิดสายเลือดของเขาอีกเลยนอกจากมีเซี่ยหย่งอี้เพียงผู้เดียว
เช่นนี้นางจึงแทบไม่มีสิทธิ์ใดในจวนนี้เลยหากวันใดสิ้นตาเฒ่าเซี่ยหรือหากวันใดเขาเกิดไปพึงใจสตรีอื่นจนอยากยกขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกแทนตนเอง นางจึงวางแผนดังกล่าวขึ้นมาหวังเพียงหากซูผิงหลัวได้เป็นฮูหยินและสะใภ้เอกของสกุลเซี่ยแล้วอีกไม่นานก็ให้กำเนิดสายเลือดสกุลเซี่ยขึ้นมาบุตรสาวของนางก็จะมีฐานะมั่นคงอยู่ในสกุลเซี่ยแล้ว เพียงแต่นางมิคาดว่าเซี่ยหย่งอี้จะโต้กลับนางมาเช่นนี้
“จงจดจำเอาไว้นะผิงเอ๋อร์จะอย่างไรต้องปล่อยให้ตนเองตั้งท้องกับเซี่ยหย่งอี้ให้จงได้ เพราะต่อให้เจ้าเป็นเพียงอนุ ทว่าหากมีทายาทให้เขาเสียอย่างต่อให้ภายหน้าเขาแต่งฮูหยินเอกก็ยากจะทำให้เจ้าลำบากเพราะมีสายเลือดของเขาคุ้มครองเจ้าอยู่”
ซูเยว่ผิงถือโอกาสสั่งสอนเด็กสาวเอาไว้เสียแต่แรกเริ่มเพราะทราบดี ซุผิงหลัวนั้นเป็นคนซื่อบื้อหากนางไม่เสี้ยมสอนก็คงถึงขั้นโง่งมดีไม่ดีจะถูกเซี่ยหย่งอี้ข่มขู่จนหวาดกลัวจะหายใจแรงคาดว่านางอาจไม่กล้าด้วยซ้ำ
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ จงพยายามตั้งท้องให้จงได้ เอาละประเดี๋ยวท่านแม่จะไปดูผ้าพับงามๆ เอาไว้ให้เจ้าตัดเย็บไปสวมยังชายแดน ส่วนเจ้าก็พักผ่อนเสีย”
กล่าวจบซูเยว่ผิงนางก็ไม่ใส่ใจท่าทางราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมของบุตรสาวบุญธรรมแม้แต่น้อย กายงดงามเกินวัยในอาภรณ์หรูหราสมฐานะฮูหยินเอกของท่านอัครมหาเสนาบดีใหญ่รีบเร่งรุดจากไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มมากกว่าในยามที่เดินเข้ามาเพราะตนเองถือว่าได้สารภาพความผิดต่อเด็กสาวจนสิ้นแล้วจึงสบายใจไปแปดส่วน
ปล่อยให้ซูผิงหลัวได้แต่มองตามหลังของผู้เป็นมารดาบุญธรรมไปด้วยสายตาละเหี่ยใจอย่างยิ่งก่อนจะถอนหายใจอีกมาอีกหลายเฮือก เร่งตั้งครรภ์เช่นนั้นหรือ? ...
...นั่นแหละคือสิ่งแรกที่นางจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น!...
ถึงนางจะโง่ และซื่อจนคนมักด่าว่าบื้อแต่นางก็มีความคิดความฝันเป็นของตนเอง นางสิบสองหนาวก็พยายามศึกษาตำราแพทย์และสมุนไพร ถึงแผ่นดินต้าฉู่นี้จะจัดให้สตรีซึ่งมีอาชีพเป็นแพทย์คืออาชีพต้องห้ามเพราะมันต่ำต้อยว่านางคณิกาที่ให้ความสุขทางร่างกายแก่บุรุษได้
ทว่านางก็ยังอยากจะเป็นท่านหมอ นางอยากรักษาจนป่วย นางอยากช่วยเหลือคนยากคนจน เพราะในอดีตหากมีหมอดีบิดาของนางก็คงไม่ตาย นั่นจึงเป็นความฝันอันสูงสุดของเด็กสาว อนุภรรยาเช่นนั้นหรือ? หึ!
...นางจะไม่ยอมอยู่ใต้เงาของบุรุษไปชั่วชีวิตเช่นท่านแม่บุญธรรมเป็นแน่...
เพราะจะบุรุษหรือสตรีก็มีคุณค่าของตนเองมิแตกต่างกัน ดังนั้นที่จะให้นางตบแต่งออกไปแล้วเร่งมีบุตรจับสามีให้อยู่มือมิเคยอยู่ในหัวทึบๆ ของตนเองสักน้อย มีแต่ความคิดและแผนการที่ว่านางจะเจรจากับท่านแม่ทัพใหญ่เช่นไรให้ตนเองมีโอกาสหลุดพ้นจากตำแหน่งอนุภรรยา
ซูผิงหลัวเท้าคางแล้ววางแผนอยู่ภายในใจว่าตนเองจะต้องไม่เป็นอนุภรรยาไปตลอดชีวิต อาจต้องเปลืองตัวแต่สุดท้ายนางจะต้องปลดตนเองให้เป็นอิสระ นางจะได้ออกไปใช้ชีวิตท่านหมอหญิงอย่างเสรี ได้ช่วยคนได้รักษาโรค และจะสร้างฐานะ จะมีบ้านมีที่ดิน พอถึงวันนั้นนางก็จะกลับมารับเอาท่านแม่ออกไปจากตำแหน่งฮูหยินเอกจอมปลอมนี้ให้จงได้ เด็กสาวฝันถึงกระท่อมหลังน้อย ฝันถึงผืนดินที่มีเอาไว้ปลูกสมุนไพรและข้าวปลาผักหญ้า
...เพราะมีเพียงคิดฝันเช่นนี้นางจึงจะมีพลังสู้ต่อมิท้อถอยจนอยากตายจบชีวิตลงนั่นเอง....