บทนำ///บนเตียงจอมปีศาจ
แสงแดดอ่อนของวันใหม่สาดส่องลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านโปร่งบางนั้นเข้ามายังห้องนอนกว้างขวางสีทึบทะมึนดุดันบ่งบอกนิสัยของผู้เป็นเจ้าของห้อง ปลุกให้กายสูงใหญ่เยี่ยงนักรบตื่นจากนิทราอันแสนสุข
ดวงตาเรียวราวดวงตาของนางพญาหงส์นั้นค่อยๆ ขยับเปิดขึ้นมารับแสงอรุณของวันใหม่ หากแต่เพียงครู่บุรุษผู้มีดวงตางดงามเกินสตรีก็ถูกอาการปวดศีรษะพุ่งเข้าจู่โจมจนเขาต้องหลับตานิ่งลงไปอีกครั้ง ส่วนใบหน้าที่สวยหวานราวสตรีซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขานั้นคงได้ความงดงามของมารดามาเสียแปดส่วนนั้นเหยเก เขาหลับตานิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง พลางนึกทบทวนไปถึงสาเหตุแห่งอาการปวดศีรษะหนักอึ้งนี่ไปด้วย
ใช่แล้ว อาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของสุราที่เขาดื่มกับเหล่าสหายตั้งแต่หัวค่ำจนถึงดึกดื่น ในงานเลี้ยงฉลองครบรอบอายุหกสิบปีของบิดาเขานั่นเอง เช่นนั้นในเช้านี้เขาท่านแม่ทัพ’ เซี่ยหย่งอี้’ เป็นชายเพียงคนเดียวของท่านอัครมหาเสนาบดี’ เซี่ยหย่งสือ’ จึงมีอาการเมาค้างย่ำแย่หนักหน่วงถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มนั้นหาใช่คนคออ่อนเพราะทหารกล้าทุกผู้นั้นดื่มสุราต่างน้ำเปล่าก็ยังเคยมาแล้ว
แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาถูกเหล่าสหายร่วมรบชักชวนดื่มไปไม่น้อยซึ่งแน่นอนว่าคนเราดื่มมากไปก็ใช่ว่าในยามเช้ามาเยือนจะไม่ย่ำแย่เช่นนี้ เพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะกลับมานอนได้เหล่าสหายทั้งหลายที่ท้าดวลสุราก็สลบไสลไปจนสิ้น เขาจึงได้แยกตัวกลับมานอนยังเรือนของตนเองเช่นนี้
กว่าหนึ่งเค่อเซี่ยหย่งอี้เขาจึงค่อยขยับเปลือกตาเปิดขึ้นมาใหม่ พร้อมกันนั้นก็ขยับกายแกร่งขับไล่ความปวดเมื่อยไปพลาง แล้วจึงตลบผ้าห่มที่คลุมกายออก ขยับลุกขึ้นนั่งสูดอากาศยามเช้าเข้าท้องขับไล่อาการเมาค้างออกไปให้ได้มากที่สุด พลันนั้นเองที่ปลายจมูกโด่งสัมผัสรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมหวานละมุนคล้ายกลิ่นดอกไม้อันใดสักอย่างที่เขานึกชื่อของมันไม่ออกลอยมาให้เขาได้สูดกลิ่นชวนชื่นใจเต็มไปเต็มที่ ผสานไปกับเสียงดังสวบสาบภายใต้ผ้าห่มที่เขาเพิ่งสลัดมันพ้นกายออกไปเมื่อครู่
เรียกให้สายตาของเขาต้องหันไปมองจุดต้นตอที่มาของทั้งเสียงและกลิ่น พลันนั้นคิ้วเข้มเรียวยาวชี้เฉียงก็ถูกกระชากหัวคิ้วมาชนกัน เมื่อพบกับภาพของกลุ่มเส้นผมสีดำสนิท เขาไม่แน่ใจนักคิดว่าอาจเมาค้างจนตาฝาดไปจึงชะโงกใบหน้าก้มลงไปมองให้ใกล้อีกหน่อยจึงพบเข้ากับใบหน้าด้านข้างที่เป็นรูปไข่งดงามต่อให้เขามองเห็นเพียงเสี้ยวเดียวก็ตาม
กรามแกร่งที่ล้อมไปด้วยเคราเขียวครึ้มบดเบียดเข้าหากันแน่น เมื่อความโกรธพุ่งจู่โจมเข้าปะทะกายแกร่งเป็นริ้วๆ มือหนาเอื้อมไปกระชากผ้าห่มผืนหนาในส่วนที่นางห่อกายอยู่แล้วเหวี่ยงมันทิ้งลงไปข้างเตียงอย่างไม่ไยดี แววตาคมวาววับขึ้นมาอย่างน่าหวาดหวั่น เมื่อผู้เป็นเจ้าของดวงตานั้นได้มองเห็นชัดเจนเต็มตาว่าคนที่นอนอยู่เคียงข้างอีกฝั่งของเตียงคือผู้ใด!
“ซูผิงหลัว!ไยจึงเป็นเจ้า?!!!”
ท่านแม่ทัพหนุ่มตวาดก้องเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยเพลิงโทสะกำจาย ฝ่ายเจ้าของชื่อนั้นนางกำลังหลับสนิทก็มีสะดุ้งสุดตัว แล้วรีบผวาลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางตื่นตระหนก อาการปวดศีรษะก็พุ่งเข้าจู่โจมจนใบหน้างดงามเองก็เหยเกน้ำตาคลอ ก่อนที่ดวงตาคู่หวานก็พลันเบิกกว้างขึ้นทันใด เรียวหน้าหวานพลันซีดสลด เมื่อพบกับชายหนุ่มร่างกำยำที่เปลือยช่วงหน้าอกแกร่งอยู่ด้านข้าง นางถึงกับชาวาบไปตลอดทั้งร่างจนทำอันใดไม่ถูก ดวงใจนั้นก็หล่นวูบราวกับถูกผลักลงสู่ก้นเหวลึกล้ำ
เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อทว่ากลับยาวนานชั่วกาลกว่าที่นางจะได้สติกลับคืนมา นาง’ ซูผิงหลัว’ บุตรบุญธรรมของเซี่ยฮูหยินและใต้เท้ามหาเสนาบดีเซี่ย รีบลนลานกระชับสาบเสื้อคลุมชุดนอนที่หลุดลุ่ยเข้าหากันด้วยมืออันสั่นเทา ใจนั้นก็เต้นระรัวด้วยความหวั่นกลัวเมื่อนางไม่รู้ตัว ว่าตนเองนั้นปีนเตียงของท่านแม่ทัพหนุ่มได้อย่างไรกัน...
“เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่ว่าเจ้าเข้ามาอยู่ในห้องและบนเตียงของข้าได้อย่างไร!?”
ท่านแม่ทัพแห่งค่ายหยางโจวใช้น้ำเสียงอำมหิตสอบถามเอากับสตรีหน้าไม่อายนางนี้อีกครา ดวงตาเรียวสวย ทว่าทรงอำนาจมองอย่างคาดคั้น ใบหน้าซีดเซียวและเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำนั้นมิได้ทำให้เซี่ยหย่งอี้รู้สึก นึกสงสารนางแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้ความโกรธของเขาเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ในยามนี้เขาต้องต้องการจะรู้ว่า สตรีไร้ยางอายนางนี้เข้ามาอยู่ในห้องของตนเองได้อย่างไรเท่านั้น
ฝ่ายของซูผิงหลัวนั้นก็หวาดกลัวอีกฝ่ายจนน้ำตาคลอเบ้า ด้วยทราบดีว่าท่านแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ร้ายกาจและชิงชังนางกับมารดาบุญธรรมมากเพียงใด ใบหน้างดงามที่บัดนี้ซีดเผือดแทบจะไร้สีเลือดส่ายไปมา เพื่อปฏิเสธว่านางเองก็ไม่รู้ตัวเองเช่นกัน ว่าเข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของบุรุษผู้น่ากลัวที่สุดในจวนสกุลเซี่ยนี้ได้อย่างไร
ผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าในยามท่านแม่ทัพเซี่ยผู้นี้โกรธจัดนั้นช่างน่ากลัวราวกับปีศาจร้าย ดวงตาคู่คมอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะ ที่มองจับจ้องนางมานั้นทำให้ซูผิงหลัวแทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง มีเพียงก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายของนางเท่านั้นที่ใจเต้นกระหน่ำระรัวแรงไม่เป็นจังหวะ นางกลัวเขาจับขั้วหัวใจจนทำสิ่งใดไม่ถูกไปหมด
“ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ซูผิงหลัว!!!” เซี่ยหย่งอี้ตะคอกถามด้วยความฉุนเฉียวเกินบรรยาย ให้ตายเถิดยี่สิบแปดปีของเขาไม่เคยโกรธผู้ใดจนแทบอยากจับนางฉีกกระชากร่างกายให้เป็นเศษเนื้อเช่นนี้มาก่อนเลย
“ผิงหลัว...ผิงหลัวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ!!!”
นางรีบละล่ำละลักตะโกนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเท่าแต่นางกล้าสาบานขอให้ชาตินี้ตนเองมิได้แต่งงานก็ได้ว่าที่กล่าวไปนั้นนางพูดจริงจากใจทุกคำ นั่นก็คือนางไม่ทราบจริงๆ ว่าตนเองมาอยู่บนเตียงของท่านแม่ทัพเซี่ยได้อย่างไร
“เจ้ามันตลบตะแลง!!!”
ซูผิงหลัวตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อปีศาจร้ายตรงหน้าของนางตะคอกใส่หน้าไม่ปรานี กายบอบบางสั่นเทา นางขยับกายถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจผสานหวาดกลัว จนเผลอกัดเรียวปากของตนเองแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบ แววตาของนางไหวระริกเต็มไปด้วยน้ำตา มองเขาอย่างตื่นตระหนกคล้ายเป็นพญาปีศาจร้ายมายืนรอรับดวงวิญญาณอยู่ตรงหน้าก็มิปาน
“มะ...ไม่ทราบ...ผิงหลัวไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะว่าข้าเข้ามาอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างไร”
นางกล่าวออกไปอีกครั้ง ซึ่งพอได้ฟังมุมปากแกร่งของท่านแม่ทัพหนุ่มก็ถึงกับกระตุกขึ้นคล้ายจะเยาะหยัน แล้วก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอเกิดขึ้น เมื่อสตรีไร้ยางอายผู้นี้นางยังบังอาจปฏิเสธน้ำเสียงสั่นเทาชวนน่าสงสาร
“ไม่ทราบเช่นนั้นหรือ? ...หึ....เจ้าอย่ามาทำเป็นใสซื่อไปหน่อยเลยซูผิงหลัว”
“แต่ข้าไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
ซูผิงหลัวนั้นนางยังคงยืนยันคำตอบเดิม ดวงตากลมโตคู่นั้นบัดนี้ก็ยังมีน้ำตาคลอขังมองอีกฝ่ายอย่างเว้าวอนร้องขอให้เขาเชื่อนาง เพราะนางมิได้คิดจะโป้ปดแม้แต่น้อยนางกล่าวแต่ความจริงทั้งสิ้น จะให้นางไปจุดธูปสาบานยังศาลบรรพชนนางก็ยินดี เพราะนางบริสิทธิ์ใจ นางทราบดีว่าตนเองให้ตายก็ไม่มีวันคิดมาปีนเตียงบุรุษโดยเฉพาะบุรุษผู้นั้นมีนามว่าเซี่ยหย่งอี้!
“เจ้าไม่รู้!?” เขาทวนคำน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างถึงแก่นต่อให้ซูผิงหลัวนางไร้เดียงสาเพียงใดก็ยังฟังออก
“เจ้าไม่รู้ เช่นนั้นคนที่รู้สมควรเป็นข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเองก็อยู่ในจวนนี้มาหลายปีจะไม่ทราบเชียวหรือว่าต่อให้ข้าเมามายเยี่ยงสุนัขแต่ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่แตะต้องสาวใช้และสตรีชั้นต่ำเช่นเจ้า!”
เซี่ยหย่งอี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแววตานั้นก็วาววับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะกรุ่นกำจาย เขาจับจ้องมองกายบอบบางตรงหน้านิ่ง กรามแกร่งนั้นก็พลันบดเบียดเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน ซึ่งในสายตาของเด็กสาววัยสิบหกปีบุรุษตรงหน้าผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
นางคิดว่าบัดนี้หากเขาสามารถบดขยี้นางได้เขาคงไม่รีรอที่จะลงมือบดขยี้นางให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงแล้วเป็นแน่ แต่วูบแสนสั้นกิริยากลัวเขาจนแทบสิ้นสตินั้นกลับทำให้เซี่ยหย่งอี้ตรงเข้าไปบีบคอนางให้ขาดใจตายไม่ลงจะถีบนางให้ตกเตียงลงไปก็มิใช่นิสัยของบุรุษเช่นเขา และอีกสิ่ง การเข้าไปแตะต้องกายของนางอาจมิใช่ความคิดที่ดี สตรีเหล่านี้มารเล่ห์ร้อยกลจนเขามิอาจวางใจได้ลง
...เกลียดมารดาบุญธรรมของนางเช่นไรเขาก็ชิงชังนางผู้เป็นบุตรสาวของอีกฝ่ายเท่านั้น!...
“เป็นเจ้าหรือเป็นท่านแม่บุญธรรมของเจ้ากันแน่ที่เล่นวิธีโสมมเช่นนี้กับข้า?” เขากัดฟันถามนางออกไปอย่างใจเย็นที่สุด ข่มความต้องการจะจับนางมาหักคอสวยนั้นให้แหลกเอาไว้ให้ลึกที่สุดขณะที่ถามดวงตาคมดุกร้าวนั้นก็มองกดนางดังในยามเขามองกดดันเชลยศึกในยามรีดเค้นสอบสวนเอาความลับทางการทหาร
“ข้าเปล่านะเจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรมก็ไม่มีวันทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้”
“ก็เช่นนั้นเจ้าก็ตอบมาสิว่าเจ้ามานอนบนเตียงของข้าได้อย่างไรกันซูผิงหลัว!!!”
“ผิงหลัวคงตอบท่านแม่ทัพได้เพียงว่าไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ....ไม่รู้เลยว่ามาได้อย่างไร”
นางไม่ทราบจริงๆ ดังนั้นนางจึงยังคงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นระริกพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าน้ำตาร่วงกราวราวเขื่อนแตก นางจนปัญญาจะกล่าวให้อีกฝ่ายเชื่อ แต่ด้วยความสัตย์จริง นางมิได้มีเจตนาไม่ดีหรือคิดมักใหญ่ใฝ่สูงหวังจะเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพจนแอบมาปีนเตียงของเขาจริงๆ แต่ที่ตัวของนางเองเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรนางกลับจำไม่ได้เลยสักนิด!
พอนางพยายามคิดทบทวนว่าตนเองมาที่แห่งนี้ได้อย่างไรอาการปวดหนึบที่ศีรษะก็เริ่มจู่โจมรุนแรงขึ้นมาเรื่อย แล้วยิ่งไปผสานกับความหวาดกลัวที่นางมีต่อเซี่ยหย่งอี้กลับยิ่งทำให้นางนั้นคิดอันใดไม่ออกสักอย่างเดียว
“ผิงหลัวขออภัยเจ้าค่ะ แต่ผิงหลัวจำอันใดก่อนจะมาอยู่ที่ห้องของท่านแม่ทัพมิได้จริงๆ นะเจ้าค่ะ”
“ข้ามิได้ต้องการคำขอโทษข้าต้องการคำตอบจากเจ้าว่านี่มันคือสิ่งใดกัน!?”
“ก็แล้วท่านแม่ทัพจะให้ผิงหลัวทำเช่นไรเล่าเจ้าค่ะที่กล่าวมาทั้งหมดผิงหลัวสาบานได้ว่าจริงทุกคำ ขอให้ผิงหลัวมิได้แต่งงานออกเรือนไปตลอดชีวิตนี้เลยก็ได้เจ้าค่ะผิงหลัวไม่ทราบจริงๆ”
นางกล่าวออกไปทั้งน้ำตานองหน้าอย่างมิอาจจะทำอันใดไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว นางจำไม่ได้จะทุบจะตีนางจนตายนางก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเหตุใดตนเองจึงมานอนอยู่บนเตียงของบุรุษหน้ากลัวผู้นี้ไปได้
“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งไสหัวออกไปจากห้องของข้าเดี๋ยวนี้! ออกไป!!!”
ไม่เพียงแค่เอ่ยปากไล่แต่นิ้วชี้ยังเกรี้ยวกราดไปที่ประตู แววตาของเขาช่างเย็นยะเยือกมองสำทับคำไล่ ไม่อยากทนฟังคำแก้ตัวของสตรีหน้าด้าน ที่ฟังอย่างไรก็ฟังแทบไม่ขึ้นของอีกฝ่ายให้เสียเวลาอีกต่อไป ในยามนี้เขาอยากให้ซูผิงหลัวนั้นรีบออกไปจากห้องของเขาเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากทนเห็นหน้าของนางที่เสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาใสซื่อแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจเดียว
“ดะ...ได้เจ้าค่ะ...ผิงหลัวไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ซูผิงหลัวก้มหน้าก้มตารับคำสั่งแล้วเร่งถลันลงไปจากเตียงใหญ่ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนน้ำตาซึ่งในยามนี้เจ้าตัวนั้นไม่มีเวลาจะเช็ดมัน ปลายเท้าบอบบางรีบก้าวออกไปยังบานประตูเพื่อที่จะได้เปิดออกไปเสียจากนี้ให้เร็วที่สุด ด้วยนางเกรงว่าหากยังช้าเพียงนิดเดียวอาจจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องนั้นจะยิ่งโมโหและชิงชังรังเกียจนางไปมากกว่านี้
มือเล็กอันสั่นเท่าจับบานประตูให้มันเปิดออก ทว่าในยามที่นางมีความกลัวผสมลนลานเช่นนี้ทุกอย่างกลับดูขลุกขลักไปหมด นอกจากมือของนางจะสั่นจนยากจะควบคุมแล้ว ใจเจ้ากรรมมันยังสั่นไม่หาย ความหวาดกลัวพาให้หัวใจเต้นระทึกไปกับการพยายามจะเปิดประตูที่กว่านางจะเดินมาถึงก็หกล้มไปสามครั้งแต่ในที่สุดนางก็ทำมันจนสำเร็จ
ทว่าจังหวะที่นางกำลังจะกระชากบานประตูให้เปิดออกแล้วคิดที่จะรีบวิ่งกลับไปยังห้องของตนเอง เรือนกายบอบบางของนางก็ชะงักนิ่งราวกับโดนคำสาปจากนางมารร้ายให้กลายเป็นหินหนึ่งก้อน เมื่อซูผิงหลัวพบว่า ‘ซูเยว่ผิง’ ผู้เป็นมารดาบุญธรรมของนางยืนขวางอยู่หน้าห้องและกำลังหันหน้ามาทิศทางที่นางกำลังยืนเปิดบานประตูค้างอยู่....