ซูเยว่ผิงที่แสร้งทำทีว่าตนเองนั้นกำลังเดินผ่านเรือนม่านพยัคฆ์ของเซี่ยหย่งอี้ไปยังเรือนริมธาราของซูผิงหลัวแล้วไม่พบบุตรสาวบุญธรรมของนางจึงให้สาวใช้ทั้งของตนเองและของซูผิงหลัวออกตามหาพอได้เห็นว่าบุตรีบุญธรรมเปิดประตูเรือนที่ตนหมายตาเฝ้ารอคอยอยู่นานแผนการร้ายก็จึงเริ่มต้นขึ้นทันควัน!
“ผิงเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงเข้าไปอยู่ในเรือนของท่านแม่ทัพ!!!”
น้ำเสียงแหลมปรี๊ดจนบาดแก้วหูกับกิริยาที่ออกจะแตกตื่นเกินจริงไปหลายส่วนของซูเยว่ผิง ยิ่งทำให้ซูผิงหลัวที่คิดว่าจะหลบออกจากเรือนม่านพยัคฆ์ให้เงียบเชียบที่สุดมีอันต้องสะดุดจนใบหน้างามซึ่งเต็มใบหน้านั้นกลับยิ่งย่ำแย่ซีดสลดมากกว่าเกินสิบส่วน เด็กสาวรู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมขึ้นมากะทันหัน มือเรียวบอบบางที่จับกรอบประตูอยู่บัดนี้เย็นเฉียบจนไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว ส่วนร่างกายนั้นมันชาวูบวาบเป็นรอบที่ร้อยเมื่อเห็นสายตาโกรธขึ้งของผู้เป็นมารดาบุญธรรมที่นางทั้งกลัวและเคารพยิ่งกว่าจ้าวชีวิตจับจ้องมองมาที่ตนเอง
“ท่านแม่บุญธรรม…”
เด็กสาวใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษเก่าใกล้ผุเผลอหลุดเสียงครวญครางออกมาแผ่วเบาราวกับคนละเมอ นางพยายามเก็บกลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคอไปด้วยความรู้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างถึงแก่นมิต่างจากเมื่อครู่ที่พบว่าตนเองต้องตื่นมาอยู่บนเตียงของท่านจอมมารหย่งอี้ก็มิปาน นางแทบไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าห้องซึ่งอยู่ด้านหลังเลย
ว่าบัดนี้เซี่ยหย่งอี้นั้นเขากำลังมีโทสะเพิ่มขึ้นอีกเพียงใด เหตุก็เพราะนางที่ชักช้าจนเกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้ และเรื่องคราวนี้ก็ด็จะใหญ่ไม่น้อยจนนางและเขามิอาจแก้ไขได้แล้วเป็นแน่ ที่เคยชิงชังนางคาดว่าบัดนี้เซี่ยหย่งอี้คงแทบจะหยิบดาบประจำกายมาสะบั้นกายของนางให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นแล้วเป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ทว่านางมิได้ตั้งใจจะให้ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเลย
“เร่งตอบมาสิผิงเอ๋อร์ว่าเหตุใดเจ้าจึงมานอนค้างอ้างแรมอยู่ที่เรือนของท่านแม่ทัพเซี่ยไปได้ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้!?”
ซูเยว่ผิงถามคาดคั้นด้วยสีหน้าจริงจังอย่างสมบทบาท จนคนซื่อคนบื้อเช่นซูผิงหลัวนั้นตามไม่เคยเท่าทันมารดาบุญธรรมของตนเองเลยสักครา นางใช้สายตาคมแวววาวจับจ้องไปที่เด็กสาวที่กำลังแตกตื่นแทบสิ้นสติ ซึ่งอยู่ในสภาพอาภรณ์ยับยุ่งผมเผ้านั้นก็ยุ่งเหยิงหลุดลุ่ยไม่เป็นทรงใบหน้างดงามนั้นก็เปื้อนคราบน้ำตา แล้วยิ่งผสานไปกับท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้จัดนั่นก็อีกซึ่งแน่นอนนางแลเห็นเหล่าสาวใช้ภายในจวนเองก็คงมิใช่จะตาบอดมองไม่เห็นเสียเป็นแน่
….หึ!....เจ้าดิ้นไม่หลุดแน่เซี่ยหย่งอี้!!!....
“ข้า….ข้า…คือ….ผิงหลัวมิทราบเจ้าค่ะ…”
ซูผิงหลัวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นไหว กระบอกตานั้นพลันร้อนผ่าว ก่อนที่น้ำตาระลอกใหม่จะพวยพุ่งขึ้นมากอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ แววตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจผสานไปด้วยความผิดหวังที่ท่านแม่บุญธรรม ทำให้เด็กสาวไม่ประสาเช่นนางหายใจไม่ทั่วท้อง ใจมันสั่นหวิว เพราะตลอดมาท่านแม่บุญธรรมเข้มงวดกับนางมากโดยเฉพาะเรื่องบุรุษขนาดนางเผลอไปพูดคุยกับบ่าวชายเพียงไม่กี่คำแล้วท่านแม่บุญธรรมพบเห็นเข้า นางยังถูกเฆี่ยนเสียเป็นสิบครั้ง แล้วนี่….
นางออกมาจากห้องของบุตรชายคนโตของนายท่านเซี่ยที่ไม่เคยกินเส้นกันเลยกับมารดาเลี้ยง นางจึงบังเกิดความหวาดกลัวความผิดกับบทลงโทษที่อาจจะได้รับจนใบหน้าซีดเผือดอยู่แล้วยิ่งซีดเหลืองหนักลงไปอีกหลายส่วน กายอรชรนั้นก็สั่นเทาอย่างยากจะห้ามได้ นางทบทวนแล้วทบทวนอีกว่าเหตุใดตนเองจึงมานอนอยู่ในห้องของท่านแม่ทัพเผื่อหากนางนึกออกจะได้บอกกล่าวออกไปบรรเทาความรู้สึกผิดและความอดสูที่เหมือนนางคือสตรีไร้ยางอายคิดการใหญ่ปีนเตียงของบุรุษเช่นท่านแม่ทัพเซี่ยโดยมิเจียมเงาหัวของตนเองเช่นนี้
สิบสองปีที่ผ่านมานับจากซูเยว่ผิงนั้นรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม เด็กหญิงกำพร้าที่กำลังจะถูกขายไปยังหอคณิกาแห่งเมืองอานเล่อแห่งนี้ชีวิตของนางก็เหมือนติดหนี้บุญคุณจนยากจะตอบแทนสิ่งเดียวที่ซูผิงหลัวสามารถจะตอบแทนพระคุณสูงเทียมฟ้าของท่านแม่บุญธรรมได้คือมีเพียงทำตามให้ดีเชื่อฟังอีกฝ่ายไม่ว่าซูเยว่ผิงจะสั่งสอนอันใดเด็กหญิงจนเติบโตมาเป็นเด็กสาวซูผิงหลัวมิเคยกระทำตนเสื่อมเสียหรือไม่เชื่อฟังมารดาบุญธรรมเลย
ทว่าวันนี้สายตาของซูเยว่ผิงนั้นดูทั้งผิดหวังและเสียใจไปพร้อมกันคนซื่อเช่นซูผิงหลัวจึงหวาดกลัวว่ามารดาบูญธรรมจะไม่รักตนเองอีกแล้ว เพราะอดีตพอสิ้นบิดามารดาที่ต้องการแต่งงานใหม่นั้นไม่ต้องการนางจึงนำนางไปขายยังหอคณิกาบัดนี้หากท่านแม่บุญธรรมเกลียดนางอีก นางจะไม่ถูกขายให้กลับไปยังหอคณิกาอีกเช่นนั้นหรือ? ยิ่งคิดความหวาดกลัวก็เข้าจับขั้วหัวใจของเด็กสาวจนกายสั่นสะท้านแข่งขาอ่อนแรง ทรุดกายลงนั่งแหมะอยู่มันตรงหน้าบานประตูเรือนหลังโตแล้วปิดหน้าร้องไห้อย่างจนปัญญาแล้วจริงๆ
เพราะตลอดมาท่านแม่บุญธรรมเข้มงวดกวดขันกับนางอย่างยิ่งในเรื่องให้ระวังกายระวังใจอย่าได้ทำตนเองแปดเปื้อนในทางคาวโลกีย์ แต่วันนี้และบัดนี้ซูเยว่ผิงเห็นกับตาว่านางออกมาจากห้องในเรือนนอนของบุรุษเช่นนี้คำพร่ำสอนให้นางนั้นรักนวลสงวนตัวมาหลายสิบหลายสิบปีไม่ไร้ค่าสูญเปล่าหรอกหรือ?
…เมื่อราตรีที่ผ่านมามันเกิดอันใดขึ้นกับนางกันแน่? ...
“เจ้าจะกล่าวว่าไม่รู้ได้อย่างไรผิงเอ๋อร์ ชุนจื่อบอกว่าตามหาเจ้านับจากยามอิ๋นแล้วไม่พบจึงไปแจ้งแก่ข้าว่าเจ้าหายไปนี่ตกลงเจ้ามานอนอยู่ในเรือนของท่านแม่ทัพเซี่ยทั้งคืนเลยใช่หรือไม่ตอบท่านแม่มาเดี๋ยวนี้นะผิงเอ๋อร์”
ยิ่งกล่าวซูเยว่ผิงนั้นก็ยิ่งส่งเสียงดัง แน่นอนว่าเด็กสาววัยสิบหกหนาวผู้ไร้เดียงสาและทั้งโง่ทั้งเซ่อย่อมคิดเพียงแม่บุญธรรมของตนเองคงกำลังโมโหมาจนควบคุมสติไม่ได้ ทว่าบุรุษผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายหยางโจวถึงกับหรี่ดวงตานางพญาหงส์จนแคบแทบเป็นเส้นตรง
“หรือว่าท่านแม่ทัพเมามายแล้วฉุดเจ้ามาย่ำยีใช่หรือไม่ผิงเอ๋อร์เป็นเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่ หากถูกต้องเจ้าจงพูดออกมา ข้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจ้าเองอย่าได้หวาดกลัวไป”
ซูผิงหลัวนางอยากจะกล่าวเหลือเกินว่าระหว่างหวาดกลัวจอมมารหย่งอี้กับหวาดกลัวมารดาบุญธรรมนางเองไม่ทราบแล้วว่ากลัวผู้ใดมากกว่ากัน รู้เพียงจะผู้ใดนางก็หวาดกลัวทั้งสิ้น ดังนั้นภายในหัวของเด็กสาวจึงตายสนิทคิดสิ่งใดไม่ออกสักอย่าง
“ซู...ผิง...หลัว!”
สตรีวัยยี่สิบเก้าปีที่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์กว่าราวดรุณีวัยสักสิบแปดสิบเก้าหนาวกระชากน้ำเสียงดุดันถามย้ำขึ้นมาด้วยเสียงอันดังอย่างจงใจให้คนทั่วทั้งจวนเซี่ยแห่งนี้ได้ยินกันทั่วถึงไม่ทั่วเหตุการณ์ฉาวโฉ่เช่นนี้ย่อมกระจายไปโดยเร็วไม่แน่ว่าไม่ทันถึงยามเฉินมหารนครอานเล่อคงทราบกันทั่วเป็นแน่ว่าท่านแม่ทัพคนโปรดของฮ่องเต้กระทำเรื่องเสื่อเสียเข้าแล้ว
“พูด!”
นางตรงไปเขย่าแขนของซูผิงหลัวจนหัวสั่นหัวคลอนอย่างทราบดีว่าลูกบุญธรรมของตนเองนั้นยิ่งถูกกดดันนางจะยิ่งสติแตก เพราะในอดีตซูผิงหลัวนั้นถูกมารดาแม้ๆ เฆี่ยนตีทรมานมาจนสติปัญญาเฉื่อยเกินกว่าเด็กปกติทั่วไป นางเขย่ากดดันเด็กสาวไปพลาง ก็แอบเหลือบสายตามองผ่านกรอบประตูเข้าไปภายในห้องนอนกว้างใหญ่ แล้วก็แอบกดรอยยิ้มสาสมใจ ราวนางปีศาจจิ้งจอกอยู่วูบแสนสั้นก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะสภาพภายในห้องนั้นผ้าห่มลงมากองที่พื้นหน้าเตียง ส่วนบนเตียงก็ยังปรากฏกายยับยุ่ง สตรีผู้ผ่านร้อนและหนาวมายี่สิบเก้าปีย่อมคาดเดาเกินเลยไปถึงไหนต่อไหนได้ไม่ยากเลย
แต่ถึงจะพึงใจเพียงใด ทว่านางก็พยายามซุกซ่อนรอยยิ้มร้ายกาจเอาไว้ว่องไวราวมืออาชีพ ส่วนภายในใจของนางนั้นปรีดาเพียงใด ยิ่งเมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นว่าบุรุษผู้เป็นเจ้าของห้องและเป็นอดีตคนที่นางเคยรักซึ่งบางทีบัดนี้ซูเยว่ผิงก็อาจจะยังรักเซี่ยหย่งอี้อยู่มิคลายกำลังเดินเปลือยหน้าอกกำยำ ตรงมาด้านนี้ด้วยสีหน้าซึ่งยากจะอ่านออกว่าท่านแม่ทัพใหญ่วัยเพียงยี่สิบแปดปีผู้นี้เขากำลังอยู่ในอารมณ์ใดและคิดสิ่งใดอยู่ในขณะนี้กันแน่
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ไม่มีอันใดที่ท่านแม่บุญธรรมกล่าวมาเลย ท่านแม่ทัพเซี่ยมิได้ล่วงเกินผิงหลัวแม้เพียงปลายเส้นผมเจ้าค่ะ”
เด็กสาวคนซื่อและบื้อจนแม้แต่สาวใช้เช่นชุนจื่อยังโมโหเร่งละล่ำละลักเร่งกล่าวทุกความจริงออกไปเพราะนางนั้นมั่นใจเต็มที่ว่าเด็กสาวหน้าตาแสนจะธรรมดาแล้วยังเป็นบุตรสาวบุญธรรมของสตรีที่เขาเกลียดแสนเกลียดเซี่ยหย่งอี้ล้วนไม่มีทางแตะต้องนางเป็นอันขาด!
“อย่าโกหกแทนเขาซูผิงหลัว” หากแม่บุญธรรมเรียกนางด้วยนามเต็มนั้นหมายความว่าซูเยว่ผิงนั้นโกรธจนแทบจะทุบหลังของนางได้แล้วเป็นแน่
“มะ...ไม่เจ้าค่ะ....ผิงหลัวมิได้พูดโกหก ผิงหลัวกล่าวความจริงทั้งสิ้น!”
ซูผิงหลัวเร่งกล่าวละล่ำละลักลิ้นพันกันคบปากไปหมด ดวงตากลมโตสวยในอดีตบัดนี้บวมช้ำและฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่านางก็ยังพยายามมองตรงไปที่ใบหน้างดงามของมารดาบุญธรรมอย่างเว้าวอนดังจะวิงวอนให้ซูเยว่ผิงเชื่อนาง และเร่งพานางกลับห้อง จบเรื่องน่าอับอายนี้ไปเสียที
ทว่าความคิดที่อยากจะจบเรื่องบัดสีน่าละอายตรงนี้กลับยิ่งสิ้นหนทางไปในทันใดเมื่อบุรุษผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจวนเซี่ยเช่นท่านใต้เท้าเซี่ยหย่งสือกลับปรากฏกาย พร้อมกับคำถามที่ดังแทรกเข้ามาระหว่างเสียงร่ำไห้ของซูผิงหลัวและเสียงตวาดดุดันของซูเยว่ผิงว่า...
“เกิดอันใดกันขึ้น เสียงเอ็ดอึงดังไปถึงเรือนกลางแล้ว”
ใต้เท้าเซี่ยผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีใหญ่แห่งดินแดน’ ต้าฉู่’ บุรุษที่เพิ่งจะฉลองครบรอบอายุหกปีแต่ยังดูหนุ่มแน่นราวกับเป็นหนุ่มใหญ่วัยเพียงห้าสิบเศษเท่านั้น เอ่ยถามขึ้นแต่ไม่เจาะจงว่าเป็นผู้ใด เมื่อครู่เขาเพิ่งกลับมาจากเรือนของอนุภรรยาคนที่สามเพื่อจะไปกินมื้อเช้าร่วมกันที่เรือนกลางซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของจวนสกุลเซี่ยมาช้านานว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญลูกหลานหรือเหล่าอนุภรรยาจะต้องมากินร่วมกันที่เรือนใหญ่ทุกคนมิมียกเว้น แต่พอจะเดินผ่านเรือนของบุตรชายคนเดียวของตนแล้วมีเสียงเอ็ดอึง จึงอดจะแวะเดินมาดูด้วยสีน่ากังขาอย่างยิ่ง
ทว่าพอเขาเห็นสภาพตรงหน้าก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเด็กสาวที่เขาเอ็นดูราวกับบุตรสาวผู้หนึ่งทรุดนั่งอยู่ที่หน้าเรือนนอนของเซี่ยหย่งอี้ ใบหน้าบอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักไหนจะเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูยับยุ่ง พอเหลือบสายตามองไปทางด้านใจห้องก็พบกับบุตรชายผู้เป็นเจ้าของห้องนั้นกลับยืนกอดอกที่เปลือยเปล่ายืนอิงสะโพกกับกรอบประตูทำสีหน้าเรียบขรึมยากจะคาดเดาอารมณ์ พอสายตาของทั้งสองพ่อลูกประสานกัน เซี่ยหย่งอี้ก็ทำเพียงเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้ววางสีหน้าเรียบเฉยต่อไป
“ก็ผิงเอ๋อร์นะสิเจ้าค่ะ นางหายออกไปจากห้องทั้งคืนเมื่อยามอิ๋นชุนจื่อจึงไปรายงานข้าที่เรือนใหญ่ เลยออกตามหากันวุ่นวาย ทว่ามิคาดสุดท้ายจะมาพบนางอยู่ที่ห้องของท่านแม่ทัพเซี่ยเช่นนี้แล้วดูสภาพของนางเถิด ท่านพี่...เยว่เอ๋อร์ไม่ยอมนะเจ้าค่ะ”
ซุเยว่ผิงพอทราบว่าสามีมาร่วมดูชมตามแผนของนางแล้วก็เร่งหันไปฟ้องเซี่ยหย่งสือ แต่ก็ยังแอบเหลือบสายตาไปมองยังกายกำยำของท่านแม่ทัพหนุ่มอดีตคนเคยรักของตนเอง ที่บัดนี้เขาหันไปเปิดประตูเรือนอนของเขาให้เปิดกว้างออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมิจาง นางจึงเสมองหลบตาคมดุที่ทรงอำนาจกว่าในอดีตเมื่อสิบสามปีก่อนราวกับมิใช่คนเดียวกันคู่นั้นเพราะทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวและหวาดกลัวว่าเขาจะเท่าทันแผนการนี้ของนางอย่างยิ่ง
บัดนี้คนแทบทั้งจวนไม่ว่าจะเป็นเซี่ยหย่งสือและเหล่าอนุภรรยาอีกสิบหกนางต่างก็มารวมตัวกันอยู่หน้าเรือนม่านพยัคฆ์แห่งนี้ยังไม่นับรวมเหล่าสาวใช้คนสนิทของเหล่าอนุภรรยาทั้งหมดอีก ทำเอาซูผิงหลัวนั้นเผลอทำตัวลีบเล็ก เมื่อคล้ายนางกำลังถูกทุกสายตาจับจ้องราวกับนางคือตัวอัปมงคลก็มิปาน ยิ่งนางมองเห็นสีน่าสมเพชของอนุภรรยาแต่ละนางส่งมาให้ เด็กสาวนั้นก็ยิ่งสลดและหวาดกลัว
ถึงนางจะซื่อบื้อและสมองเฉื่อยมิใช่คนฉลาด แต่นางก็ยังพอจะทราบว่าคราวนี้คงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว นอกจากจะทำให้ท่านแม่บุญธรรมอับอายขายหน้านางอาจจะทำให้ ท่านแม่ทัพเซี่ยเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วเป็นแน่ จากเรื่องเล็กเพียงนางเข้าห้องผิดปีนเตียงของผู้อื่น บัดนี้เรื่องคงบานปลายยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าเขื่อนแตกแล้วเป็นแน่ นางจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ใดทั้งสิ้นโดยเฉพาะจอมมารหย่งอี้นางยิ่งไม่กล้าหันไปมองเขาเลย ยิ่งเขาขยับเท้ามายืนอยู่ที่ด้านข้างทางขวามือของนาง เพียงนางเผลอสายตาเหลือบไปมองปลายเท้าของอีกฝ่ายเพียงเท่านั้นรังสีอำมหิตและกลิ่นอายแห่งโทสะที่กรุ่นกำจายปกคลุมโดยรอบห้อมล้อมกายของนางราวกับจะกดดันให้นางหยุดหายใจไปในเวลาอันใกล้นี้นี่เอง
“มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่หย่งอี้?” เซี่ยหย่งสือนั้นเอ่ยสอบถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกับแววตาที่จับจ้องอีกฝ่ายนิ่งราวกับจะอ่านความคิดของอีกฝ่ายไปให้ถึงก้นบึ้ง เพราะเขาเองก็อยากฟังความจริงจากเซี่ยหย่งอี้เช่นกันต่อให้เขาเอ็นดูบุตรสาวบุญธรรมของตนเองแต่เขาย่อมรักและเชื่อใจบุตรชายสายเลือดแท้ของตนเองมากกว่า
“ก็...”
เซี่ยหย่งอี้เอ่ยค้างเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วเหลือบไปมองอดีตที่ในวัยสิบห้าเราหลงรักนางแทบเป็นแทบตาย ทว่านางกลับหักหลังเขาแล้วมาแต่งกับบิดาของเขาแทนและนั่นก็เป็นสาเหตุให้เด็กหนุ่มดวงใจสลายนั้นต้องหลบลี้หนีหน้าไปอยู่ไกลถึงค่ายทการที่หยางโจว ด้วยสายตาที่เท่าทันความคิดและแผนการของนางจิ้งจอกในคราบของกระต่ายเช่นซูเยว่ผิงอย่าทะลุปรุโปรง
...หึ!...ได้...อยากเล่นสรกเช่นนี้ใช่หรือไม่นางคนแพศยา!...
“ท่านพ่อเห็นเช่นไร...เรื่องก็เป็นเช่นนั้น...หึ...หึ....หึ...”
“หย่งอี้!/ท่านแม่ทัพ!”
ทั้งเซี่ยหย่งสือและซูผิงหลัวถึงกับอุทานออกมาอย่างมิคาดว่าเซี่ยหย่งอี้นอกจากไปปฏิเสธเสียงแข็งเพราะความจริงมันไม่มีอะไร ทว่าเขากลับยอมรับออกมาหน้าตาเฉยเช่นนี้
“ผิงหลัวอยู่กับข้าทั้งคืนจริง มิได้มีข้อใดผิดไป”
“!!!”
เขายังคงตอบย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ยี่หระอันใดทั้งสิ้น ใบหน้าหวานเกินบุรุษนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดทั้งสิ้นเช่นเดิม ทว่าแววตาของเขานั้นยังคงอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะร้อนร้ายที่กำลังใกล้ปะทุเดือด ซึ่งสายตานั้นส่งไปหาสตรีซึ่งยืนอยู่เคียงข้างบิดาด้วยกิริยาออดอ้อนฉอเลาะชวนถีบให้คว่ำ หากแต่เขาก็มิได้กระทำการอันต่ำช้าเช่นนั้น นอกจากส่งรอยยิ้มเหยียดหยามและเท่าทันไปให้นางได้หวาดผวาสะดุ้งในใจเล่น ก็เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมายี่สิบแปดปี มีหรือคนเท่าท่านแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายหยางโจวจะไม่รู้เท่าทันจุดประสงค์ของสตรีหน้าเนื้อใจเสือผู้นี้
บิดาของเขาเป็นบุรุษที่งามและภูมิฐานแถมตำแหน่งการงานยังยิ่งใหญ่ แต่นิสัยเสียเดียวของบิดาเขาก็คือชื่นชอบเด็กสาวๆ โดยเฉพาะวัยสิบห้าสิบหกเช่นซูผิงหลัว และเด็กสาวผู้นี้สามหนาวก่อนเขากลับมาเมืองหลวงเช่นอานเล่อนางยังผอมแห้งหาความงดงามไม่เจอมิคาดผ่านไปสามปีนางจะงดงามถึงเพียงนี้ อาจจะงดงามเสียยิ่งกว่าซูเยว่ผิงผู้เป็นมารดาบุญธรรมของนางเสียอีก
...หึ!...
คิดยิงนกหนึ่งครั้งทว่ามันตายทั้งฝูงสินะ ได้กำจัดเด็กสาวงดงามให้พ้นไปจากบุรุษเจ้าชู้เช่นบิดาเขาไม่พอหากบีบบังคับให้เขาแต่งบุตรสาวบุญธรรมของนางมาเป็นฮูหยินน้อยของเขาอีกคนทรัพย์สมบัติในสกุลเซี่ยมันจะไปที่ใดพ้น คนทะยานอยากเช่นซูเยว่ผิงเขาซาบซึ้งดีกว่าผู้ใดเช่นนั้นแผนการวันนี้มีหรือเขาจะมิแตกฉาน!
“ไม่แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วตามไปพบข้าที่ห้องหลังสือ เจ้าด้วยผิงหลัวไปแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วตามไปพบข้าที่ห้องหนังสือเช่นกัน เยว่ผิง เจ้าตามไปดูแลนางด้วย!”
ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแล้วท่านใต้เท้าเซี่ยก็สะบัดแขนเสื้อตรงกลับไปยังเรือนใหญ่ทันที ฝ่ายเซี่ยหย่งอี้นั้นไม่กล่าวอันใดอีกเพียงเดินกลับเข้าห้องไปแล้วปิดประตูปังใหญ่ จนคนด้านนอกสะดุ้งกันเป็นทิวแถว เห็นดังนั้นซูเยว่ผิงก็เร่งจัดการให้ชุนจื่อสาวใช้ประจำกายของซูผิงหลัวมาช่วยกันประคองเด็กสาวกลับเรือนไปอีกเช่นกัน