ผ่านการเดินทางเข้าวันที่สองคราวนี้เซี่ยหย่งอี้มิได้แยกตัวไปอยู่บนหลังอาชาเช่นเมื่อวานแต่เขากลับเลือกจะมานั่งภายในรถม้าคันเดียวกับซูผิงหลัว ทำเอาเด็กสาวถึงกับพยายามนั่งทำให้ตนเองตัวลีบเล็กอย่างถึงที่สุด หนึ่งคือนางหวาดกลัวอีกฝ่ายส่วนสองคำบอกในราตรีร่วมหอที่เขาไปหอคณิกามันทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่ดีเท่าใดนักที่จะใช้บุรุษร่วมกับสตรีอื่นที่ก็มิได้หลับนอนกับเพียงบุรุษเดียวเช่นกัน
ยังดีที่ราตรีที่ผ่านมาเซี่ยหย่งอี้ปล่อยให้นางนอนพักอยู่กับสองสาวใช้เช่นชุนจื่อและหรูอินเท่านั้นมิได้เข้ามาก่อกวนหรือสร้างความลำบากใจให้เด็กสาวต้องรู้สึกขยะแขยงที่อีกฝ่ายเพิ่งไปค้างอ้างแรมกับนางคณิกา แน่นอนนางมิได้ดูหมิ่นอาชีพของสตรีเหล่านั้นเพียงแค่นางยังทำใจให้ยอมรับทุกสิ่งที่มารดาบุญธรรมสั่งสอนให้นางเอาใจสามีก็เท่านั้นเอง
บรรยากาศภายในรถม้าในช่วงปลายยามอิ๋นเพราะหากออกเดินทางช้าไปเช่นเมื่อวานทั้งม้าและวัวรวมไปถึงกำลังคนย่อมเหนื่อยกับอากาศร้อนแรงของแดดในยามกลางวันไหนจะฝุ่นมากมายกับรถม้าที่บรรทุกเสบียงอาหารมาไม่น้อยนั่นอีกช่างอึดอัดยิ่งนักที่มีคนตัวโตราวกับหมียักษ์มานั่งกินพื้นที่ไปเกือบค่อนของพื้นที่ในรถม้าคันโต
ซูผิงหลัวมีแต่ความประหม่าเข้าเกาะกุมจิตใจเมื่อต้องมานั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้ากับท่านแม่ทัพเซี่ยที่เติบโตกว่านางถึงสิบสองปีตามลำพังเช่นนี้ ปกติธรรมดาหากไม่ใช่คนที่สนิทสนมเด็กสาวแทบจะเหมือนคนเป็นใบหนึ่งวันไม่พูดเลยก็ยังได้ ดังนั้นผ่านมาเป็นชั่วยามนางไม่ขยับเรียวปากเลยย่อมมิใช่สิ่งผิดปกติอันใด ทว่าเซี่ยหย่งอี้มิทราบนิสัยข้อนี้ของอนุภรรยาตัวน้อยภายในใจแม่ทัพใหญ่จึงคิดระแวงร้อนรนไปแล้วว่าแม่กระต่ายตัวน้อยของตนนี้อาจจะกำลังโกรธเคืองเรื่องที่เขาหายไปอยู่ที่หอคณิกาหมดคืนจนถึงช่วงสายในวันวานไปหมดแล้ว
ซึ่งความจริงแล้วที่ซูผิงหลัวเงียบนั่นก็เพราะนิสัยของนางเป็นคนพูดน้อยนั่นก็หนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งก็เพราะนางเห็นว่าท่านแม่ทัพหนุ่มดูดุดันและเงียบขรึม นางจึงไม่กล้าขยับแม้แต่ตนเองด้วยเกรงว่าตนเองอาจจะไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเอาได้ ซึ่งคนนิสัยเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่เช่นเซี่ยหย่งอี้หากนางทำให้เขาไม่พึงใจเข้าประเดี๋ยวเกิดเกรี้ยวกราดเกรี้ยวแล้วไลล่ให้นางเดินเท้าไปแทนนั่งบนรถม้านางมิแย่หรอกหรือ?
ดังนั้นเด็กสาวจึงนั่งตัวลีบเล็กหายใจก็ระวังมือเท้าเก็บนิ่งวางด้วยความระวังอย่างยิ่งขนาดเหงื่อซึมนางก็ไม่กล้าหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับแม้แต่น้อย ก่อนที่เด็กสาวจะผวาสะดุ้งเฮือก เมื่อเจ้าของร่างกายสูงใหญ่นั้นเริ่มขยับ ซูผิงหลัวเผลอหันไปมองเขาทันที ซึ่งก็ช่างเป็นจังหวะเดียวกับที่เซี่ยหย่งอี้เองก็หันมาทางนางเช่นกัน ดวงตาของทั้งคู่จึงประสานกันอย่างพอดิบพอดีทำเอาดวงใจของสาวน้อยถึงกับเต้นแรงไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างถึงแก่น!
ทางฝ่ายท่านแม่ทัพใหญ่ที่ต่อให้ใบหน้านั้นงดงามราวสตรีดวงตาก็เรียวสวยราวดวงตาหงส์ แต่เพียงมองประสานสายตากับดวงตากลมแป๋วแววที่แฝงมาด้วยความหวาดกลัวตนเองอย่างเก็บซ่อนกิริยาไม่เก่งก็ทำเอาใบหน้าหวานพลันดุดันจนเด็กสาวที่หวาดกลัวอีกฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วถึงกับขวัญผวาจนอยากจะกระโจนหนีออกฝ่ายอีกทางหน้าต่างของรถม้าเสียให้ได้
“กลัวอันใดข้ามิใช่ปีศาจ ทว่าข้าคือสามีของเจ้านะผิงหลัว”
กล่าวแล้วท่านแม่ทัพหนุ่มก็ใช้สายตาคมกริบนั้นกวาดมองใบหน้างดงามขาวผ่องใสแห่งวัยสาวแรกแย้มราวบุปผาเพิ่มคลี่กลีบเผลอแย้มของซูผิงหลัวแล้วกระตุกยิ้มร้ายคล้ายกำลังมีความพึงใจบางอย่างผุดวาบขึ้นมาจากแววตาคู่นั้น ก่อนที่เรือนกายแกร่งเยี่ยงนักรบของเขาจะขยับแนบชิดเข้ามาหาด้วยกิริยาคุกคามเปิดเผย เขาขยับใกล้เข้ามาจนปลายจมูกโด่งนั้นแทบจะสัมผัสกับแก้มนวลเนียนที่เริ่มแดงระเรื่อคล้ายดังโลหิตทั้งกายนั้นไหลขึ้นมากองรวมกันอยู่ที่ใบหน้าเล็กและลำคอระหง
ยิ่งเขาขยับบดเบียดเข้ามารวดเร็วเด็กสาวที่นางตั้งตัวไม่ทันจึงผงะไปด้านหลังจนแทบแทรกกายฝังเข้าไปยังผนังรถม้าเสียให้ได้ยังดีว่าร่างกายของเด็กสาวละลายมิได้หาไม่นางคงแทรกกายกลายเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อผนังแล้วเป็นแน่ ส่วนสีหน้านั้นมีแต่ความตื่นตระหนก กระนั้นวงแขนแกร่งก็ยังสอดเข้าไปโอบประคองกอดแผ่นหลังบอบบางให้ร่างหอมกรุ่นขยับเข้ามาหาดังเดิม
ซึ่งเมื่อเด็กสาวถูกต้อนเข้าสู่กรงอ้อมแขนแกร่งของเซี่ยหย่งอี้แล้ว ไม่มีทางที่ท่านแม่ทัพหนุ่มจะปล่อยให้กระต่ายน้อยหลบหนีอ้อมอกของเขาไปโดยง่าย
“ทะ...ท่านแม่ทัพ...ปะ...ปล่อยนะเจ้าค่ะ...ทะ...ท่านจะทำอันใดผิงหลัว”
เด็กสาวตาแป๋วมองคนตัวโตราวกับกระต่ายระวังนายพรานพลางถามออกไปด้วยคำแสนโง่งมตะกุกตะกัก ส่วนฝ่ามือเล็กนั้นก็พยายามดันแผ่นอกแกร่งกว้างใหญ่ให้ออกห่างตนเองได้มากที่สุด นางเอะงะไปหมดในยามที่ฝ่ามือแกร่งของคนหน้าเคร่งนั้นสัมผัสแตะต้อง ถึงแม้ว่าจะเพียงผ่านเนื้อผ้าหนานุ่มของตนเอง ทว่าก็ยังกลับทำให้นางอุ่นวาบไปทั่วร่าง ใบหน้าเล็กเพียงฝ่ามือแกร่งของเซี่ยหย่งอี้นั้นก็พลันร้อนผ่าว แก้มนวลเนียนสองข้างก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อดังผลแอปเปิลสุกปลั่ง ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ไหวระริกไปมาเพื่อจะหลบเลี่ยงการสบสายตากับคนตัวโตด้วยนางหวาดกลัวอีกฝ่ายยิ่งนัก
ต่อให้แม้นางจะเคยใกล้ชิดกับเขามาแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางนั้นจะคุ้นชินกับเขาโดยง่าย และยิ่งเซี่ยหย่งอี้ขยับมาแนบชิดภาพในวันที่เขารุกรานรังแกนางก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมองจนความหวาดกลัวผสานเขินอายก็ยิ่งบังเกิดรุนแรงจนแก้มสองข้างนั้นร้อนจนแทบจะมอดไหม้!
“แล้วสามีกับภรรยาที่เขาเพิ่งแต่งงานกันเขาต้องทำสิ่งใดมารดาของเจ้าลืมสั่งสอนมาหรือผิงหลิว?”
เซี่ยหย่งอี้ก้มลงไปกระซิบด้วยน้ำเสียงกระเส่าแตกพร่า ในขณะเดียวกันก็เป่าลมหายใจร้อนรวยรินใบหน้างดงามไปพลางแล้วก็แอบสูดดมกลิ่นหอมหวานละมุนเข้าท้องไปพลาง ก่อนจะถอยใบหน้าหล่อเหลาหวานละมุนนั้นถอยห่างอย่างเชื่องช้าแล้วหลุบสายตาลงไปมองเรียวปากสีหวานตาปรอย ก็นับตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้ครอบครองมัน ท่านแม่ทัพหนุ่มก็เฝ้าวนเวียนคิดถึงความหวานฉ่ำจากโพรงปากนุ่มๆ
ที่เขาทั้งติดใจและคิดว่าตนเองหลงใหลเสียแล้วแม้เพียงได้เชยชิมไปเพียงครั้งแรกราวกับคนเสียสติ และแน่นอนแม่กระต่ายป่าขี้ตื่นขี้กลัวตัวน้อยตรงหน้าเขานี้นางจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบที่เขาให้แม่ทัพผู้เกรียงไกรเช่นเขาต้องกลายเป็นคนเสียสติควบคุมกิริยามิได้เช่นนี้!
ทางฝ่ายคนที่ถูกถามความเอาสิ่งน่าละอายออกมาเช่นนั้นก็พลันส่ายหน้าระรัวแล้วจึงกัดเรียวปากอวบอิ่มเอาไว้แน่นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกคนที่กำลังมองจับจ้องอยู่นี้จุมพิตอย่างดูดดื่มไปเมื่อหลายวันก่อน ภายในใจนั้นก็ทั้งหวาดกลัวและเอียงอายดังดรุณีน้อยที่มิเคยต้องมือบุรุษทั่วไป
ซึ่งเขาจับจ้องนางด้วยสายตาเปิดเผยมิปิดบังว่าตนเองต้องการสิ่งใดจากกันภายในหัวอกหัวใจของซูผิงหลัวกลับยิ่งร้อนวูบวาบหวาดกลัวอีกฝ่ายไปหมดจนมือเรียวเล็กที่วางดันหน้าอกแกร่งเอาไว้นั้นเผลอขยุ้มเสื้อเนื้อดีของอีกฝ่ายจนแน่นเมื่อใบหน้าหวานแค่คมเข้มเคลื่อนลงมาหา ดวงใจของเด็กสาวนั้นเต้นระทึก ทั้งยังเผลอกลั้นลมหายใจอีกด้วย
“หากมารดาของเจ้ามันไม่ได้ความไม่รู้จักสั่งสอนอบรมบุตรีให้รู้ความหัดเอาอกเอาใจสามีเสียบ้างเช่นนั้น...ข้าก็จะจำใจสั่งสอนเจ้าเอง...ซูผิงหลัว”
สิ้นน้ำเสียงแหบพร่าริมฝีปากรุ่มร้อนก็ประทับลงมาหาเรียวปากสีแดงระเรื่อดังกับสีของผลอิงเถาในทันที ก่อนที่อ้อมแขนแกร่งจะกอดรัดร่างนุ่มละมุนหอมกรุ่นจนแทบจะจมหายเข้าไปในหน้าอกกำยำ พลางรวบมือเรียวเล็กแสนบอบบางเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวเพื่อป้องกันการขัดขืนของกระต่ายป่าจอมขวัญอ่อน
แล้วจึงเริ่ม’ สั่งสอน’ พร้อมลงโทษคนที่บังอาจทำให้เขานั้นทุรนทุรายมาหลายวันด้วยการบดเคล้าจุมพิตรุ่มร้อนและหนักหน่วงอย่างระงับความต้องการเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป พอนางไม่ยอมเปิดริมฝีปากให้เขาได้เข้าไปเชยชิมความหวานละมุน เขาจึงใช้ฟันขบกัดกลีบปากอวบอิ่มให้นางยอมเผลอแย้มเปิดออก
แล้วเขาจึงชำแรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปซอกซอนควานหาความหวานฉ่ำจากโพรงปากนุ่มนวลที่เขาโหยหามาหลายวันอย่างดื่มด่ำ ซึ่งยิ่งเขาค้นพบความหวานหอมเซี่ยหย่งอี้แนบชิดจุมพิตล้ำลึก เนิ่นนานจนพึงใจแล้วค่อยถอยห่างอย่างอ้อยอิ่ง ทว่าก็ยังคงคลอเคลียริมฝีปากร้อนรุ่มกับเรียวปากนุ่มนั้นด้วยความรู้หลงใหลมากขึ้นมาเดิม พลางปล่อยลมหายใจร้อนรินรดผิวแก้มนวลเนียนของคนในอ้อมแขนมายอมห่างไกลไปโดยง่าย
“ปะ...ปล่อยผิงหลัวได้แล้วเจ้าค่ะ”
คนตัวน้อยอ้อมแอ้มอย่างเอียงอายแล้วพยายามเบี่ยงหน้างดงามหลบหนีเรียวปากร้อนผ่าวนั้นด้วยกิริยาหอบสะท้าน ริมฝีปากที่ปกติก็อวบอิ่มอยู่แล้วบัดนี้กลับยิ่งบวมเจ่อ จนนางรับรู้ได้ถึงความแสบร้อนผะผ่าวจนต้องเผลอเรียวปากนั้นสูดเอาลมหายใจเข้าท้องแทนปลายจมูกโด่งเรียวแต่พองาม
ซึ่งเป็นเพราะฤทธิ์จุมพิตพิฆาตของอีกฝ่ายนางจึงมีสภาพเช่นปลาน้อยหิวโหยอากาศเช่นนี้และต่อให้นางเคยถูกเขาจุมพิตมาแล้วหนึ่งครั้ง ทว่าคราวนี้กลับดูดดื่มจนทำให้เด็กสาวไร้เดียงสาเช่นนางแทบขาดใจตายเสียให้ได้ ยิ่งเขาคลอเคลียไม่ห่างผิวแก้มบางใสก็ยิ่งร้อนผะผ่าวราวกับจะมอดไหม้ ด้วยเพราะเขาเล่นจู่โจมนางอย่างมิทันได้ตั้งตัวและเตรียมใจอย่างบุรุษจอมเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่จะเป็นสถานที่ใดก็ไม่ละเว้นนาง ขนาดภายในรถม้าเขาก็ยังฉกฉวยโอกาสไม่มีแผ่วมิเกรงว่าคนบังคับบังรถม้าหรือเหล่าทหารภายนอกจะทราบแล้วนางจะอับอายบุรุษเหล่านั้นเพียงใด
...ตาเฒ่ามากราคะ!...
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาออกคำสั่งกับสามีเช่นข้ากันผิงหลัว”
ถึงแม้จะเอ่ยถามด้วยกิริยาดุดันและน้ำเสียงเข้มจัด ทว่าริมฝีปากร้อนผ่าวของเขากลับกดเข้าหาพวงแก้มบอบบางพลันระเรื่อแดงสุกปลั่งด้วยเพราะสัมผัสที่เต็มไปด้วยความทะนุถนอม จมูกโด่งงดงามของท่านแม่ทัพหนุ่มยังคงเคล้าเคลียสูดดมกลิ่นแก้มสาวน้อยหอมกรุ่นเข้าไปกักเก็บเอาไว้ในอกจนสาแก่ใจ มุมปากสวยนั้นก็ยกขึ้นอย่างบ่งบอกว่าเขาพึงใจเพียงใดที่เข้าแนบชิดกระต่ายน้อยที่เขาแสนคะนึงโหยหามาหลายวัน
“ผะ...ผิงหลัวขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ”
คำถามที่แฝงเร้นมาพร้อมกับการตำหนิ ทำให้เด็กสาวถึงกับก้มหน้าจนปลายคางแทบชิดหน้าอกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่แต่เดิมก็มีมากอยู่แล้วให้ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ดวงตาคู่งามพลันหมองหม่นลงไม่ต่างจากสีหน้าและภายในใจของนางในยามนี้เลย พอคิดมากและหวาดกลัวคนตัวเล็กจึงเผลอกัดริมฝีปากตนเองแน่น แล้วพยายามขยับข้อมือบอบบางของตนเองที่ถูกพันธนาการเอาไว้จนสุดท้ายก็สามารถหลุดพ้นออกจากฝ่ามือแกร่งจนได้
แล้วจึงค่อยๆ ขยับกายอรชรสมส่วนนั้นออกห่างจากเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอยกลับไปนั่งยังมุมที่นั่งของตนเองตั้งแต่แรก ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีเลยสักนิดเพราะคิดไปแล้วว่าตนเองคงทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจและคงไม่ต้องการอยู่ใกล้เด็กสาวไร้เดียงสาไม่ได้ความเช่นตนเองเป็นแน่
ดวงตาคมแวววาวมอง’ กระต่ายน้อย’ ที่ดื้อด้านเงียบซึ่งกำลังเอาแต่หลุบเปลือกตาบางใสจนเห็นเส้นเลือดฝาดนั้นกำลังก้มหน้ามองต่ำกุมทับมือของตนเองแน่นอยู่บนตักเล็กแล้วจึงพลันถอนหายใจโดยแรงบ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขากำลังไม่พึงใจสิ่งนี้และกิริยาทั้งหมดที่นางกำลังทำอยู่ ก็เขาเป็นสามีของนางนะมิใช่ยักษ์มิใช่จอมมารจึงต้องแสดงกิริยาหวาดกลัวกันหนักหนาเช่นนี้
ดังนั้นแล้วมือแกร่งจึงตรงไปกระชากต้นแขนกลมกลึงให้กลับมาประชิดกายอีกครั้ง จนซูผิงหลัวถึงตกใจเสียขวัญกรีดร้องอยู่ในลำคอเพราะตกใจอย่างยิ่งกับการกระทำดังกล่าวของบุรุษตัวโตด้านข้าง ซึ่งคราวนี้ร่างอรชรอ้อนแอ้นนั้นถูกบงการให้ขึ้นมานั่งซ้อนอยู่บนตักแกร่ง แล้วเขาก็ใช้ท่อนแขนกำยำล็อกคนตัวเล็กเอาไว้อย่างแน่นหนาป้องกันมิให้นางหลบหนีเขาไปนั่งซุกตัวอยู่เพียงในซอกคับแคบของรถม้าได้อีก
“โอ๊ะ!...ท่านแม่ทัพ”
เรียวหน้างดงามผงะหงายไปทางด้านหลังเล็กน้อย พลางเผลอมองจับจ้องสบตาคมเข้มอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของเซี่ยหย่งอี้ที่ประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ร้ายกาจจนนางทำตัวไม่ถูกไปจนสิ้นแล้ว
“หึ!...ท่านแม่ทัพ....ท่านแม่ทัพ...ข้าเป็นสามีของเจ้านะมิใช่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าและเจ้าก็มิได้เป็นทหารใต้การปกครองของข้า ต่อไปให้เรียกข้าว่าท่านพี่!...เข้าใจหรือไม่จงฝึกเรียกเอาไว้ให้คล่องปากเพราะข้าคือสามีมิใช่ผู้เป็นนาย ทว่าข้าคือสามีคือผู้กุมชะตาชีวิตของเจ้าเป็นเจ้าชีวิตเป็นท้องฟ้า เป็นแผ่นดิน จงอย่าได้หลงลืมเด็ดขาด!”
เซี่ยหย่งอี้ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดันและเด็ดขาด อย่างจงใจเน้นย้ำและจงใจให้แม่กระต่ายน้อยของเขาจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าระหว่างเขาและนางนั้นต่างเป็นอันใดกัน และเน้นย้ำเพื่อให้นางจงลืมหรือตัดใจเสียจากเย่เจาสิงเสีย เพราะนับจากนี้ไปทุกสัดส่วนบนเรือนกายของนางนั้นจะเป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น!!!
ซึ่งคำกล่าวของเซี่ยหย่งอี้ทำให้เด็กสาวเจ็บลึกลงไปที่ดวงใจ ความรู้สึกของเด็กสาวในยามนี้มันคล้ายกับถูกจับโยนขึ้นไปบนปุยเมฆแสนนุ่มนวลก่อนจะถูกถีบลงมาด้วยปลายเท้าแกร่งให้ตกลงมากระแทกพื้นพสุธาจนร่างกายแหลกสลายก็มิปาน ดวงตากลมโตคู่สวยไหววูบวาบก้มลงหลบดวงตาคมเข้มของเขา ก่อนที่น้ำเสียหวานกังวานใสดังระฆังเงินจะถูกเปล่งออกมาจากเรียวปากอวบอิ่มสีหวานอย่างราบเรียบโดยที่ผู้เป็นเจ้าของนั้นพยายามควบคุมไม่ให้มันสั่นเคลืออย่างสุดความสามารถว่า...
“เจ้าค่ะ...ผิงหลัวจะจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ”
อากัปกิริยาของคนตรงหน้าทำเอากรามแกร่งของท่านแม่ทัพหนุ่มบดเบียดเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูนพลางคิดในใจว่าการจะเป็นสตรีของเขามันต้องจำใจฝืนทนจนถึงปานนั้นเชียวหรือ?
“แล้วจงรับรู้เอาไว้อีกสิ่งว่าในยามที่อยู่ยังค่ายทหารเจ้ามิใช่ฮูหยิน ทว่าเป็นเพียงอนุภรรยาเป็นเพียงสตรีบำเรออย่าได้ไปยกตนข่มท่านในจวนของข้าเด็ดขาด!”
เพราะความคุกรุ่นจากการกระทำของแม่กระต่ายน้อยที่ทำพยศใส่เขาอย่างที่ไม่เคยมีสตรีนางใดกล้าบังอาจต่อกรกับเขาเช่นนาง ทำให้ปากแสนร้ายที่มีติดกายมานับจากจำความได้เอื้อนเอ่ยวาจาทำร้ายดวงใจอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียงขุ่นเขียวและห้วนสั้นชัดเจน ด้วยภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง
“เจ้าค่ะ!”
“ดี!”
สถานะที่นางถูกบุรุษที่กอดรัดกันแน่นตอกย้ำไม่หยุดทำให้เด็กสาวถึงกับเจ็บและจุกจนยากจะถกเถียงและพูดจาอันใดออกมาได้อีก เพราะภายในใจมันเจ็บจี๊ดและน้อยใจในโชคชะตาของตนเองที่มันบีบบังคับและบีบคั้นกันอย่างรุนแรงซึ่งกล่าวกันตามความเป็นจริงหากเขาไม่ค่อยแต่จะกล่าวตอกย้ำเช่นนี้นางเองก็จดจำได้ขึ้นใจแล้วว่าตัวของนางนั้นตบแต่งและติดตามเขามานี้นางมาด้วยสถานะใด...
“อ้อ...แล้วก็จงจดจำเอาไว้ด้วยว่าอนุภรรยาเช่นเจ้ามีหน้าที่แค่เพียงบนเตียงเท่านั้นห้ามไปเสนอหน้าทำเกินหน้าที่ซึ่งข้ามิได้ออกคำสั่งเด็ดขาด!!!”
ยิ่งเขาประกาศด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน ต่างจากแววตาคมสีเข้มนั้นที่พลันอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัดเจนเมื่อเขาทอดสายตามองคนที่เอาแต่นั่งซ่อนใบหน้าและซ่อนสายตาอยู่บนตักแกร่งของเขาเอง แม้คำสั่งของเขานั้นอาจจะฟังดูใจดำและใจอำมหิต แต่เชื่อเถิดว่าการทำหน้าที่แค่บนเตียงนั้นที่ชายแดนและค่ายทหารกับไร่ชาแห่งนั้นน่ะสบายที่สุดและเขาถนอมนางอย่างที่สุดแล้ว
“เจ้าค่ะ ผิงหลัวจะจดจำเอาไว้มิลืมเลือนแม้ในยามหลับใหล”
สาวน้อยตอบรับออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแสนจะเจ็บปวดพลางพยายามก้มหน้าก้มตาซุกซ่อนความทุกข์ระทมเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ต่อให้ขอบตาของนางร้อนผ่าวบ่งบอกว่าน้ำตาใกล้จะหยดแต่เด็กสาวก็ยังพยายามจะกลืนมันลงท้องไปเสียเพราะความอ่อนแอและเจ้าน้ำตามิได้ช่วยอันใดนางได้เลย
เรียวปากอวบอิ่มนั้นสั่นระริก ภายในใจเจ็บแปลบปลาบเมื่อได้ทราบว่าตนเองมีเพียงหน้าที่สนองราคะเขาแค่เพียงบนเตียงเท่านั้น ความรู้สึกที่ว่าตนเองช่างแสนไร้ค่าเหลือเกินเพราะเป็นได้เพียงสตรีบำเรอสนองความใคร่บนเตียงเท่านั้นมันช่างกรีดหัวใจดวงน้อยของเด็กสาวจนเป็นแผลทั้งยาวและลึกยากจะเยียวยาได้แล้ว
ปลายนิ้มแกร่งพลันเชยปลายคางเรียวของ’ แม่กระต่ายน้อย’ ให้นางเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับเขา แล้วใจดวงแกร่งก็ถึงกับอ่อนยวบยาบลงทันควันเมื่อได้แลเห็นดวงตาของเด็กสาวแดงชอกช้ำ ทว่าไร้น้ำตาแม้เพียงสักหยดเดียว
“แล้วก็อย่าคิดหนีอีกหาไม่มิใช่เพียงเจ้าหมอหลวงหน้าเต้าหู้นั่นและท่านแม่บุญธรรมของเจ้าข้าก็จะไม่ละเว้น!!!”
“มะ...หมายความว่าเช่นไรเจ้าค่ะทะ...เอ่อท่านพี่?”
แววตาเศร้าสร้อยของซูผิงหลัวพลันแตกตื่นเพราะมิคาดว่าอีกฝ่ายจะหยิบยกเอามารดาบุญธรรมของตนเองมาเป็นตัวประกันมาเป็นสิ่งที่จะข่มขู่มิให้นางดื้อดึงหรือคิดจะหลบหนีเขาไปอีก
“ก็หมายความว่าหากเจ้าคิดหลบหนีหรือดื้อด้านไม่ตามใจข้า ท่านแม่บุญธรรมของเจ้าอาจจะต้องไปอยู่หอคณิกาทั้งที่วัยก็โรยราถึงเพียงนี้แล้วนะสิ ซึ่งหากเจ้าไม่เชื่ออยากจะทดลองดูก็ย่อมได้นะซูผิงหลัว แล้วเจ้าจะได้รู้แจ้งว่าคนเช่นเซี่ยหย่งอี้เลวร้ายได้กว่าที่เจ้าจะคาดถึง!”
ท่านแม่ทัพหนุ่มเลือกที่จะใช้ซูเยว่ผิงมาเป็นข้อต่อรองให้ซูผิงหลัวจำยอมและไม่คิดหลบหนีพร้อมทั้งดื้อดึงกับเขาก็เพราะว่าตนเองทราบดีว่าเด็กสาวตรงหน้าต่อให้เขาสั่งการเจ้าหมอหลวงหน้าเต้าหู้ทอดก็มิอาจเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ได้หากนางคิดจะหลบหนีไปจริง ทว่ากับซูเยว่ผิงนั้นต่างออกไปด้วยทั้งชีวิตของเด็กสาวที่เติบโตมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะมารดาบุญธรรมของนางดังนั้นที่สุดของดวงใจของซูผิงหลัวย่อมเป็นซูเยว่ผิงผู้เดียวเท่านั้น
ซึ่งก็เป็นความจริงทุกสิ่งเพราะเพียงได้ฟังคำกล่าวนั้นของเซี่ยหย่งอี้ดวงใจของเด็กสาวก็จุกแน่นไปด้วยความหวาดกลัว ลมหายใจพลันขาดห้วงขอบตาก็ร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้งจนนางต้องหันหน้าหนีไปด้านข้างเพื่อพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาประจานความอ่อนแอ มือบอบบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความอดสูและเจ็บแค้นที่ตนเองเกิดมาเป็นสตรีไร้ค่าและไร้หนทางต่อสู้ต้องถูกบีบบังคับและยัดเยียดตำแหน่งอนุภรรยาทั้งที่ตนเองมิอาจขัดขืนได้เลย...