บทที่11///ท่องชมไร่ชา(1)

3056 คำ
ใช้เวลาเดินทางร่วมยี่สิบห้าวันในที่สุดขบวนกองเสบียงของค่ายหยางโจวที่มีซูผิงหลัวกับสองสาวใช้เช่นหรูอินและชุนจื่อก็มาถึงค่ายหยางโจวเสียที ทว่าจากที่นางคิดว่าตนเองจะถูกพาไปอยู่ภายในเขตค่ายทหารดังที่ตนเองเข้าใจว่าจวนของท่านแม่ทัพใหญ่คงตั้งอยู่ไม่ไกลจากค่าย แต่กลับไม่ใช่เนื่องจากพอถึงในส่วนทางที่จะแยกไปยังค่ายทหารรถม้าที่นางนั่งกับสาวใช้และเกวียนบรรทุกข้าวของส่วนตัวของนางกลับถูกแยกตรงไปยังเนินเขาถัดไปอีกราวสองลูก “จวนของข้าอยู่ที่หุบเขาฉีเซิง” ‘ฉีเซิง’ นั้นคือหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากค่ายทหารไปราวห้าสิบลี้แต่เขตแดนระหว่างค่ายกับพื้นที่ของหมู่บ้านก็ติดกันเป็นแนวเดียวกันมีเพียงรั้วกางกั้นเท่านั้น ซูผิงหลัวที่เติบโตมากับเมืองหลวงย่อมตื่นตาตื่นใจไปกับภูเขาสีเขียวขจีซึ่งเกิดจากต้นชาที่ถูกปลูกลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดตามลาดไหล่เขากินพื้นที่กว้างใหญ่และไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้เด็กสาววัยเพียงสิบหกปีที่นั่งเงียบสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอดการเดินทางหลายสิบวันชิดกับบานหน้าต่างของรถม้า มาตลอดการเดินทางเผลอขยับกายและยื่นมือเอื้อมออกไปแหวกม่านออกแล้วมองออกไปด้านนอกเพื่อชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของไร่ชาด้วยกิริยาตื่นเต้นอย่างยากจะเก็บกิริยาไปได้ เซี่ยหย่งอี้แอบมองเห็นแววตาคู่งดงามนั้นกำลังเป็นประกายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเลิกเหงาหงอยไม่พอแถมใบหน้างดงามก็ยังมีรอยยิ้มประดับเรียวปากอวบอิ่มอย่างเผลอไผลเป็นไปอย่างธรรมชาติคนตัวโตก็อดจะยิ้มตามกระต่ายน้อยของตนเองเสียมิได้ “ชะลอม้าลงหน่อย” พอแลเห็นนางดูมีความสุขเซี่ยหย่งอี้จึงเอ่ยสั่งผู้บังคับรถม้าให้บังคับม้าให้ลดความเร็วลงอีกหน่อยตามคำสั่งของผู้เป็นนายใหญ่ ซึ่งภาพที่นางกำลังมองทิวทัศน์ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต้มเรียวปากงดงามนั้นช่างเหมือนเด็กน้อยดูงดงามสมวัยจนเขายากจะถอนสายตาจากความงดงามตรงหน้า เพราะตลอดหลายสิบวันที่เดินทางร่วมกันหากไม่ถามนางก็ไม่พูด หรือต่อให้พูดก็ถามสามคำนางตอบเพียงหนึ่งคำเสียอย่างนั้นจนบุรุษเช่นเขาเองก็ไม่ทราบแล้วว่าจะทำเช่นไรให้สาวน้อยของตนสดใสดังเคย เช่นนั้นพอเห็นนางพึงใจเขาจึงเร่งสั่งการคนของตนเองหวังเอาใจคนตัวน้อยเต็มที่ สุดท้ายรถม้าคันโตก็เคลื่อนเข้าไปจอดเทียบยังหน้าจวนที่ถึงจะไม่ใหญ่เทียบเท่าสกุลเซี่ยยังเมืองหลวงแต่สำหรับซูผิงหลัวนั้นจวนของท่านแม่ทัพเซี่ยสามีของนางตรงหน้านี้ช่างยิ่งใหญ่มิธรรมดาเลย จวนหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของไร่ชาอันเขียวชอุ่มซึ่งเด็กสาวที่ชอบด้านสมุนไพรอยู่แล้วแลเห็นก็ชื่นชอบจากใจจริง ประตูจวนถูกบุรุษร่างกายใหญ่โตสองคนช่วยกันเปิดออก เซี่ยหย่งอี้ก้าวลงไปก่อนเช่นปกติแล้วยืนรอรับมือของนางอยู่ด้านล่างเช่นทุกวันที่เดินทาง ซูผิงหลัวขยับกายลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายแล้วยื่นมือส่งให้เขาเพราะไม่อยากถูกดุอีกว่านางนั้นดื้อด้าน เด็กสาวอดจะแอบระบายลมหายใจเสียงแผ่วอย่างระมัดระวังกายและกิริยาเต็มที่จนลงมายืนลงที่พื้นเคียงข้างคนตัวโตกว่านางเกือบครึ่ง ซึ่งพอซูผิงหลัวลงมายืนที่พื้นดินด้านล่างแล้วก็อดจะเผลอสูดเอาบรรยากาศรอบกายที่กำลังเย็นสบายจนทำให้เด็กสาวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากหลายสิบวันที่ต้องทนเดินทางมาตลอดไม่น้อย “ท่านแม่ทัพ/ท่านแม่ทัพ” มีบุรุษร่างกายกำยำ ทว่าวัยคงเลยสี่สิบไปมากพอสมควรเดินออกมาต้อนรับซึ่งซูผิงหลัวจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคนผู้นี้มีนามว่า’ เกาเฉิน’ เป็นญาติสนิทกับท่านพ่อบ้านใหญ่เกาเสิ่นของจวนสกุลเซี่ยดังนั้นเกาเฉินผู้นี้ก็คงจะเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนท่านแม่ทัพเซียอย่างแน่นอน “คนผู้นี้คือท่านพ่อบ้านใหญ่เกาเฉินที่ดูแลจวนเซี่ยแห่งนี้ทั้งหมดเจ้ามีสิ่งใดต้องการบอกแก่เขาได้ทุกสิ่ง” เซี่ยหย่งอี้หันมาแนะนำท่านพ่อบ้านใหญ่ให้กับอนุภรรยาของตนเองทราบเอาไว้เป็นคนแรกเพราะหลายปีผ่านมาเกาเฉินผู้นี้ติดตามเขามาอยู่ที่หยางโจวในยามนี้ซูผิงหลัวน่าจะมีวัยเพียงเจ็ดถึงแปดหนาวได้กระมัง “ท่านพ่อบ้านใหญ่เกา สตรีผู้นี้คือซูผิงหลัวนางแต่งมาเป็นอนุภรรยาของข้า ส่วนนี่ชุนจื่อและหรูอินเป็นสาวใช้ของอนุซู” “เกาเฉินคารวะอนุซู” “ท่านพ่อบ้านเกาอยู่ได้เกรงใจหากมีสิ่งใดชี้แนะขอท่านพ่อบ้านอย่าได้เกรงใจนะเจ้าค่ะ” ซูผิงหลัวโค้งกายให้ผู้อาวุโสกว่าถึงอีกฝ่ายจะเป็นพ่อบ้านใหญ่ทว่านางเองก็เป็นเพียงอนุภรรยาแถมวัยก็อาจจะรุ่นลูกรุ่นหลานของอีกฝ่ายนางจึงแสดงกิริยานอบน้อมจากใจจนเซี่ยหย่งอี้ไม่พึงใจดวงตาขุ่นขวางขึ้นมาทันทีพอซูผิงหลัวหันกลับมาเจอก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะมิทราบว่าตนเองนั้นทำอันใดผิดอีกท่านแม่ทัพจอมโหดจึงทำสีหน้าคล้ายดังอยากจับนางหักคอเช่นนี้ด้วย? …หรือเมื่อครู่นางก้าวเท้าลงรถม้าผิดข้างจนไปเหยียบเท้าของเขาเข้าโดยไม่รู้ตัวกันนะ? … “ผิงหลัวเหยียบเท้าท่านพี่หรือเจ้าค่ะ?” เด็กสาวถามพาซื่อออกไปทำเอาหลายคนในที่แห่งนี้อยากหัวเราะก็ไม่กล้าจะร้องไห้ยิ่งกลับมิบังอาจมากกว่าส่วนเซี่ยหย่งอี้นั้นถึงกับถอนหายใจดังเฮือกใหญ่มิคาดที่แท้ซูผิงหลัวนางโง่จริงหรือนางกำลังกวนเท้าเขาอยู่กันแน่ “เจ้าเป็นถึงภรรยาของข้าในจวนนี้นอกจากข้าแม้แต่ท่านพ่อบ้านใหญ่เขาก็ต้องก้มศีรษะให้เจ้าไม่รู้ความหรือ?” “มิทราบเจ้าค่ะหากทราบย่อมไม่ทำเจ้าค่ะ” กล่าวตอบแล้วนางก็พลันยิ้มแฉ่งจนแก้มสองข้างเห็นลักยิ้มเด่นชัดดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นก็ไหวระริกเรียกได้เลยว่านี่คือยิ้มทั้งปากทั้งตาไม่สินางยิ้มแฉ่งมันทั้งใบหน้าเลยทีเดียว …หึ!…มันน่าจับมาจุมพิตให้ช้ำยิ่งนัก!!!… ทางฝ่ายคนกำลังถูกหมายตาจะทำมิดีมิร้ายกลับไม่รู้ตัวเพราะกำลังอารมณ์ดีที่สามารถ’ เอาคืน’ เจ้าสามีปากสุนัขได้อยูเลยไม่ทราบชะตากรรมว่าผ่านมาร่วมเดือนคนแต่งงานยังมิทันได้เข้าหอนั้นกำลังกลัดมันเพียงใด! ดังนั้นคนที่ถูกก่อกวนอารมณ์ทางอ้อมจึงเมินหน้าหนีด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองเด่นชัดมิปิดบังจนท่านพ่อบ้านวัยสี่สิบปกอดจะอมยิ้มเสียมิได้ พอเซี่ยหย่งอี้เหลือบสายตาไปเห็นสีหน้าของเกาเฉินจากนั้นก็แอบมองไปที่คนตัวเล็กแล้วถอนหายใจอย่างยอมจำนนทั้งที่ไม่เคยยอมลงให้ผู้ใดมาก่อนแม้แต่บิดาเซี่ยหย่งสือ “เกาเฉิน ท่านให้คนมาขนหีบของใช้ส่วนตัวทั้งหมดของอนุซูไปเก็บที่เรือนนอนของข้า ส่วนชุนจื่อและหรูอินท่านก็จัดที่พักให้พวกนางพักอยู่รวมกันเถิด” “ขอรับท่านแม่ทัพ” เกาเฉินรับคำสั่งแล้วจึงเรียกเหล่าบ่าวชายซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นทหารเสียเป็นส่วนใหญ่มาจัดการช่วยกันยกข้าวของทั้งหมดเข้าไปภายในจวนใหญ่ในเวลาอันสั้นโดยมีสายตาของซูผิงหลัวชะเง้อคอยืดยาวมองตามหีบข้าวของที่เป็นของตนที่หีบใส่อาภรณ์มีเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือผู้ใดจะทราบทั้งสิ้นล้วนเป็นตำราการแพทย์และตำราสมุนไพรกับเครื่องไม้เครื่องมือทั้งสิ้น “ส่วนเจ้าตามข้ามาทางด้านนี้” เซี่ยหย่งอี้มิเพียงออกคำสั่งเท่านั้นแต่ท่านแม่ทัพหนุ่มยังหันมาคว้าข้อมือนุ่มของกระต่ายน้อยให้เดินตามไปยังอาชาตัวใหญ่สีน้ำตาลไหม้ที่เด็กสาวถึงกับต้องแหงนคอมองจนลำคอตั้งบ่าเลยทีเดียวในยามมองอาชาที่คนเลี้ยงมาจับจูงมามอบให้แก่ท่านแม่ทัพเซี่ยของพวกเขา ก่อนที่ซูผิงหลัวนั้นจะก้มลงมองข้อมือตนเองซึ่งถูกมือแกร่งกุมกระชับแน่นด้วยความสับสนปนเปไปด้วยความไม่เข้าใจว่านี่มาถึงจวนแล้วไยเขาจึงไม่พานางเข้าไปภายในจวนก่อน พวงแก้มนวลเนียนกลายเป็นสีชมพูแดงจัดจากอากาศที่หนาวเย็นบนภูเขาฉีเซิง จนเซี่ยหย่งอี้อดจะห่วงใยเด็กสาวจากภาคกลางที่ไม่เคยพบเจออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ จนเขาต้องจับเอาสองฝ่ามือนุ่มมาเป่าลมร้อนจากปากสวยให้เด็กสาวมือได้อบอุ่นขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวของเขาทำให้เด็กสาวถึงกับใจเต้นผิดจังหวะไปเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากทั้งชีวิตนอกจากมารดาบุญธรรมก็ไม่มีผู้ใดกระทำต่อนางเช่นนี้มาก่อนเลย เรียวปากสวยของเซี่ยหย่งอี้เป่าลมร้อนไม่พอเขายังดึงฝ่ามือนุ่มสองข้างไปแนบอีกด้วยและการกระทำดังกล่าวมันก็คล้ายกับเขาจุมพิตมือของนางอย่างมิได้อ้อมค้อมเลย มีผลทำให้พวงแก้มนุ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันควัน จนทำให้เด็กสาวนั้นรู้สึกสับสนไม่น้อยกับทุกการกระทำของอีกฝ่ายเซี่ยหย่งอี้นางมุมที่นางรู้จักมาถึงสิบสองปีมิใช่บุรุษอ่อนโยนเรียกว่าไม่เฉียดใกล้คำนั้นเลย ทว่าที่เขากำลังกระทำต่อนางนี่เล่ามันคืออันใดกัน นี่คือตัวตนของเขาจริงแท้หรือเป็นเพียงมารยาของบุรุษที่กำลังคิดล่อลวงเด็กสาวเช่นนางให้ติดบ่วงกันแน่ เพราะอดีตที่นางทราบคนเช่นเขามันจอมอสุราร้ายกาจนอกจากมีปากเป็นอาวุธแล้วจิตใจของเขายังอำมหิตอย่างยิ่งอีกด้วยดังนั้น ซูผิงหลัวจึงทั้งระแวงและหวั่นใจยิ่งนักกับกิริยาถนอมนางราวแก้วบอบบาง เพราะนางไม่ทราบเลยว่าเมื่อใดอสูรร้ายที่อยู่ในคราบของเทพเซียนผู้มากมีเมตตาจะถูกปลุกขึ้นมาสำแดงเดชต่อนางอีกนั่นเอง แต่บัดนี้นางจะทำอันใดได้อีกนอกจากปล่อยให้ท่านแม่ทัพหนุ่มจับจูงตนเองไปตามแต่ที่เขาจะต้องการ ดวงตากลมโตคู่หวานมองตามแผ่นหลังแกร่งที่เดินนำหน้านางตรงไปยังอาชาตัวโตด้วยกิริยาสงบปากสงบคำมิกล้าเอ่ยปากถามอีกฝ่ายแม้เพียงครึ่งคำว่าเขาจะพานางไปยังที่ใด เอวอรชรถูกสองมือแกร่งของเซี่ยหย่งอี้จับลงราวปุยนุ่นส่งขึ้นไปบนหลังอาชาสีน้ำตาลไหม้ก่อน เรียวปากเล็กเอ่ยขอบคุณแผ่วเบา ก่อนที่กายสูงใหญ่จะโหนกายตามติดขึ้นมาโดยซ้อนอยู่ด้านหลังของนางสองแขนอ้อมมาจับจูงสายบังเ**ยนดังนั้นบัดนั้นนางจึงคล้ายตกอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายดังเช่นในวันที่เขาตามนางกลับมาจากแผนการคิดหนีเมื่อเกือบเดือนก่อนมิผิดไป เขาไม่พูดนางเองก็ไม่กล้าสอบถามจะมีบ้างที่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสแจ๋วจะแอบเหลือบหันไม่มองอ้อมแขนกำยำที่กำลังบังคับอาชาพ่วงพีให้เดือนเอื่อยเฉื่อยอยู่หลายครั้งแต่นางมิบังอาจจะไปสอบถามเขาจริงๆ เพราะมองจากหลังม้าและพื้นดินกะเกณฑ์ด้วยสายตาอย่างไรตกลงไปนางย่อมไม่ตายทันทีเพราะคอหักห็อาจพิการเพราะหลังหักได้ดังนั้นเด็กสาวจึงเลือกจะหุบปากให้สนิทย่อมฉลาดที่สุดแล้ว ก่อนที่สุดท้ายสายตาสีน้ำตาลหวานจะถูกดึงดูดด้วยภาพทิวทัศน์งดงามของไร่ชาสีเขียวชอุ่มกับสายหมอกเบาบางพอผสานไปกับจังหวะของอาชาพ่วงพีเดินเหยาะย่างเนิบช้า จึงทำให้เด็กสาวเผลอไผลชื่นชมความงดงามของไร่ชาของหมู่บ้านฉีเซิงที่มีเนื้อที่อาจมากกว่าห้าถึงหกพันหมู่เด็กสาวเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบกายจนหลงลืมความทุกข์มากมายที่ตนแบกอยู่ภายในใจในร่วมเดือนไปจนสิ้น แล้วเซี่ยหย่งอี้ก็พาอาชาพ่วงพีขึ้นมาหยุดยืนตรงเนินเขาที่สามารถมองลงไปเป็นบรรยากาศด้านล่างได้กระจ่างชัดเจน เด็กสาวเผลอมองดูความงดงามอย่างอดจะชื่นชมเสียมิได้ หมู่บ้านฉีเซิงแห่งนี้ช่างสงบเงียบและน่าอยู่มากเรียกว่าภาพฝันที่นางวาดเอาไว้ในใจตลอดมาพลันปรากฏอยู่ตรงหน้านี่เอง แต่พอซูผิงหลัวได้สติกลับคืนมาก็อดจะเสียดายมิได้ที่สถานที่งดงามดังภาพฝันของตนเองนั้นมีผู้เป็นเจ้าของเป็นบุรุษนามเซี่ยหย่งอี้ และเขาคือบุรุษที่คิดกับนางเป็นเพียงสตรีสำหรับสนองกำหนัดของบุรุษผู้หนึ่งเพียงเท่านั้น ซึ่งหากเขาจะมิใจร้ายใจดำกับนางบ้างการอยู่ทีฉีเซิงก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เด็กสาวที่มีชะตาซึ่งยากจะเลือกได้ด้วยตนเองคิดด้วยความชอกช้ำและเศร้าซึม ก่อนที่นางจะเตือนตนเองว่าจงหยุดคิดสิ่งที่มันทำร้ายและทำลายกำลังใจของตนเอง ผู้คนทั้งใต้หล้าดูถูกดูหมิ่นไม่เห็นคุณค่าไม่เห็นศักดิ์ศรีของนางย่อมได้แต่นางจะไม่ดูถูกตนเองจะไม่ลดคุณค่าของตนเอง นางก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งมือสองมือสองเท้า มีสองหูสองตาและหนึ่งสมองมิได้แตกต่างจากบุรุษที่กำลังกอดตนเองอยู่เลย ดังนั้นนางจะด้อยค่าตนเองมิได้ ...ก่อนที่จะให้ผู้คนมานับถือเราตนของเราจะต้องนับถือตนเองเสียก่อนสิผิงหลัว!... คิดตกเช่นนั้นเด็กสาวก็พยายามใช้บรรยากาศแสนสบายตาสบายใจนี้ชะล้างความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตของตนเองออกไปเสียให้สิ้น ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยหย่งอี้ก็บังคับม้าให้มันก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ซูผิงหลัวสังเกตเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่กำลังเก็บใบชากันอยู่อย่างขะมักเขม้น ก็ตื่นเต้นไม่น้อยตามประสาของคนที่เกิดและเติบโตอยู่เพียงในเมืองหลวงเท่านั้น ซึ่งกิริยาตื่นตาตื่นใจนั้นมิอาจเก็บซ่อนจากสายตาของเซี่ยหย่งอี้ที่คอยจับจ้อง’ กระต่ายน้อย’ ของตนเองอยู่ตลอดเวลามิได้อยู่แล้ว ดวงตาเรียวสวยที่ถอดแบบมาจากมารดาพลันยิ้มได้มุมปากสวยนั้นก็กระตุกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนจะอ่อนโยนซึ่งน่าเสียดายที่ซูผิงหลัวนั้นมิได้มองเห็น ซึ่งเพียงได้เห็นคนในอ้อมแขนดูผ่อนคลายหายมึนตึงดังที่ผ่านมาร่วมเดือนก็ทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเพียงใดแต่ก็อยากเอาใจแม่อนุภรรยาอันดับหนึ่งของตนมาเยี่ยมชมอาณาจักรไร่ชาฉีเซิงที่เขาใช้เวลาถึงแปดปีสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองพลันมลายหายไปราวถูกปลิดทิ้ง “ดูเสียให้ทั่วเพราะต่อไปเจ้าจะต้องช่วยข้าดูแลมัน” พอได้ฟังคำกล่าวจากคนที่บังคับม้าให้เดินเนิบช้าไต่ลัดเลาะไปตามทิวเขาคิ้วเรียวสวยเหนือดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนใสแจ๋วของซูผิงหลัวก็ขมวดจนแทบพันกันยุ่งด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจต่อความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อกับตนเอง “เจ้าค่ะ” ทว่าถึงนางจะไม่เข้าใจหากแต่กระนั้นเด็กสาวก็ยังกล่าวรับปากรับคำออกไปอย่างไม่กล้าจะบังอาจไปขัดข้องความต้องการของอีกฝ่าย แล้วจึงทอดสายตามองกลุ่มคนที่กำลังกระจายตัวกันไปตามต้นชาคาดว่าเพื่อเก็บยอดอ่อนของมัน ก็ที่แห่งนี้นางเป็นเพียงอนุภรรยาเป็นสตรีที่มีเซี่ยหย่งอี้เป็นเจ้าชีวิต นางจะเอาสิทธิ์ใดไปขัดใจเขากันยิ่งนึกไปถึงคำที่อีกฝ่ายกำชับว่าหากนางคิดหนีหรือดื้อด้านมารดาบุญธรรมของตนเองอาจต้องกลายเป็นหญิงคณิกามันก็ยิ่งทำให้ซูผิงหลัวมิบังอาจต่อต้านอีกฝ่ายได้เลย ซึ่งเด็กสาวนั้นมิอาจทราบเลยว่าที่เซี่ยหย่งอี้กล่าวแก่ตนเองนั้นเขากำลังจะบอกนางในทางอ้อมว่าต่อไปสถานที่แห่งนี้อาณาจักรฉีเซิงนี้จะมีนางร่วมเป็น’ นายหญิง’ มีนางเป็นส่วนหนึ่งที่หากในยามใดเขาต้องติดการศึกจะมีนางดูแลและควบคุมกิจการไร่ชาแห่งนี้แทนเขาได้ ทว่าคนที่ถนัดแต่ด่าคนจะให้กล่าวอ่อนหวานเกรงว่าให้เอาดาบมาจดจ่อที่ลำคอเขาก็คงพูดจาอ่อนหวานเอาใจภรรยาไม่เป็นอยู่ดี ถึงบัดนี้จะใกล้ยามเฉินแต่แสงแดดกลับมิได้ร้อนแรง การขี่ม้าชมอาณาจักรไร่ชาฉีเซิงที่จนบัดนี้ซูผิงหลัวนางก็ยังไม่ทราบว่าไร่ชากว้างใหญ่ไพศาลนี้ที่แท้มิใช่ของชาวบ้าน ทว่ามันคือของเซี่ยหย่งอี้ทั้งหมดที่นอกจากเขาจะเก็บเงินซื้อที่ดินเป็นของตนเองถึงสามพันหมู่แล้วฮ่องเต้ยังประทานเพิ่มให้เขาอีกหกพันหมู่ส่วนอีกหนึ่งพันหมู่นั้นเป็นของสหายเช่นถังเจี้ยนป๋อดังนั้นที่เด็กสาวเข้าใจว่า’ ฉีเซิง’ นี้คือหมู่บ้านติดชายแดนแห่งหนึ่งจึงผิดไปไกลเพราะ’ ฉีเซิง’ นี้คือชื่อของไร่ชาไม่พอมันยังเป็นยี่ห้อของชาดีที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องมีดื่มทุกวัน!!!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม