บทที่9///เจ้าบ่าวผู้หายไปทั้งคืน

2964 คำ
และแล้ววันวิวห์อันแสนเรียบง่ายระหว่างซูผิงหลัวและเซี่ยหย่งอี้ก็ผ่านไปด้วยดีเพราะนางคืออนุภรรยาเท่านั้นพิธีการจึงดำเนินการเพียงไม่นานก็เสร็จสิ้นลงในช่วงเวลาก่อนที่อีกหนึ่งวันเซี่ยหย่งอี้จะต้องเดินทางกลับไปยังค่ายทหารที่หยางโจวแล้วเช่นกัน ดังนั้นเพียงจบพิธีการกราบไหว้ฟ้าดินบิดามารดาและไปเคารพยังหอบรรพบุรุษของสกุลเซี่ยแล้วฝ่ายของท่านแม่ทัพแห่งหยางโจวก็ปล่อยเจ้าสาวทิ้งไว้ที่ห้องหอเพื่อให้นางจัดเตรียมของของก่อนจะออกเดินทาง ส่วนตัวของเขานั้นถูกฮ่องเต้และองค์ไท่จื่อเรียกเข้าเฝ้าเพราะมีข้าราชการจะมอบหมายให้แก่เซี่ยหย่งอี้ก่อนเขาจะตรงกลับไปยังค่ายทหารที่สำคัญที่สุดของต้าฉู่นั่นเอง “ข้าจะให้หรูอินติดตามเจ้าไปพร้อมกับชุนจื่อด้วยนะผิงเอ๋อร์ทางนั้นเป็นชายแดนอีกทั้งจวนของท่านแม่ทัพยังอยู่บนเขาลู่ซานที่อากาศหนาวเย็นแทบทั้งปีท่านแม่เกรงว่าเจ้าจะลำบาก” ฮูหยินเซี่ยกำลังเข้มงวดควบคุมเหล่าสาวใช้ให้จัดข้าวของที่นางคิดว่าจำเป็นโดยเฉพาะเสื้อสวมกันหนาว ซูเยว่ผิงนั้นจัดไปมากถึงสามหีบใหญ่เพราะความกังวลห่วงใยบุตรสาวบุญธรรมอย่างยิ่ง ก็เลี้ยงดูกันมาถึงสิบสองปีต่อให้มิใช่สายเลือดนางมิได้อุ้มท้องแต่อุ้มชูกันมายาวนานคนที่อยากมีบุตรสักคนแต่ตาเฒ่าเซี่ยกลับฉลาดเป็นกรดไม่ยินยอมให้อนุภรรยาหรือแม้แต่นางที่เป็นเซี่ยฮูหยินเอกมาหลายปีเขาก็ไม่ยอมวางใจจนให้กำเนิดบุตรด้วยเลย นั่นก็เพราะเขารักอดีตฮูหยินเลยรักบุตรชายที่เกิดจากสตรีผู้นั้นมากเช่นกันเขาจึงเกรงว่าหากมีบุตรมาเพิ่มเซี่ยหย่งอี้อาจน้อยใจไม่พอเขายังเกรงว่าสมบัติทั้งหมดจะถูกแบ่งปันดังนั้นจวบจนบุตรชายโทนมีวัยถึงยี่สิบแปดปีเขาก็ยังไม่ใจอ่อนยอมมีบุตรใหม่กับนางสักครา นางจึงรักใคร่ซูผิงหลัวดังบุตรไปโดยปริยาย ดังนั้นพอเด็กสาวแต่งงานออกไปอยู่ไกลถึงพันกว่าลี้ที่ตัวนางเองก็เกิดมาจนป่านนี้ก็ไม่เคยออกไปพ้นจากเมืองหลวงเช่นอานเล่อเลยจึงหวาดกลัวไปหมด กลัวเด็กสาวจะอดจะหิวเพราะอาหารทางเหนือคงรสชาติเผ็ดร้อนไม่เหมือนอาหารของชาวภาคกลางเช่นอานเล่อ ไหนจะอากาศอันหนาวเหน็บตลอดปีกว่าเมืองหลวง ถิ่นที่อยู่ที่มีเพียงบุรุษหยาบกระด้างนั่นก็อีก มารดาเช่นนางย่อมยากจะวางใจไปได้ถึงความปลอดภัยและสุขสบายที่ตนเองเคยมอบให้แก่เด็กสาวมาตลอดเวลาถึงสิบสองปี “นี่มันอันใดกันเยว่ผิง?” ดังนั้นเมื่อเซี่ยหย่งสือที่เพิ่งกลับมาจากการประชุมขุนนางจากวังหลวงแล้วเห็นหีบห่อมากมายถึงยี่สิบแปดหีบใหญ่เขาจึงอดจะเดินตรงมาตรวจสอบดูและถามไถ่เสียมิได้ “นี่คือข้าวของที่ข้าจัดเตรียมไปให้แก่ผิงเอ๋อร์ติดตัวไปยังจวนท่านแม่ทัพที่หยางโจวเจ้าค่ะ” บุรุษวัยหกสิบปีได้ฟังคำของภรรยาเอกของตนเองก็หันไปมองยังกองหีบห่อมากมายอีกครั้งแล้วส่ายศีรษะไปมาคล้ายระอาเต็มทนมิคาดภรรยาเอกของตนเองจะไร้ความคิดเช่นนี้ “ถ้าจะจัดข้าวของไปมากถึงเพียงนี้มิสู้เจ้าให้คนมาย้ายจวนของข้าไปอยู่ที่ลู่ซานเลยดีหรือไม่เล่าเยว่ผิง?” พอซูเยว่ผิงได้ฟังคำกล่าวแดกดันจากท่านผู้เฒ่าเซี่ยผู้เป็นสามีก็ถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกเพราะก็ยอมรับว่านางกังวลใจเกินกว่าเหตุไปมากพอสมควร “เยว่ผิงก่อนเจ้าจะคิดยัดเยียดผิงเอ๋อร์ให้แก่หย่งอี้เจ้ามิได้เตรียมใจเอาไว้แล้วหรอกหรือว่าผิงเอ๋อร์นั้นต้องไปพบเจอกับสิ่งใด หยางโจวที่ชายดินทางด้านเหนือทั้งหนาวเย็นและมีหลายเผ่าที่อยากรุกรานต้าฉู่ของเรา พอมาบัดนี้เจ้าจัดข้าวของราวกับจะย้ายจวนข้าคิดว่ามันออกจะเกินไปสักหน่อยแล้วนะ” เซี่ยหย่งสือตำหนิภรรยาเอกชนิดไม่ไว้หน้าเพราะสำหรับเขาแล้วที่ให้นางขึ้นมานั่งในตำแหน่งฮูหยินเอกข้อที่หนึ่ง นั่นก็คือความเหมาะสมนับว่าซูเยว่ผิงมีมากกว่าอนุภรรยาอีกสิบสี่นาง ข้อที่สอง นางเป็นสตรีซึ่งละเอียดรอบคอบย่อมจัดการปัญหาใหญ่น้อยในจวนได้ เรียกโดยง่ายก็คือหากเลือกนางเขาจะมิต้องกังวลทุกสิ่งภายในจวนรวมไปถึงปัญหาหึงหวงและตบตีของเหล่าสตรหลังจวนซูเยว่ผิงก็กำหราบได้อยู่หมดดังนั้นเขาจึงเลือกนาง ทว่าหากถามถึงความรักเขาล้วนมิเคยมีให้นาง มิใช่เพียงนางสตรีใดในจวนนี้เขาก็ไม่มีความรักให้มีเพียงราคะเท่านั้นพอได้ระบายออกเช่นบุรุษทั่วไปจบแล้วก็แล้วกันไปเซี่ยหย่งสือมิเคยต้องคิดถึงหรือถนอมน้ำใจพวกนางเพราะคิดว่าให้พวกนางมีที่อยู่ที่กินมีเงินมีทองให้ใช้เรียกว่าอยากได้สิ่งใดอนุภรรยาของเขาล้วนสมใจทุกสิ่งที่ยกเว้นมีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ… …ความรัก… “เจ้าทราบบ้างหรือไม่ว่าเหล่าม้าและวัวที่จะร่วมขบวนเดินทางกลับหยางโจวของแม่ทัพใหญ่เช่นหย่งอี้ที่สมควรบรรทุกมีเพียงสิ่งสำคัญเช่นเสบียงมิใช่ข้าวของอำนวยความสุขให้แก่สตรีบำเรอเพียงนางเดียว” คำกล่าวนั้นทำเอาดวงใจของซูเยว่ผิงถึงกับปวดร้าวเพราะเหมือนกับว่าบุตรสาวบุญธรรมที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของตนนั้นไร้ค่าแต่ต้าฉู่ก็เป็นเช่นนี้สตรีก็มีเพียงหน้าที่สนองราคะกับให้กำเนิดบุตรสืบสกุลเท่านั้น…พวกนางมีค่าเท่านั้นจริงๆ … ดังนั้นข้าวของมากมายจึงลดลงจากยี่สิบห้าหีบใหญ่เหลือเพียงสามหีบใหญ่เท่านั้นซึ่งซูผิงหลัวกลับมิได้คิดมากเพราะสำหรับนางทราบดีว่าตนเองไปในฐานะใดและมีค่าเพียงไหน เรียกได้ว่าระหว่างนางกับม้าศึกหนึ่งตัวเซี่ยหย่งสือและเซี่ยหย่งอี้ย่อมยกนางแลกกับอาชาตัวนั้นมิต้องเสียเวลาคิดอันใดเลย หลังจากทุกคนในจวนเซี่ยที่คุ้ยเคยกับคุณซูผู้ใจดีเกินกว่าผู้ใดกำลังจะจากไปเหล่าสาวใช้ทั้งหลายต่างก็เหงาหงอยเศร้าสร้อยกันไปถ้วนหน้าเรียกว่าคนดีอยู่ที่ใดผู้คนย่อมรักใคร่เมื่อนางจะจากไปทุกคนย่อมอาลัยอาวรณ์นั่นเอง ทางด้านซูเยว่ผิงและซูผิงหลัวกำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางในวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาเยือนทางฝ่ายของเซี่ยหย่งอี้เมื่อเสร็จสิ้นจากงานราชการคราวนี้ก็ถึงงานส่วนตัวบ้างแล้วกิจการไร่ชาของเขายังต้องดำเนินต่อไปถึงหลายวันก่อนเขาปล่อยให้ถังเจี้ยนป๋อเป็นฝ่ายรอเก้ออยู่ที่หอฝูหรงดังนั้นวันนี้เขาจึงต้องจำยอมให้เจ้าสหายชั่วพาเขามาเจรจาการค้ากันยังหอชมบุปผาแห่งอานเล่อซึ่งบุรุษทั้งมหานครย่อมทราบดีว่าหอแห่งนี้เป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งที่มีสาวงามหรือ’ บุปผา’ นับพันดอกเอาไว้รอให้บุรุษมาเชยชม “เจ้าสหายชั่วข้าเพิ่งแต่งอนุภรรยาหากการค้านี้มิสำคัญเจ้าตายแน่!” เซี่ยหย่งอี้คำรามราวกับพยัคฆ์ใกล้คลั่งเต็มทนเพราะ’ บุปผา’ เหล่านี้กลิ่นกายช่างหอมเอียนชวนวิงเวียนยิ่งนักไม่เหมือนกระต่ายตัวน้อยซึ่งรอเขาอยู่ที่จวนสักน้อยดังนั้นเจ้าบ่าวที่อยากเข้าหอแทบตายแต่ต้องมาติดอยู่ในหอคณิกาเช่นนี้จึงอยากหยิบดาบมาแทงเจ้าสหายชั่วที่กำลังนัวเนียกับสตรีถึงหกนางที่ล้อมรอบกายอันหล่อเหลาและเจ้าสำราญอันนับได้ว่าในมหานครอานเล่อนี้ถังเจี้ยนป๋อคือที่สุดแล้วสกุลใดที่มีบุตรสาวงดงามเพรียบพร้อมล้วนสั่งห้ามพูดจาหรือแม้แต่มองสบตากับคุณชายถังคนรองผู้นี้ด้วยมีคำกล่าวอ้างว่าเพียงมองหน้าขาวราวหยกของคุณชายรองถังมิถึงสามเดือนสตรีสาวน้อยเหล่านั้นก็พลันตั้งท้องกันถ้วนหน้า! “ไยจึงเร่งร้อน…ไยจึงเร่งร้อน…อนุภรรยาตัวน้อยผิวผ่องของเจ้านางย่อมมีได้หนีไปที่ใดได้รับรองเจ้ากลับไปถึงชายแดนเจ้าได้’ เข้าหอ’ คนเบื่อหน่ายเป็นแน่ราตรีนี้พวกเราก็มามีความสุขกับเหล่าสาวงามยังหอชมบุปผาเสียให้สาแก่ใจก่อนเถิดสหายรักของข้า” ถังเจี้ยนป๋อนั้นไม่เข้าใจสหายรักของตนเองเลยว่ามีบุปผางามให้เชยชมสมใจจะยังไปคิดถึง’ ของตาย’ ที่รออยู่ภายในจวนไปไยด้วยคุณชายรองเช่นเขาขนาดสตรีบำเรอเพียงหนึ่งเดือนเขาก็ต้องคอยเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอเพราะว่าเขามิชอบ’ กิน’ ของเก่าของเดิมซ้ำไปซ้ำมาสำหรับเขามันต้องของสดของใหม่เปลี่ยนทั้งกลิ่นและรสชาติไปเรื่อยขืนให้ตบแต่งแม้แต่อนุภรรยาเกรงว่าเขาย่อมมิอาจทนกลืนกินของเก่าค้างจวนไม่ไหวเด็ดขาด “หุบปาก ส่วนพวกเจ้าก็ออกไปให้ห่างกายของข้ากลิ่นเครื่องหอมของพวกเจ้าหมดอายุหรือไรจึงเห็นชวนอาเจียนได้ถึงเพียงนี้!” คำกล่าวขวานผ่าซากที่ท่านแม่ทัพเซี่ยที่รูปงาม ทว่าปากกลับร้ายเสียจนหญิงคณิกายังต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังว่าเขาด่าทอพวกนางที่ใช้เครื่องหอมราคาแสนแพงหลายร้อยอีแปะเป็นเครื่องหอมหมดอายุไปเสียได้ ดังนั้น’ บุปผางาม’ ทั้งหลายจึงพากันแตกกระเจิงไปชนิดไม่เป็นกระบวนเลยทีเดียว “จิ๊! เจ้าคนทึ่มเอ๋ย” ถึงเจี้ยนป๋อทำเสียงขัดใจแต่ก็ครานจะต่อปากต่อคำด้วยจึงไล่ให้สาวงามออกไปให้หมดเสียก่อนเพื่อที่ว่าเขากับเซี่ยหย่งอี้จะเจรจาการค้าต่อกันได้อย่างสะดวก คุยกันไปก็ร่ำสุรากันไปซึ่งอาจเป็นเพราะเซี่ยหย่งอี้และถังเจี้ยนป๋อเติบโตมาด้วยกันสนิทสนมอาจมากกว่าพี่น้องท่านแม่ทัพหนุ่มจึงมิได้ฉุกใจคิดว่าคนชอบแกล้งคนเช่นคุณชายรองถังนั้นเติมสุราให้เขาถี่เกินไป สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวท่านแม่ทัพหนุ่มก็สติใกล้สิ้นแต่ยังได้ยินถังเจี้ยนป๋อนั้นหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่สามารถมอมสุราเขาไม่พอเจ้าสหายชั่วยังวางยานอนหลับให้เขาอีกด้วยจะเรียกหาเหวินลู่ก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองนั้นได้ปล่อยให้คนสนิทไปผ่อนคลายกับบุปผางามบ้างดังนั้นท่านแม่ทัพเซี่ยจึงพ่ายแพ้เล่ห์เหลี่ยมของพ่อค้าใหญ่เช่นถังเจี้ยนป๋ออย่างราบคาบเสียแล้ว… และแล้วอรุณรุ่งของวันใหม่ก็มาเยือนกำหนดการออกเดินทางของท่านแม่ทัพเซี่ยนั้นแต่เดิมคือต้นยามโฉ่วทว่านี่ใกล้ยามเฉินเต็มทนเงาของท่านแม่ทัพกลับไม่มีให้เห็นฝ่ายของเหวินลู่ที่คิดว่าผู้เป็นนายอาจกลับมาก่อนแล้วเพราะทราบนิสัยตรงต่อเวลาของเซี่ยหย่งอี้ดีก็กระวนกระวายใจไม่น้อย “เหวินลู่เมื่อคืนนี้เจ้ากับท่านแม่ทัพไปที่ใดกันมาแล้วไยเมื่อถึงยามโฉ่วจึงมีเพียงเจ้าผู้เดียวที่กลับจวน!?” เซี่ยหย่งสือถึงกับโกรธจนหนวดสีดอกเลาสั่นระริกเพราะบัดนี้แม่ทัพยังไม่มาย่อมถูกนินทาว่าร้ายไปครึ่งมหานครอานเล่อเป็นแน่และรับรองได้เลยว่าพรุ่งนี้ตนเองไปเข้าเฝ้าประชุมขุนนางในยามสายจะต้องถูกกล่าวกระทบกระเทียบจากเจ้าเฒ่าหานกังผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมาเข้าเสียเป็นแน่ “เอ่อ…” “ยังจะมาเอ่อมาอ่าอันใดกันข้าถามเจ้าก็เร่งตอบ!” “คือ…คือว่า…คือว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาคุณชายรองถังนัดพบกับท่านแม่ทัพที่เอ่อ…หอชมบุปผาขอรับ…” เหวินลู่ปกติเขาเป็นทหารผู้ผ่าเผยผู้หนึ่งกล่าววาจามักชัดถ้อยชัดคำเสมอ ทว่าคราวนี้เขากลับกล่าวอึกอักราวกับคนติดอ่าง นั่นก็เพราะบัดนี้ที่ยืนอยู่มิใช่มีเพียงท่านใต้เท้าเซี่ยหย่งสือแต่ยังมีเซี่ยฮูหยินและคำสำคัญที่สุดก็คือซูผิงหลัว เจ้าสาวที่ถูกท่านแม่ทัพปล่อยให้นางเฝ้าห้องหอแต่เพียงลำพังส่วนตัวของเขากลับไปสุขสำราญอยู่ที่หอคณิกาด้วยนะสิ …เหวินลู่เอ๊ย…เหวินลู่… หากเจ้าไม่ตายวันนี้เจ้าจะไปตายวันใดอีกเล่า ผู้เป็นคนสนิทของท่านแม่ทัพร้อนใจราวกับดวงใจถูกเพลิงร้อนจี้ก็มิปาน ทางด้านซูเยว่ผิงได้ฟังความจากคนสนิทของบุตรเขยบุญธรรม ว่าที่อีกฝ่ายหายศีรษะไปทั้งคืนจนป่านนี้ก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นนั้นไปยังหอคณิกาแล้วปล่อยให้บุตรสาวบุตรสาวบุญธรรมของตนต้องนอนเฝ้าห้องหอเหี่ยวแห้งสตรีงดงามก็โกรธจนใบหน้างามล่มเมืองดำไปเสียเก้าส่วน! “เจ้าคนชั่วช้าบังอาจไปเที่ยวหอนางโลมในคืนเข้าหอข้าไม่น่าหลงผิดยกแก้วตาดวงใจให้แก่เจ้าเลยเซี่ยหย่งอี้!” ซูผิงหลัวเห็นมารดาบุญธรรมโกรธจนหน้าดำหน้าแดงก็ตรงเข้าไปบีบมือของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยนเพราะส่วนตัวของนางแล้วไม่เดือดร้อนสักนิดที่สามีนั้นหายไปทั้งคืนแถมยังหายไปอยู่หอคณิกาอีกด้วยเพราะนั่นหมายความว่าตนเองอยู่รอดปลอดภัยไปอีกหนึ่งค่ำคืนนั่นนเอง “ท่านแม่บุญธรรมระวังสุขภาพด้วยเจ้าค่ะคนเช่นนั้นมิได้สูงค่าจนทำให้ท่านแม่บุญธรรมต้องมาเสียสุขภาพนะเจ้าค่ะ” คำกล่าบราบเรียบแต่เซี่ยหย่งสือที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งแล้วความไม่พอใจต่อสะใภ้ผู้นี้ก็เริ่มจะก่อตัวขึ้นช้าจากอดีตที่เอ็นดูจนคิดอยากได้นางมาเป็นอนุภรรยาอีกคนพอบัดนี้ได้ยินนางกล่าวราวกับดูถูกบุตรชายของตนท่านผู้เฒ่าจึงโกรธเด็กสาวจนหูสองข้างแดงก่ำ ทว่ายังไม่ทันที่เซี่ยหย่งสือจะเอ่ยวาจาตำหนิสะใภ้คนแรกของตนเองก็พอดีกับที่ม้าของเซี่ยหย่งอี้พุ่งมาด้วยความเร็วเสียก่อน “ท่านพ่อ” ที่จริงภายในใจของเซี่ยหย่งสือมีคำด่าบุตรชายนับพันแต่เพียงนึกว่าเมื่อครู่ซูผิงหลัวเอ่ยไม่เกรงใจเส้นผมสีดอกเลาของตนเองท่านอัครมหาเสนาบดีใหญ่จึงกลืนทุกคำลงท้องไปจนสิ้นเพราะไม่เอ่ยอันใดมากกว่าอีก “สายแล้วมิต้องมากพิธีเร่งออกเดินทางเถิด” วูบแสนสั้นที่เซี่ยหย่งอี้เหลือบสายตาไปมอง’ กระต่ายตัวน้อย’ ของตนเองเหมือนกันแต่เวลาเขามีไม่มากแล้วใจอยากอธิบายแต่ท่าทีมองเขาอย่างเย็นชาเลยทำให้เขาล้มเลิกทุกคำที่จะพูดหันไปสั่งความคนสนิทแล้วจึงหันมากล่าวลากับบิดาอีกหลายประโยค ทางฝ่ายซูเยว่ผิงที่ไม่พอใจบุตรเขยบุญธรรมอย่างมากจึงไม่เอ่ยอันใดกับเขาแม้เพียงครึ่งคำ นางทำเพียงเดินไปส่งซูผิงหลัวขึ้นรถม้า จากนั้นก็ยืนมองส่งท้ายรถม้าคันดังกล่าวไปจนลับสายตาภายในใจก็ห่วงไยบุตรสาวบุญธรรมอย่างยิ่งแต่จะโทษผู้ใดได้กันในเมื่อเป็นนางที่วางแผนและจัดการทุกสิ่งจนมีวันนี้ซูเยว่ผิงระบายลมหายใจเสียงหนักด้วยความกลัดกลุ้มก็ดูเอาเถิดราตรีแตกของการแต่งงานสามีก็ไปท่องเที่ยวหอคณิกาเช่นนี้มิเรียกหยามหน้าซูผิงหลัวยังจะกล่าวเป็นอื่นได้อยู่อีกหรือ ในอดีตสมัยในวัยเยาว์นางยอมรับว่าตนเองพลาดไปที่เรียกบิดาแทนที่จะเลือกบุตรชายหากนางทราบว่าเซี่ยหย่งสือนั้นจะรักมั่นคงเพียงอดีตภรรยาผู้ลาจากและรักบุตรชายคนเดียวมาถึงเพียงนี้นางย่อมเลือกเซี่ยหย่งอี้เป็นแน่ ดังนั้นในคราวนี้ที่ตนเองวางส่งต่อให้แก่เด็กสาวที่นางรักดังบุตรโดยแท้จริงคิดว่าดีแล้วถูกต้องแล้ว ทว่า… สุดท้ายเมื่อราตรีที่ผ่านมาก็เขย่าความเชื่อของนางให้สั่นคลอนอีกครั้งหนึ่งแล้วหรือที่แท้นางจะมองคนผิดไปอีกแล้วกันเล่าซูเยว่ผิงเอ๊ย? “ฮูหยินเจ้าค่ะ” เป็นสาวใช้คนสนิทที่เอ่ยเรียกสติของผู้เป็นนายหญิงที่ยืนส่งขบวนรถม้าไปสู่หยางโจวจนลับหายไปนานแล้วหากแต่ซูเยว่ผิงก็ยังคงเหม่อมองอยู่เช่นนั้นสลับไปกับถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า “ท่านเป็นห่วงคุณหนูหรือเจ้าคะ” “ห่วงใยในยามนี้มันก็ไม่ทันแล้วอาเพ่ยเฮ้อ!…หากคราวนี้ผิงเอ๋อร์ชอกช้ำและตกนรกจงรู้เอาไว้เถิดผู้ที่ผลักนางลงไปนั้นคือตัวของข้าเอง” สตรีวัยยี่สิบเก้าปีกล่าวกับตนเองอย่างขมขื่นเพราะจากคิดส่งบุตรสาวบุญธรรมไปอยู่ในที่ปลออดภัยและมีความสุขทว่าเพียงเริ่มชีวิตคู่สามีกลับหายไปอยู่หอคณิกาตลอดทั้งค่ำคืน! …ท่านแม่ขออภัยเจ้ายิ่งนักผิงหลัว…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม