ใบหน้าหวานซีดเผือดแม้อยู่ในความมืดแห่งราตรีกาลในยามที่หันไปตามเสียงปรบมือสามครั้งเนิบนาบกับน้ำเสียงหยอกเย้าที่เขากล่าวออกมาด้วยเสียงกึ่งหัวเราอย่างอารมณ์ดีเหลือแสน แล้วนางก็เผลอกลืนน้ำลายเอี๊ยกใหญ่ ที่หันไปเจอกับกายสูงใหญ่ยืนเอนกายแกร่งพิงอยู่กับกำแพงจวนเป็นเงาดำทะมึนราวกับปีศาจร้ายกำลังรอจะฉีกกระชาก’ เหยื่อ’ ตัวน้อยแสนบอบบางเช่นนาง
“ว่าอย่างไรปีนกำแพงสนุกหรือไม่แล้วนี่ม้าของเจ้าหรือคิดจะออกไปขี่ม้าท่องราตรีไยจึงมิเคยชวนว่าที่สามีเช่นข้ากันเล่าข้าก็ว่างตลอดทั้งคืนทีเดียวนะผิงหลัว?”
จากที่เหงื่อกาฬแตกเพราะความเหนื่อยที่ปีนต้นไม้และไต่กำแพงคิดหนีบัดนี้ซูผิงหลัวกลับเหงื่อกาฬแตกเพราะหวาดกลัวต่อบุรุษตัวโตเท่าหมียักษ์ที่ยืนอิงสะโพกกับกำแพงจวนเสียแล้ว
“มาสิเจ้าอยากไปขี่ม้าชมราตรีมิใช่หรือเช่นนั้นก็ไปขี่ม้ากัน”
ไม่กล่าวเพียงปากเปล่าทว่าเซี่ยหย่งอี้นั้นกลับตรงมาจับเอวอรชรยกลอยละลิ่วส่งขึ้นไปบนหลังอาชาสีน้ำตาลไหม้จากนั้นตัวของเขาก็ส่งตนเองตามติดขึ้นไป เรียกได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก…
มากเสียจนสาวน้อยที่คิดว่าค่ำคืนนี้คือฤกษ์ดีสำหรับการหนีออกจากจวนเป็นฤกษ์อันมงคลที่นางจะหนีตามเย่เจาสิงไปเป็นฮูหยินเพียงคนเดียวของท่านหมอหลวงเย่มันอันล่มสลายไม่เป็นท่า ดังนั้นกายเล็กในชุดรัดกุมจึงขึ้นมานั่งบนหลังอาชาด้วยกิริยางุนงงจวบจนกายสูงใหญ่โหนโกลนของม้าตามขึ้นมานั่งประกบอยู่เบื้องหลังโดยอ้อมกอดนางทางอ้อมด้วยการบังคับบังเ**ยนม้าให้มันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ซูผิงหลัวได้ส่งจดหมายไปนัดแนะเขาให้อีกฝ่ายไปรอรับนางยังประตูเมืองด้านทิศตะวันออก
“หึ!...ช่างมีความกล้ายิ่งนักเจ้าไปดื่มเลือดพยัคฆ์หรือไปขโมยดีหมีมากินกันจึงคิดจะหนีจากอ้อมอกของข้าไปหาไอ้หมอหลวงหน้าจืดผู้นั้น”
เขาก้มลงไปกระซิบกับใบหูเล็กขาวสะอาดแล้วจึงกัดจนเด็กสาวร้องอุทานลั่นเจ็บจนน้ำตาคลอแต่มิอาจสู้อีกฝ่ายได้ อาชาตัวโตถูกกระตุ้นให้เดินเนิบช้า เด็กสาวกลัวอีกฝ่ายจนกายน้อยสั่นเทาไปหมดนางคิดหนีแต่นางไม่เคยคิดถึงว่าในยามที่ถูกเซี่ยหย่งอี้จับได้ เพราะโทษทัณฑ์สำหรับสตรีคิดหนีตามชายชู้ของชาวต้าฉู่นั้นหากไม่ถูกสังหารจนตายโดยการประหารกลางเมืองก็จะถูกจับใส่กรงหมูแล้วแห่แหนไปจนรอบเมืองให้ชาวบ้านคว้างปาด้วยก้อนหินและของเน่าเสียก่อนที่สุดท้ายจะจับไปโยนลงในแม่น้ำซีเจี๋ยของเมืองอานเล่อให้จมน้ำตายลงไปอย่างทุกข์ทรมาน
ในยามที่นางวางแผนหนี ซูผิงหลัวมีเพียงความใฝ่ฝันเต็มเปี่ยมว่าจะสำเร็จซึ่งหากสำเร็จทุกสิ่งก็ต้องเลยตามเลยในเมื่อนางกับเย่เจาสิงข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้วฝ่ายบิดาและมารดาของเย่เจาสิงก็พึงใจนางสุดท้ายมารดาบุญธรรมก็ต้องปล่อยให้นางกับเย่เจาสิงได้แต่งงานกันไปมิอาจขัดขวางได้อีกส่วนเซี่ยหย่งอี้อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องกลับหยางโจวแล้วเพียงเท่านี้เรื่องราวก็จบลงด้วยดีแล้ว
ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผันเช่นนี้นางย่อมกลัวจนตัวแข็งทื่อไปหมดนางจะถูกสังหารหรือไม่นี่เขากำลังจะพานางไปสังหารพร้อมกับเย่เจาสิงหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้วนเวียนจนท้องไส้ของนางบิดเป็นเกลียวจนอยากอาเจียน
“อ้วก!”
มิใช่เพียงคิดแต่นางอาเจียนออกมาจริงๆ ดีที่เซี่ยหย่งอี้มิได้บังคับม้าให้วิ่งเร็วเขาเพียงให้มันเดินไปเรื่อยเปื่อยใจเย็นพอซูผิงหลัวเกิดอาเจียนเขาจึงหยุดแล้วอุ้มนางลงไปนั่งอาเจียนจนเด็กสาวไม่มีสิ่งใดจะอาเจียนออกมาอีกนอกจากน้ำลายขมปี๋เท่านั้นเซี่ยหย่งอี้จึงหยิบน้ำจากด้านข้างของม้ามาส่งให้นางบ้วนปากจนเรียบร้อยเขาก็พานางควบขี่อาชาตรงไปยังจุดหมายไม่มีเปลี่ยนซึ่งยิ่งใกล้เด็กสาวก็ยิ่งหวาดกลัวแต่จะให้พูดสิ่งใดคนพูดไม่เก่งเช่นนางกลับพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
“เหวินลู่เอาเกาทัณฑ์มาให้ข้า”
พอถึงกำแพงเมืองเซี่ยหย่งอี้ก็เรียกเอาเกาทัณฑ์จากทหารคู่ใจมาสะพายขึ้นมาไว้ที่แผ่นหลังกว้างก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรออยู่ด้านล่างส่วนเขานั้นบังคับอาชาให้มันมุ่งหน้าขึ้นไปบนกำแพงเมือง แล้วภาพที่แสงของคบเพลิงสะท้อนให้เห็นด้านล่างที่เป็นส่วนนอกกำแพงเมืองก็คือ…เย่เจาสิงและรถม้าของสกุลเย่ซึ่งแน่นอนอีกฝ่ายย่อมมารอนางที่จะออกไปพบเมื่อยามอิ๋นมาถึงแล้วประตูเมืองเปิดนั่นเอง
“เอาละข้าให้เข้าเลือกซูผิงหลัว เจ้าจะยอมแต่งเป็นอนุภรรยาของข้าเซี่ยหย่งอี้หรือว่า…เจ้าจะทนดูบุรุษที่เจ้ารักตายลงต่อหน้าเสร็จแล้วสุดท้ายเจ้าก็ยังต้องแต่งกับข้าอยู่ดี!?”
น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมนั้นแน่นอนว่าเซี่ยหย่งอี้ย่อมมิได้มีอารมณ์สุนทรีย์ที่จะขี่ม้ามาชวนนางชมเมืองจริงดังที่เขากล่าวมาดังเช่นก่อนจะมาจากจวนสกุลเซี่ย และแน่นอนเขากล่าวจริงทุกคำมิได้ล้อเล่นเป็นแน่ กายของเด็กสาวสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนเซี่ยหย่งอี้เขาหยิบเกาทัณฑ์มากระชับที่มือทั้งสองข้างอย่างมั่นคงแน่นอนระยะห่างเพียงเท่านี้แม่ทัพใหญ่เขาย่อมยิ่งศรเกาทัณฑ์ไม่พลาดเด็ดขาด
“นับหนึ่ง…”
น้ำเสียงนับนั้นเนิบนาบ หากแต่ซูผิงหลัวทราบดีว่าเขา’ เอาจริง’ อย่างแน่นอน แล้วเย่เจาสิงผิดอันใด นางคงบาปหนาอย่างถึงแก่นหากทำให้อีกฝ่ายต้องมาตายลงเพราะมีตนเป็นต้นเหตุ
“สอง…”
“ข้ายอม!…ข้ายอมแล้วท่านแม่ทัพ ข้ายินยอมพร้อมใจเป็นอนุภรรยาของท่านแล้วผิงหลัวยอมท่านแล้ว”
นางกล่าวไปพลางก็สะอึกสะอื้นไปพลางนางอยากหลุดพ้นทุกข์แต่หากมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้อื่นนางทำใจมิได้ เด็กสาวร้องไห้โดยไร้เสียงส่วนเซี่ยหย่งอี้นั้นความโกรธเคืองของเขามีมากล้นแต่เพราะเป็นแม่ทัพใหญ่เผชิญหน้ากับศึกมาก็หลายครั้งดังนั้นในวันที่เขาได้จดหมายของนางที่ฝากไปกับสาวใช้เช่นชุนจื่อเขาจึงไม่บุ่มบ่ามลงมือ ทว่าเขาใจเย็นปล่อยให้นางดำเนินการแผนหลบหนีไปอย่างสะดวกทำเป็นคนโง่หูหนวกตาบอดให้นางลงมือไปเรื่อยๆ
ส่วนเขาก็ซ้อนแผนนางอย่างเงียบงั้นเพราะทราบดีหากแผนแรกนางล่มสลายมีหรือนางจะไม่คิดแผนใหม่ขึ้นมาอีกเช่นนั้นมิสู้เขารอตลบหลังนางอย่างเลือดเย็นเช่นวันนี้ย่อมสาแก่ใจมากกว่า เขาทำให้นางได้ทราบไปเลยว่าหากตนเองจะปลิดชีพของเย่เจาสิงสะบัดศรเกาทัณฑ์เพียงหนึ่งดอกเจ้าหมอหลวงหน้าจืดผู้นั้นก็หมดหนทางรอดแล้วคราวนี้แหละต่อให้นางมีปีกบินก็มิกล้าหาญจะโบยบินหนีเขาอีกเป็นรอบที่สองอีกเป็นแน่
…หึ!…
นางเป็นคนของเอาแล้วก็ย่อมเป็นไปชั่วชีวิตต่อให้นางต้องตายลงในวันนี้นางก็จะเป็นผีของคนสกุลเซี่ยมิอาจเป็นผีของสกุลอื่นไปได้อีกแล้ว!!!
สายลมยามใกล้รุ่งสางพัดโชยเรื่อยมิต่างจากอานม้าสองตัวที่กำลังมุ่งหน้ากลับจวนสกุลเซี่ยอย่างมิเร่งร้อน บัดนี้ซูผิงหลัวร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอีกต่อไปดวงตาคู่งามบวมปูดและแดงชอกช้ำ ใบหน้างดงามก็แดงก่ำพร้อมทั้งบวมแดงระเรื่อจากการร้องไห้อย่างหนัก ดวงตาของนางดูสิ้นไร้ชีวิตชีวาราวกับปลาตาย เพราะผู้เป็นเจ้าของนั้นหมดอาลัยตายอยากไปจนสิ้นแล้วกับชีวิตที่เหลือต่อไป
คิดหนีคงมิอาจกระทำได้เพราะหากนางหนีนั่นหมายความว่าเย่เจาสิงต้องตายก่อนเป็นอันดับแรกส่วนคนที่จะเดือดร้อนต่อมาคงหนีไม่พ้นมารดาบุญธรรมเช่นซูเยว่ผิง บัดนี้เด็กสาวซาบซึ้งแล้วว่าคนเช่นเซี่ยหย่งอี้มิอาจดูเบาเขาได้เลยเขามันร้ายกาจกว่าจอมปีศาจ
…อนุภรรยา…
สุดท้ายนางก็มิอาจหนีจากมันไปได้ป้ายของจวนสกุลเซี่ยปรากฏก็พอดีกับแสงสีทองผ่องอำไพสาดส่องมาเยือนมหานครอานเล่อพอดิบพอดีประตูใหญ่เปิดออกพร้อมกับอิสรภาพของซูผิงหลัวก็สิ้นสุดลงไปเช่นกับบานประตูใหญ่ที่ปิดลงสนิทเสียงดังแอดแผ่วเบา ตรงหน้าจวนกลางหลังใหญ่มีชุนจื่อและซูเยว่ผิงยืนรอคอยด้วยสีหน้าซีดเผือดราวกับคนที่ไม่ได้หลับได้นอนมาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
“คุณหนู…”
“ผิงเอ๋อร์…”
พอเซี่ยหย่งอี้เหวี่ยงกายของตนเองลงไปก่อนเสร็จแล้วจึงเอื้อมสองมือมารวบเอวบอบบางให้ลงมายืนที่พื้นจนมั่นคงแล้วยังหันไปทางผู้เป็นมารดาเลี้ยงของตนเองและเป็นมารดาบุญธรรมของซูผิงหลัวด้วยสีหน้าเรียบเฉยยากจะคาดเดาอารมณ์ใดได้ทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ”
เมื่อเซี่ยหย่งอี้เหลือบสายตาไปเห็นบิดาเขาจึงเอ่ยทักทายอย่างพอเป็นพิธี ฝ่ายซูผิงหลัวนั้นกายสั่นสะท้านอย่างมิอาจเก็บอาการหวาดกลัวได้อีกต่อไปเข่าสองข้างพลันสิ้นแรงยังดีว่าเซี่ยหย่งอี้นั้นว่องไวรับกายบอบบางของนางเอาไว้ได้ทันมิได้ล้มหน้าฟาดพื้นต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งจวนสกุลเซี่ยให้บังเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาอีก
“ไปที่ใดกันมาจึงเพิ่งกลับมาถึงจวนเอาจนรุ่งสางเช่นนี้”
เป็นเซี่ยหย่งสือที่เอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าไม่พึงใจน้ำเสียงก็ดุดันพร้อมจะเอาโทษทัณฑ์กับซูผิงหลัวเต็มที่เพราะที่นางแอบหนีออกจากจวนหูตาเขามิได้บอดสนิทจริงจะมิรู้แจ้ง
“อีกเพียงสองวันข้ากับผิงหลัวก็จะแต่งงานถูกต้องหากจะออกไปท่องเที่ยวชมราตรีชมดาราในคืนเดือนมืดบ้างจะผิดอันใดหรือท่านพ่อก็ขนาดนอนร่วมเตียงก็ทำกันมาแล้วเรื่องของหนุ่มสาวท่านพ่อมิต้องใส่ใจมากก็ได้”
คำกล่าวเรียบง่ายแต่ฉีกกระชากใบหน้าของใต้เท้าเซี่ยจนเขาถึงกับใบหน้าแดงก่ำราวกับเทพกวนอูก็มิปานแต่ไอ้ที่จะถกเถียงกับเจ้าลูกชายตัวดีเขาเองก็จนปัญญาก็ในเมื่อตัวผู้เป็นสาวที่เจ้าบ่าวออกหน้าเสียเองเช่นนี้เขายังจะไปจัดการอันใดได้อีก
ทางด้านซูเยว่ผิงและชุนจื่อกับเสี่ยวเจี๋ยสาวใช้คนสนิทของซูเยว่ผิงที่ทราบทุกสิ่งดีต่างก็แอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะหากว่าเซี่ยหย่งอี้กล่าวความจริงออกมาชีวิตของเด็กสาวคนไม่ถูกหินถ่วงน้ำลงไปตายยังแม่น้ำสายหลักของต้าฉู่อีกคนแล้วเป็นแน่
“ยังจะยืนทื่อไปไยชุนจื่อมาพาคุณหนูของเจ้าไปพักผ่อนสิ!”
นั่นเองทั้งซูเยว่ผิงและสองสาวใช้จึงตรงเข้ามารับกายน้อยแล้วพานางตรงกลับไปยังเรือนริมธาราในทันทีปล่อยให้’ นายท่านเซี่ย’ สะบัดแขนเสื้อแล้วยอมถูกอนุภรรยาลำดับที่เจ็ดกับแปดประคองตรงกับไปที่โถงเรือนใหญ่ไปอีกผู้หนึ่งทิ้งให้เซี่ยหย่งอี้เดินเอื่อยเฉื่อยกลับเรือนม่านพยัคฆ์ของตนเองกัน
“เอ่อ…ท่านแม่ทัพจะให้จัดคนไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่เรือนริมธาราอีกหรือไม่ขอรับ”
เหวินลู่เอ่ยถามผู้เป็นนายไปพลางก็เดินเคียงคู่กายแกร่งของท่านแม่ทัพเซี่ยไปพลาง เพราะหลายวันนี้คนมีเท่าใดท่านแม่ทัพก็เกณฑ์ไป’ เฝ้า’ ว่าที่อนุภรรยาจนหมด
“หึ!…ไม่จำเป็น”
กล่าวเพียงเท่านั้นเขาก็ตรงไปยังลานฝึกดาบที่ด้านหลังจวนทันทีไม่ขยายความต่อว่าเป็นไปด้วยเหตุผลใดจึงยกเลิกการไป’ เฝ้า’ สังเกตการณ์ยังเรือนของคุณหนูซูอีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีเพียงเขาผู้เดียวที่ทราบดีว่านับจากวันนี้’ กระต่ายป่าตัวน้อย’ ของตนเช่นซูผิงหลัวจะไม่คิดแหกกรงขังออกไปอีก
นั้นก็เพราะการที่เขาพานางไปให้เห็นว่าเพียงเขาสะบัดฝ่ามือหนึ่งครั้งเจ้าเย่เจาสิงก็สิ้นใจได้แล้วถึงภายในใจจะร้าวรานไม่น้อยที่สตรีของตนมีใจให้แก่บุรุษอื่น ทว่าคนเช่นเขาย่อมไม่สนใจขอเพียงได้กายของนางมาปั้นเด็กเข้าท้องนางสักสิบหรือยี่สิบคนเชื่อเถิดนามเย่เจาสิงจะมิอยู่ในหัวและในใจของซูผิงหลัวอีกเด็ดขาด!
…เผียะ!…
นับตั้งแต่เลี้ยงซูผิงหลัวมาถึงสิบสองหนาวนี่คือครั้งแรกที่ซูเยว่ผิงตบตีบุตรสาวบุญธรรม ซึ่งพอตบเด็กสาวไปแล้วกลับเป็นนางเองที่ร้องไห้
“เจ้าเด็กโง่!”
นางด่าไปพลางก็สะอื้นไปพลางโกรธนั้นมีไม่ถึงสองส่วนแต่นางหวาดกลัวไปแล้วถึงแปดส่วน หากเมื่อครู่เซี่ยหย่งอี้ไม่ออกหน้าตาเฒ่าเซี่ยหย่งสือย่อมไม่ปล่อยซูผิงหลัวแน่ โทษทัณฑ์คิดคบชู้มิต้องสำเร็จก็นับว่าผิดได้แล้ว นางเลี้ยงเด็กน้อยมาด้วยดวงใจของมารดาที่รักบุตรสาวจริงจัง เช่นนั้นจุดจบแสนอัปยศอดสูเช่นถูกจับใส่กรงหมูแล้วแห่แหนไปรอบเมืองจากนั้นก็จับถ่วงด้วยหินให้ตายอย่างทรมานที่ก้นแม่น้ำเพียงคิดนางก็เหมือนถูกกรีดดวงใจเสียแล้ว
“เจ้าคนแซ่เย่มันมีดีอันใด เจ้ามิรู้แจ้งหรือไรว่าเจ้าคนชั่วนั่นต้องการตบแต่งเจ้าบังหน้าที่แท้มันชมชอบบุรุษมันมิได้รักเจ้าด้วยใจจริง!”
พอถึงที่สุดซูเยว่ผิงก็จำต้องทำร้ายดวงใจของบุตรสาวบุญธรรมให้นางรู้แจ้งและตาสว่างสักคราว่าเย่เจาสิงที่คิดมาสู่ขอตบแต่งเด็กสาวก็เพียงจะแต่งไปรักษาหน้าของตระกูลเย่เท่านั้นคนพวกนั้นมิได้รักซูผิงหลัวจากใจจริง!
“ทะ…ท่านแม่ทราบ?”
เด็กสาวถึงกับตะกุกตะกักหลุดคำถามออกมาอย่างตื่นตะลึงและคาดไม่ถึงเพราะตลอดมานางคิดว่าความลับนี้นอกจากนางกับคนในครอบครัวของเย่เจาสิงที่เท่านั้นที่ทราบแต่นี่…
“แล้วเจ้าคิดว่าท่านแม่ผู้นี้ที่รักเจ้าปานแก้วตาดวงใจจะไปสืบเสาะบุรุษที่จะมาเป็นบุตรเขยเป็นบุรุษที่จะเป็นเจ้าชีวิตเป็นท้องฟ้าเป็นใต้หล้าของเจ้าเชียวหรือ?”
คำถามนี้ทำเอาเด็กสาวถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ เพราะมิคาดว่าคนที่เป็นเพียงมารดาบุญธรรมจะรักและห่วงใยนางได้ถึงเพียงนี้ พลันนั้นความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาจุกลำคอจนนางพูดอันใดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
“ระหว่างฮูหยินเอกกับอนุภรรยาต่อให้เป็นคนโง่เพียงใดก็ย่อมต้องยอมเลือกตำแหน่งฮูหยินเอกให้บุตรสาวอยู่แล้ว แต่ที่ท่านแม่ยอมเลือกตำแหน่งอนุภรรยาให้แก่เจ้าเหตุผลเดียวก็คือข้าเพิ่งทราบว่าเย่เจาสิงมิชอบสตรีต่อให้แต่งกันไปเจ้าก็เป็นเพียงแค่ฮูหยินในยามเช่นนี้มิสู้ให้เจ้าแต่งไปเป็นอนุภรรยาของเซี่ยหย่งอี้ยังมีอนาคตเสียกว่า สตรีเรานั้นจะชั่วจะเลวก็อยู่ที่การเลือกสามีหากเลือกผิดชั่วชีวิตก็ตกนรกไปตลอดชาติแล้วนะผิงเอ๋อร์!”
กายอรชรพุ่งเข้าไปสู่อ้อมกอดของมารดาของเจ็บปวดหัวใจกับสิ่งที่ตนเองคิดเองเออไปเองเข้าใจมารดาผิด หรือที่แท้นางยังเด็กเกินไปจริงๆ จึงมิอาจมองเห็นความรักและหวังดีของมารดาบุญธรรมเช่นนี้
“อาผิงสำนึกผิดแล้ว…ฮือ…อาผิงช่างผิดยิ่งนัก!…”
เด็กสาวเอาแต่กล่าวประโยคเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาเพราะไม่รู้จะกล่าวอันใดได้อีกแล้ว ด้วยบัดนี้ภายในใจมีเพียงความรู้สึกผิดความรู้สึกละอายใจ นางคิดน้อย คิดเพียงจะเอาตัวรอด โดยหลงลืมไปว่าคนที่อยู่รับหน้าเช่นมารดาบุญธรรมจะลำบากเพียงใด จะทุกข์ใจเพียงใด
“รู้ผิดแล้วก็ดี…รู้ผิดเสียแต่บัดนี้ย่อมดียิ่งผิงเอ๋อร์ของท่านแม่”
ซูเยว่ผิงลูบไล้ตั้งแต่บนศีรษะลงมาจนถึงแผนหลังบอบบางอย่างปลอบโยนอีกฝ่ายจากใจมารดาผู้หนึ่งที่จะมีความรักให้บุตรสาวได้
“ไหนมาดูสิ…โธ่…แก้มของเจ้าซ้ำหมดแล้วเสี่ยวเจี๋ยไปอายาทาลดบวมมาให้ข้าด้วยเร็ว!”
ดันกายของซูผิงหลัวออกมาดูผลงานของตนเองที่เมื่อครู่บันดาลโทสะถึงกับลงมือตบตีเด็กสาวไปด้วยความพลั้งเผลอ ดังนั้นทายาไปนางก็ยังคงร้องไห้ไปไม่หยุดเพราะใบหน้าบุตรสาวบุญธรรมเป็นรอยบวม ทว่าภายในใจของนางกลับเจ็บปวดราวก็ตนเองถูกมีดแหลมคมกรีดลงที่กลางดวงใจก็มิปาน
“สัญญากับท่านแม่นะผิงเอ๋อร์นับจากนี้เจ้าอย่าคิดหนีออกไปอีกยอมตบแต่งไปกับเซี่ยหย่งอี้เถิด ดูเช่นเมื่อครู่ก็ย่อมทราบดีมิใช่หรือว่าอย่างน้อยเขาก็ปกป้องเจ้าหาไม่เพียงเขาเอ่ยเล่าความจริงทั้งท่านแม่และเจ้ากับเสี่ยวเจี๋ยและชุนจื่อคงมิได้ตายดีแล้วนะผิงเอ๋อร์ ชาตินี้จะมีบุรุษใดทานทนได้ที่จับได้ว่า ว่าที่ภรรยากำลังจะหนีตามบุรุษอื่นไป”
ทายาไปพลางก็พยายามเตือนสติชี้ให้เห็นถึงความดีของเซี่ยหย่งอี้ให้บุตรสาวได้ฟังและได้สังเกตดูเอา ซึ่งนางก็ทำได้เพียงแค่หวัง…หวังว่าคราวนี้ซูผิงหลัวจะคิดได้และยอมเห็นความดีของว่าที่สามีบ้างถึงไม่มาก ทว่านางคาดว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ยกเด็กสาวให้แก่บุรุษเช่นเซี่ยหย่งอี้…