บทที่7///หนี!!!

3063 คำ
คนตัวเล็กวิ่งสุดฝีเท้ากลับมายังเรือนพักของตนเองได้นางก็ตรงดิ่งเข้าสู่ห้องนอนชั้นในแล้วปิดประตูแน่นก่อนจะพุ่งไปที่อ่างทองเหลืองสำหรับเอาไว้ล้างมือล้างหน้า แต่นางนำน้ำนั้นมาล้างหน้าล้างปากเอาไม้ขัดฟันขัดถูในช่องปากจนแสบไปหมด กายเล็กของเด็กสาวก็รู้สึกว่ารสชาติภายในโพรงปากที่ตนเองถูกเซี่ยหย่งอี้จุมพิตออกไปไม่ได้สักนิด เด็กสาวพุ่งไปที่เตียงแล้วฟุบใบหน้างดงามลงไปกับหมอนหนุนใบโปรดของตนเองแล้วจึงกรีดร้องอัดลงไปที่หมอนระบายความอัดอั้นตันใจที่ตนเองโดนข่มเหงรังแกแต่นางกลับมิอาจต่อต้านหรือแม้แต่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองได้เลยสักนิด กำปั้นน้อยฟาดลงไปบนหมอนข้างไม่หยุดอย่างจะระบายโทสะแทนกายของเซี่ยหย่งอี้ที่ให้ตายอีกสิบชาติหรือพันภพตนเองก็คงยากจะทำแก่เขาได้เลย เด็กสาวร้องไห้คนเหนื่อยทุบหมอนจนขนห่านลอยฟุ้งไปทั่วห้อง จนมันปลิวมาติดตามหัวหูและใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาจึงช่างเป็นภาพที่หากมีผู้ใดมาพบเห็นคงได้หัวเราะจนขาดใจตายเป็นแน่ “ตายแล้วผิงเอ๋อร์!คุณหนู!” มิคาดว่าในช่วงเวลาย่ำแย่ที่สุดของซูผิงหลัวทั้งมารดาบุญธรรมและชุนจื่อสาวใช้คนสนิทจะโผล่เข้ามาได้จังหวะดีอย่างยิ่ง! แล้วยิ่งสภาพหัวหูมีแต่ขนห่าน ใบหน้าแดงช้ำเรียวปากเล็กบวมเจ่อดวงตาที่เคยกลมโตสวยกว่าสาวงามชาวจงหยวนทั่วก็บวมปูดดูตลกมากกว่าจะงดงามอีกแล้ว “เกิดอันใดขึ้นผิงเอ๋อร์ ท่านแม่เพิ่งทราบจากชุนจื่อว่าเข้าถูกเซี่ยหย่งอี้เรียกให้ไปพบที่เรือน เขาทำอันใดเจ้าข่มขู่หรือรังแกเจ้ากัน” ซูเยว่ผิงที่เพิ่งทราบความจากสาวใช้คนสนิทของบุตรสาวบุญธรรมก็ตรงไปยังเรือนม่านพยัคฆ์ทว่ากลับทราบจากเหวินลู่ว่าซูผิงหลัวกลับเรือนมาแล้วนางจึงไม่รอช้าที่จะตรงมาหาบุตรสาวบุญธรรมตัวน้อยดังแม่ไก่ถูกขโมยลูกออกจากอกก็มิปาน “ท่านแม่...ฮึก...อาผิงไม่อยากแต่งให้กับเขา ท่านแม่อาผิงอยากแต่งกับเจาสิง” เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวยอมกล่าวความต้องการจากใจของตนเองให้มารดาบุญธรรมทราบ กายบอบบางพุ่งตรงไปซุกยังหน้าอกที่อบอุ่นกับนางมาเสมอถึงสิบสองปีทำให้กายน้อยสั่นเทา นางทั้งตื่นกลัวและเสียขวัญ ชั่วชีวิตนี้ที่สนิทสนมก็มีเพียงเย่เจาสิ่ง และสัมผัสของบุรุษผู้นั้นก็อบอุ่นมิต่างจากมารดาบุญธรรมดังนั้นนางจึงอยากแต่งให้แก่เย่เจาสิง เพราะนางทราบว่าเขาจะไม่รังแกนาง เขาจะดีต่อนาง เด็กสาวมิได้คิดในแง่ของเชิงชู้สาว นางคิดเพียงเมื่อพ้นจากอกมารดาบุญธรรมนางก็จะมีเย่เจาสิงที่จะไม่คิดรังแกนางคอยปกป้องคุ้มภัยและตามใจนางทุกสิ่งไม่ดูถูกว่านางเป็นสตรีแล้วมิอาจเป็นท่านหมอรักษาคนได้เช่นเดียวกับที่นางเองก็ไม่รังเกียจที่อีกฝ่ายมีร่างกายเป็นบุรุษแต่มีจิตใจเป็นสตรีเช่นกัน “โถ...เด็กดีของท่านแม่ มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า สตรีถึงวัยออกเรือนเจ้าก็ต้องตบแต่งมีสามี มีลูกน้อยสืบไป เพื่อในยามที่เจ้าแก่ตัวลงไปจะมีบุตรคอยดูแลต่อไป ทว่าหากเจ้าแต่งกับเจาสิง...” ซูเยว่ผิงพูดค้างได้เพียงเท่านั้นเพราะมีชุนจื่ออยู่ร่วมด้วย สาวใช้รู้เพียงหนึ่งคนทั้งอานเล่อย่อมรู้แจ้งสิ่งนี้นางเองย่อมทราบดี จึงไม่ยอมกล่าวออกมาว่าหากบุตรสาวของตนเองแต่งไปกับบุรุษตัดแขนเสื้ออนาคตย่อมจบสิ้นแล้วจะเอาบุตรสืบสกุลมาจากที่ใดกัน “แต่เซี่ยหย่งอี้มิใช่คนดี เขารังแกอาผิง เขา...ฮือ...” เด็กสาวร้องไห้โฮออกมาเพราะคับแค้นดวงใจยิ่งนัก ตนมิได้ผิดอันใดใยเขาต้องรังแกนางด้วย คนแข็งกระด้างเช่นนั้นน่ากลัวเกินไปสำหรับนาง ทางฝ่ายซูเยว่ผิงที่อาบน้ำร้อนมาก่อนมีหรือจะมิทราบว่าบุตรสาวบุญธรรมของตนเมื่อครู่ใหญ่นั้นต้องพบเจอสิ่งใดมาบ้าง หากแต่นางย่อมมิคิดมากเพราะสิ่งเหล่านี้คือเรื่องปกติของบุรุษและสตรีที่ใกล้จะแต่งงานกัน หากจะผิดก็คงผิดที่นางเองเลี้ยงซูผิงหลัวมาดังไข่ในหินถนอมอย่างดีเรื่องในเชิงชู้สาวนี้คือสิ่งต้องห้ามมิเคยกล่าวให้เด็กสาวได้ทราบมาก่อนดังบุตรีเรือนอื่นที่วัยสิบสี่สิบห้ามารดาก็ต่างอบรมสั่งสอนเรื่องเอาอกเอาใจสามีกันแล้ว “เจ้าผิดแล้วผิงเอ๋อร์ เซี่ยหย่งอี้เขาเป็นทหารกล้า ย่อมแข็งกระด้าง ทว่าคนแข็งกระด้างมิใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี ดูเอาเถิดเขาอายุยี่สิบแปดแล้วสาวใช้อุ่นเตียงหนึ่งนางเขาก็ยังไม่มีตบแต่งกันไปเจ้าก็เป็นเพียงสตรีผู้เดียวของเขาเท่านั้นต่อให้แต่งเข้าไปป็นเพียงอนุภรรยาก็ตามเถิด” ผู้เป็นมารดาพยายามโน้มน้าวใจเด็กสาวที่ตลอดมาตนเองเข้าใจมาเสมอว่าซูผิงหลัวนั้นเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย ทว่าผู้ใดจะทราบดีไปกว่าตัวของเด็กสาวเอง! “แต่งไปกับเขาแล้วเจ้าต้องเอาอกเอาใจเขาให้ดี บุรุษแข็งกระด้างนั้นพ่ายแพ้ที่สุดก็คือสตรีอ่อนแอและอ่อนหวาน เจ้าต้องจดจำเอาไว้ ในเรือนเจ้าต้องยอมอ่อนข้อให้เขาสามีกล่าวสิ่งใดเจ้ามีแต่ต้องตามใจเขานะผิงเอ๋อร์หากเซี่ยหย่งอี้หลงใหลเจ้าตำแหน่งฮูหยินล้วนมิผิดไป ยิ่งเจ้าให้กำเนิดลูกชายลูกสาวออกมาฐานะเจ้าในสกุลเซี่ยก็แน่นหนาแล้ว” ซูเยว่ผิงอบรมสั่งสอนเด็กสาวในอ้อมกอดอย่างที่ตลอดชีวิตของนางก็คิดเช่นนี้ ทว่าซูผิงหลัวนั้นตลอดสิบสองปีในจวนเซี่ยแห่งนี้นางอาจดูเป็นเด็กซื่อจนบื้อหากแต่เรื่องดีเรื่องร้ายเรื่องอิจฉาริษยาระหว่างอนุภรรยาภายในจวนเด็กสาวเผชิญมาอาจเรียกได้ว่านับตั้งแต่จำความได้เมื่อวัยสี่ขวบปี นางยังไม่เคยเห็นมารดาบุญธรรมของตนเองมีความสุขอย่างแท้จริงเลย หนึ่งวันมีเพียงคิดแต่ชิงดีชิงเด่น จะทำเช่นไรให้เซี่ยหย่งสือโปรดปรานได้มากกว่ากัน ราตรีนี้สามีจะไปค้างเรือนของตนเองหรือไม่ นี่หรือคือความสุขเพราะสำหรับนางมองเห็นเป็นเพียงความทุกข์ที่ไร้จุดสิ้นสุด นางอยากแต่งไปเป็นเพียงภรรยาคนเดียวและในแผ่นดินต้าฉู่แห่งนี้ก็มีเพียงเย่เจาสิงเท่านั้นที่จะมอบสิ่งที่นางต้องการได้ นางจะเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวของเขาเพราะเขามิพึงใจสตรีเขาพึงใจบุรุษและเขาก็สัญญากับนางแล้วว่าในส่วนบุรุษของเขาจะไม่ให้มาวุ่นวายกับนางหรือในจวนใหญ่ที่นางครอบครอง ทว่าเซี่ยหย่งอี้เพียงวันนี้เขาออกลวดลายรังแกนางจนชอกช้ำไปหมดแล้ววันต่อไปเล่านางต้องแต่งกับเขาจะมีสภาพเช่นไรเซี่ยหย่งอี้ก็เป็นเช่นเซี่ยหย่งสือ และบุรุษอีกทั้งแผ่นดินต้าฉู่ที่มองว่าสตรีก็เป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งในเรือนเท่านั้นแต่นางเป็นคนผู้หนึ่งมีชีวิตมีจิตใจมาความคิดเป็นของตนเอง นางคิดว่าชีวิตของตนเองมีค่ากว่าการอาบน้ำพรมเครื่องหอมนอนรอสามีอยู่บนเตียงเท่านั้น นางมีหัวคิดเป็นของตนเอง นางคิดเป็น นางมีหลายสิ่งที่อยากทำ มิใช่ชีวิตหนึ่งวันวนเวียนแต่คิดว่าจะทำเช่นไรให้สามีมาหลงใหลเช่นที่มารดาบุญธรรมของนางกระทำอยู่ทุกวันนี้ “ท่านแม่...” ซูผิงหลัวคิดว่าจะพูดกร่อมมารดาอีกหน่อย ทว่าด้วยเติบโตมากับซูเยว่ผิงนางย่อมรู้ท่านแม่ตัดสินใจแล้วให้นางพูดจนน้ำลายท่วมภูเขาไห่เซิงมารดาบุญธรรมของตนเองย่อมมิฟังเด็ดขาด “เจ้าฟังคำท่านแม่นะผิงเอ๋อร์ บนเตียงเจ้าจะต้องยอมสามีทุกสิ่งเขาให้เจ้าเป็นนางคณิกาเจ้าก็ต้องยินยอม” ฟังแล้วเด็กสาวก็แทบน้ำตาไหลริน นางคิดว่าหากสตรีจะยินยอมสมควรต้องเป็นทำจากความรักมิใช่ทำเพราะหน้าที่ทำเพราะเกรงว่าชีวิตตนเองจะตกต่ำ ทว่าก็พูดจาความคิดของตนเองออกไปมิได้เพราะหากกล่าวออกไปนางจะกลายเป็นสตรีวิปลาส เป็นคนที่ไม่สมควรทันที ...เหตุใดจึงต้องเป็นสตรีที่อดทน... บุรุษจับดาบสู้ศัตรูได้ นางก็คิดว่าสตรีเองก็มีดีเช่นกันถึงจับดาบไม่ไหวออกไปรบพุ่งไม่ได้แต่สตรีก็มีสมองมีความคิดย่อมช่วยบุรุษวางแผนการรบได้ บุรุษเป็นแพทย์รักษาคนป่วยได้แล้วบุรุษสามารถทำคลอดสตรีได้หรือไม่ คำตอบก็คือไม่! เหตุผลก็คือการทำคลอดเป็นสิ่งต้อยต่ำบุรุษมิสมควรเอามือตนเองไปแปดเปื้อนโลหิตที่ออกมาทางช่องคลอด ...มารดามันสิ!... แล้วที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนของบุรุษก็มิได้ผ่านช่องคลอดของมารดามาก่อนหรือไม่ ความคิดเหล่านี้นางมีได้แต่กล่าวออกไปมิได้ มีเพียงอยู่กับเย่เจาสิงเท่านั้นที่นางสามารถเป็นตัวของตัวเองมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้ทั้งหมด ดังนั้นในใจของเด็กสาวนางจึงเข้าใจว่านี่แหละคือ’ ความรัก’ ใช่นางคิดว่าตนเองรักเย่เจาสิงแล้ว นางอยากใช้ทั้งชีวิตร่วมกับเขา ไม่ต้องการแต่งกับผู้ใดอีกแล้ว “ผิงเอ๋อร์คนดีของท่านแม่เจ้างดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้รับรองว่าเจ้าออดอ้อนเซี่ยหย่งอี้ให้ดีรับรองเขาไปไหนไม่พ้นมือของเจ้าหรอก” ซูเยว่ผิงยังคงปลูกฝังความคิดของตนเองใส่ศีรษะของเด็กสาว มิทราบเลยว่าซูผิงหลัวกำลังถกเถียงคำสั่งสอนนั้นอยู่ในใจทุกประโยค นางคิดว่าเหตุใดต้องเสแสร้งปั้นแต่งให้บุรุษรักชอบหลงใหล นางจะเป็นตัวเองแล้วบุรุษมารักชอบที่นางเป็นนางมิได้หรือไร ดังเช่นนางที่รักชอบเย่เจาสิง เขาจะเป็นเช่นไรนางก็ยอมรับเขาได้ มิแตกต่างเย่เจาสิงเขาก็รักใคร่และเอ็นดูนางที่นางเป็นเช่นนี้ ภายในใจของเด็กสาวต่อต้านทุกคำที่มารดาบุญธรรมเพียรสั่งสอนให้นางตบแต่งออกไปเป็นอนุภรรยาที่ดี เจริญรอยตามนางผู้กลายมาเป็นฮูหยินเอกอย่างภูมิอกภูมิใจ ซึ่งซูเยว่ผิงนั้นเข้าใจว่ากิริยาสงบเสงี่ยมรอบนั่งรับฟังด้วยดีเช่นตลอดมาสิบสองปีของบุตรบุญธรรมคือการยอมจำนนแล้วจึงอบรมอยู่อีกราวหนึ่งชั่วยามก็ปล่อยให้เด็กสาวได้พักผ่อนโดยมิทราบว่าบัดนี้ภายในใจของเด็กสาวนั้นกำลังวางแผนใดอยู่ “ชุนจื่อข้าวางใจเจ้าได้หรือไม่?” ท้ายที่สุดก็คงมีเพียงต้องพึ่งพาอาศัยสาวใช้คนสนิทเท่านั้น นางอยู่ไม่ได้แล้วนางทนไปเป็นอนุภรรยาเช่นมารดาบุญธรรมสั่งสอนบิดา ยิ่งเมื่อครู่ใหญ่ซูเยว่ผิงถึงกับเอาตำราภาพวาดสำหรับศึกษาการเอาอกเอาใจสามีมาให้ดูชมพลางสั่งสอนนางไปด้วยเด็กสาวก็ยิ่งคิดว่าตนเองมิอาจทนทำอันใดเช่นนั้นกับคนเช่นเซี่ยหย่งอี้ได้ ...มันน่าขยะแขยงเกินไป... มิใช่เพียงเซี่ยหย่งอี้กับบุรุษคนใดนางก็คิดว่าตนเองทำเช่นนั้นมิได้ เพียงคิดว่าตนเองต้องใช้ปากเล็กไปสร้างความสุขให้บุรุษเด็กสาวก็อยากอาเจียนออกมาแล้ว ดังนั้นมีเพียงหนทางเดียวที่นางจะไม่ต้องทำสิ่งจวนอาเจียนเหล่านั้นนั่นก็คือ... ...หนี... ใช่แล้วนางต้องหลบหนี และต้องเร็วไวเสียด้วย แล้วคนเดียวที่นางคิดถึงย่อมไม่พ้นเย่เจาสิง เพราะมีเพียงนางหนีตามไปกับเย่เจาสิง ตำแหน่งอนุภรรยาจึงจะพ้นไปดังนั้นจดหมายลับจึงถูกส่งตรงไปถึงคุณชายเย่หรือท่านหมอหลวงเย่ในอีกหนึ่งวันต่อมา ทางฝ่ายซูผิงหลัวนางยังคงทำตนเองสงบเสงี่ยมยอมถูกมารดาบุญธรรมเรียกไปอบรมสั่งสอนก่อนจะออกเรือนเช่นบุตรจวนอื่นโดยไร้พิรุธใดทั้งสิ้นในยามกลางวัน ทว่าพอตกค่ำคืนเด็กสาวก็ร่วมรวมข้าวของที่พอจะนำติดกายออกไปด้วยได้ เด็กสาวทราบดีว่าการกระทำนี้เสี่ยงและอกตัญญูยิ่งนัก แต่ให้นางยอมจำนนต่อโชคชะตานางทำไม่ได้จริงๆ ยิ่งนักไปถึงวันที่เซี่ยหย่งอี้รังแกตนเองแล้วนางก็ควบคุมตนเองมิได้ เด็กสาวก็ยิ่งคิดว่าเซี่ยหย่งอี้คือบุคคลอันตรายที่ตนเองต้องหนีให้ห่างไกล เด็กสาววัยเพียงสิบหกปี ย่อมมิเข้าใจโลกล้ามากมายนัก ยิ่งนางเติบโตมาอย่างเข้มงวดจากซูเยว่ผิงด้วยแล้ว โลกล้าของซูผิงหลัวจึงมีเพียงสีขาวสะอาดและสีดำสนิทเท่านั้นนางมิทราบว่าโลกล้าอันแท้จริงมันเป็นเพียงสีเทาจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข “เจ้าจะไปกับข้าหรือจะอยู่ที่จวนต่อไป” ในราตรีดวงจันทรามืดสนิทเป็นราตรีที่ซูผิงหลัวนัดแนะกับเย่เจาสิงที่จะหลบหนีออกจากจวนสกุลเซี่ยดังนั้นหลังจากเลยยามจื่อมาได้สองเค่อเด็กสาวก็พร้อมแล้วที่จะปีนกำแพงสูงใหญ่ของจวนเซี่ยหลบหนีไปสู่อิสรภาพที่นางใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต “คุณหนูเจ้าค่ะอย่าไปเลยนะเจ้าค่ะหากถูกจับได้จะเป็นเรื่องใหญ่นะเจ้าค่ะ” ชุนจื่อพยายามทัดทานผู้เป็นนายน้อยที่นางเองเลี้ยงดูกันมาถึงสิบสองปี ชุนจื่อเองก็เป็นเช่นสตรีทั่วไปของชาวต้าฉู่ที่คิดว่าสตรีพอถึงวัยออกเรือนแล้วบิดามารดาเลือกผู้ใดให้ก็สมควรแต่งออกไปกับคนผู้นั้น แต่นี่คุณหนูของนางช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดหอบผ้าปีนหนีวิวาห์ในอีกสองวันข้างหน้าเช่นนี้ “ข้ามีชีวิต ข้ามีจิตใจนะพี่ชุนจื่ออย่างน้อยสามีข้าก็สมควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกเองมิใช่หรือ อีกสิ่ง ท่านแม่ทัพก็ใช่จะเต็มใจอยากแต่งกับข้า นี่ข้าช่วยเขาด้วยการหนีไปกับเจาสิงท่านแม่ทัพเซี่ยสมควรขอบคุณข้าถึงจะถูก” เด็กสาวยังคงไม่ยอมล้มเลิกแผนการเด็ดขาด กายอรชรอยู่ในอาภรณ์รัดกุมหากไม่เห็นกับตาผู้ใดเลยจะเชื่อว่าเด็กสาวที่ปกติออกงานเลี้ยงใดหรือว่าไปยังที่ไหนซึ่งมีผู้คนมากนางจะเอาแต่หลบอยู่เบื้องหลังของมารดาบุญธรรมบัดนี้จะแต่งกายคล้ายหนุ่มน้อยเตรียมปีนกำแพงสูงใหญ่จะหนีตามบุรุษ! “ข้าจะถามพี่ชุนจื่ออีกครั้ง ว่าท่านจะไปกับข้าหรือจะรั้งอยู่ที่จวนสกุลเซี่ยต่อไป” ซูผิงหลัวถามสาวใช้คนสนิทรุ่นพี่อีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นางจะปีนออกทางหน้าต่างเพื่อตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านหลังจวนที่นางนั้นดูลาดเลามาสามวันแล้วว่าจุดใดที่ตนเองสามารถจะปีนกำแพงหนีออกไปได้โดยง่ายไม่ตกจากกำแพงสูงลงไปคอหักตายก่อนจะได้หนี “หากตัดสินใจได้แล้วก็ตามมา” กล่าวจบซูผิงหลัวก็ไม่รั้งรออีกต่อไป นางปีนหน้าต่างโดยมีเพียงห่อผ้าขนาดเล็กติดกายไปเพียงห่อเดียวเท่านั้น นางมองขึ้นไปบนต้นไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะตัดใจปีนขึ้นไปอย่างยากเย็น พอขึ้นไปอยู่บนกำแพงได้ก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยว่าตนเองมาได้ครึ่งทางแล้วนั่นเองจึงอดจะหันกลับไปมองภายในจวนเสียมิได้ “ลูกในชาตินี้อกตัญญูยิ่งนัก แต่อาผิงสัญญานะเจ้าค่ะท่านแม่ หากอาผิงสร้างฐานะได้มั่นคงแล้วจะต้องกลับมารับท่านอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอนไม่ยอมทอดทิ้งให้ท่านแม่ต้องอดทนอยู่กับบุรุษผู้เห็นแก่ตนเองและยังมากราคะเช่นเซี่ยหย่งสือไปตลอดชีวิตเป็นแน่” สายตาคู่หวานมองทอดไปยังจุดที่เป็นเรือนนอนของซูเยว่ผิง วูบหนึ่งที่นางใจหายแต่ชีวิตของนาง นางย่อมต้องเลือกทางให้ตนเอง เช่นกันสามีนางย่อมต้องเป็นผู้เลือกเอง และนางเลือกเย่เจาสิง เพราะเขารักนางที่นางเป็นตัวนางมิใช่รักชอบร่างกายหวังให้นางไปบำเรอกามไปตอบสนองความใคร่ ซูผิงหลัวมัดเชือกกับกิ่งต้นเหมยขนาดยักษ์จนแน่นหนาดีก็โรยมันลงไปยังด้านนอกกำแพงที่ตนเองให้ชุนจื่อนั้นส่งจดหมายไปนัดแนะให้เย่เจาสิงส่งม้ามารอคอยนางไว้ โดยที่นางจะขี่ม้าแล้วไปพบกับเขาที่กำแพงเมืองอานเล่อที่ฝั่งประตูทิศตะวันออก นางทราบว่าอาจจะดูเหมือนหยามเกียรติเซี่ยหย่งอี้ไปบ้างแต่ก็เพียงว่าที่อนุภรรยานางหนึ่งหนีไปมิใช่เจ้าสาวที่จะมีงานแต่งใหญ่โตจึงไม่น่าจะสร้างความแค้นให้อีกฝ่ายมากนัก เด็กสาวไต่เชือกลงมาอย่างยากลำบากพอถึงพื้นได้ก็มีเหงื่อเต็มใบหน้านางใช้แขนปาดมันออกอย่างเร่งรีบต่อให้หอบเหนื่อยไม่น้อยแต่ซูผิงหลัวก็ไม่มีเวลาพักหายใจนานนัก ...แปะ...แปะ...แปะ... ...เฮือก!!!... “สนุกหรือไม่เล่าอนุของข้าปีนกำแพงยามดึกออกกำลังกายเช่นนี้?” “เซี่ยหย่งอี้!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม