ซูผิงหลัวผวาหนีส่วนสองแขนก็ยกขึ้นป้องกันกายน้อยของตนเองกับกิริยาดุดันใบหน้ากร้าวแกร่งนั้นมีแต่เพลิงโทสะคุกรุ่นยิ่งนางแลเห็นดวงตาเรียวสวยของอีกฝ่ายจับจ้องมาอย่างจาบจ้วงใจของเด็กสาวก็พลันสั่นไหวกับความน่ากลัวของบุรุษหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าเรียวงามนั้นก็ยิ่งซีดเซียวราวกับโลหิตกำลังจะหมดตัว
“ผะ...ผิงหลัวกับ....”
“หุบปาก! ข้ามิได้ต้องจะทราบถึงความสัมพันธ์และความรู้สึกในอดีตของพวกเจ้าทั้งสองคน!!!”
ซูผิงหลัวยังไม่ทันได้อธิบายว่าตนเองและเย่เจาสิงมิได้กระทำดังที่เขากล่าวหา ทว่าเซี่ยหย่งอี้นั้นกลับตะคอกสวนขึ้นมาเสียงดุดัน ทำให้เด็กสาวสะดุ้งผวาเฮือกตกใจเสียขวัญจนน้ำตาคลอ นางพยายามกัดเรียวมปากเข้าหากันจนแน่นไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาให้ขัดหูของอีกฝ่ายอีกด้วยเกรงว่าภัยร้ายอาจมาเพราะความปากเสียของตนนั้นเอง
“นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเลิกคบหาหรือไปพบเจอกับมันอีก เพราะเจ้ากำลังจะแต่งเป็นอนุภรรยาของข้าแล้วข้าไม่ต้องการเป็นบุรุษหน้าโง่ถูกคนทั้งต้าฉู่มองว่าบนศีรษะของข้าสวมหมวกเขียวแทนที่จะเป็นหมวกของแม่ทัพใหญ่แห่งหยางโจวจงจดจำฝังศีรษะของเจ้าเสียว่านับจากนี้เจ้าคือสมบัติของข้าเซี่ยหย่งอี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น!!!”
เซี่ยหย่งอี้ประกาศกร้าวออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจตนเอง เพราะเขานั้นเป็นบุรุษซึ่งหวงของ ไม่ว่า’ ของ’ สิ่งนั้นเขาจะได้มาด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่หากขึ้นชื่อว่าคือของเขาก็ไม่ยินดีให้ผู้ใดมาแตะต้อง แม้เพียงปลายเส้นผมเขาก็หวง!อย่างได้กล่าวเพียงถูกจับมือถูกแตะต้องเส้นผม แม้แต่เข้าใกล้หรือไปพูดคุยกับบุรุษอื่นเขาก็ไม่ยินยอมเด็ดขาด!!!
“ตะ...แต่ว่า...แต่ว่าผิงหลัวเป็นคน เป็นสิ่งมีชีวิต หาใช่สิ่งของจะเป็นสมบัติของท่านแม่ทัพได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
เด็กสาวกล่าวปฏิเสธออกไปด้วยนำเสียงสั่นเครือ ทว่านั้นกลับยิ่งทำให้ท่านแม่ทัพหนุ่มเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ภายในใจหนุ่มนั้นรุ่มร้อนราวกับโดนเพลิงกองใหญ่แผดเผา กรามแกร่งจึงบดเบียดเข้าหากันแน่นจนบังเกิดเสียงดังกรอดทำเอา’ กระต่ายน้อย’ ยิ่งตื่นกลัวอีกฝ่ายเข้าไปอีกหลายสิบส่วน!
“ถึงมิใช่สิ่งของแต่เจ้าคืออนุภรรยาหากมิใช่สมบัติของข้าจงกล่าวมาเจ้าเป็นสมบัติของบุรุษใดได้อยู่อีก!?”
เจ้าของกายแกร่งกำยำสูงสง่าปราดเข้าประชิดกายน้อยของซูผิงหลัวแล้วกระชากหัวไหล่บอบบางอย่างเด็กสาวที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยเขามาหากายของตนเองด้วยกิริยาไร้ความเมตตาปรานีโดยสิ้นเชิง เพราะเพลิงโทสะมันก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับพายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวนั้นที่กลางทะเลลึก
“อ่ะ!...ปล่อยผิงหลัวนะเจ้าค่ะ!!!”
คนตัวเล็กร้องประท้วงขณะที่น้ำตาร่วงเผาะภายในใจเต็มไปในใจนั้นเริ่มหวาดกลัวจับจิตกับกิริยาดุดันก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งนางยิ่งกลัวซูผิงหลัวนั้นก็พยายามดิ้นรนขัดขืนตามสัญชาตญาณของมนุษย์ผู้หนึ่งที่รับรู้ได้ถึงภัยร้ายที่กำลังจะมาถึงตัวด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด
เนื้อตัวของเด็กสาวสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัวเพราะกิริยาราวจอมปีศาจร้ายที่กำลังเกรี้ยวกราดของเซี่ยหย่งอี้ ความเจ็บปวดที่ถูกมือแกร่งบีบรัดตามกายน้อยนั้นทำให้ใบหน้าหวานเหยเกขณะที่ดวงตาหวานนั้นมีน้ำตาอุ่นไหลรินลงสู่สองแก้มนวลชวนน่าสงสาร ทว่าความโกรธของเซี่ยหย่งอี้ซึ่งกักเก็บมาตั้งแต่ที่หอฝูหรงมันมากมายจึงมองไม่เห็นความน่าสงารของเด็กสาวเลย
“ฮึก...ปะ...ปล่อยผิงหลัวนะเจ้าค่ะ!...อึก...”
เด็กสาวกล่าวไปพลางดิ้นรนผลักไสกายแกร่งของอีกฝ่ายไปพลางหยดน้ำใสที่ไหลอาบสองแก้มนวลเนียนและกิริยาดิ้นหนีสุดชีวิตทำให้ท่านแม่ทัพหนุ่มค่อยได้สติขึ้นมาเล็กน้อยเลยชะงักคลายฝ่ามือแกร่งที่ตนเองเผลอบีบหัวไหล่บอบบางของคนตัวเล็กรุนแรงไปเพราะความกรุ่นโกรธเข้าครอบงำรุนแรงเกินไป พอแลเห็นสีหน้าของนางซีดเผือดดวงตาเรียวสวยแต่คมกล้าจึงค่อยอ่อนแสงลงไปหลายส่วน
“มากมารยามิต่างจากมารดาบุญธรรมของเจ้าเชียวนะซูผิงหลัว”
กระนั้นคนปากคอเราะรายก็ยังไม่วายกระซิบลอดไรฟันแดกดัน’ แม่กระต่ายป่า’ ตัวน้อยในอ้อมแขนออกไปให้เด็กสาวได้เจ็บปวดอีกหน่อย เพราะเขานั้นซาบซึ้งมานานแล้วว่าซูเยว่ผิงนั้นเป็นสตรีเช่นไร นางเป็นสตรีมากมารยายิ่งกว่าอนุภรรยาคนใดของบิดาของเขามิเช่นนั้นมารดาของเขาตายลงไปนางจะถีบตนเองขึ้นมาแทนตำแหน่งของมารดาเขาได้อย่างไรกัน เพราะภายใต้ความอ่อนหวานที่นางใช้ล่อลวงบิดาเขาจนหลงโงหัวไม่ขึ้นนั้นมิธรรมดาดังนั้นซูผิงหลัวถึงมิใช่สายเลือดโดยแท้ของนาง ทว่าก็ถูกสตรีมากมารยาผู้นั้นเลี้ยงดูสั่งสอนกันมาถึงสิบสองปีมีหรือจะไม่ถ่ายทอดความมากเล่ห์ล้านมารยาส่งต่อให้แก่กัน!
“มากมารยาอันใดกันเจ้าคะ? ผิงหลัวมิได้ใช้มารยาอันใดเลย ท่านแม่ทัพเรียกผิงหลัวมาพบ ผิงหลัวก็มาพบท่านแม่ทัพแล้ว มิได้คิดใช้มารยาใดกับท่านแม่ทัพเพียงเศษเสี้ยวธุลีเลยเจ้าค่ะ...โอ๊ย!...ผิงหลัวเจ็บนะเจ้าค่ะผิงหลัวเจ็บ!!!”
ท้ายประโยคของเด็กสาวนั้นถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขารวบกายบอบบางเข้ามากอดรัดแนบแน่นจนกระดูกของซูผิงหลัวที่ยังอ่อนและเปราะบางแทบจะหัก เพียงเขาทำร้ายจิตใจของนางด้วยวาจารุนแรงคงยังมิสาแก่ใจกระมังถึงต้องมาทำร้ายร่างกายกันเช่นนี้
นางทำผิดอันใดหนักหนา สิ่งที่บังเกิดขึ้นนางก็มิได้ต้องการหรือรู้เห็นเป็นใจไปกับมารดาบุญธรรมสักน้อย หากเขามิต้องการนางก็เพียงยืนยันเสียงแข็งออกไปคนเช่นเซี่ยหย่งสือย่อมไปบีบบังคับเขาได้อยู่แล้ว เหตุใดต้องเอาทุกความโกรธความคับแค้นใจมาลงที่นางด้วยหรืออย่างน้อยพูดด้วยดีกันก็ได้มิใช่หรือนางและเขาก็เป็นคนที่เติบโตมากพอจะพูดคุยกันด้วยเหตุและผลมิใช่หรือ?
“ได้โปรดปล่อยผิงหลัวเถิดเจ้าค่ะหากผิงหลัวทำอันใดผิดไปผิงหลัวขออภัย”
“ไม่ปล่อย!นับจากนี้เจ้าต้องทำตนเองให้ชินกับร่างกายและสัมผัสจากข้า เพราะอีกไม่กี่วันพอเราแต่งงานกันข้าย่อมต้องทำมากกว่ากอดและสัมผัสกายเจ้าเช่นวันนี้!!!”
กล่าวจบอ้อมแขนแกร่งนั้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นจนหน้าอกอวบอิ่มที่ซุกซ่อนอยู่ในอาภรณ์เนื้อหนาตัวโตให้บดเบียดแนบชิดกับหน้าอกแกร่งกระด้างของคนตัวใหญ่ราวกับหมีป่า นั่นยังไม่น่าตกใจเท่าใบหน้าหวานราวกับสตรีทว่าสีผิวนั้นเข้มจัดตัดกับผิวขาวนวลเนียนของเด็กสาวอย่างเห็นได้ชัดเจน นั้นลดลงมาแทบชิดใบหน้าหวานจนใช้ลมหายใจร่วมกัน ดวงตาคมดุดันนั้นสบประสานกับดวงตากลมโตไหวระริกแน่วแน่
พลันนั้นจมูกโด่งของเซี่ยหย่งอี้ก็ยิ่งได้กลิ่นหอมละมุนละไมของดอกกล้วยไม้ป่าพันธุ์หนึ่งโชยเข้ามาปะทะจมูก ก็ทำเอาความโกรธกรุ่นลดระดับไปกว่าครึ่งกว่าค่อนจากกลิ่นหอมรวยรินดังกล่าว หากแต่ยิ่งเขากอดกระชับแนบชิดกายน้อยของเด็กสาวก็พลันสั่นไหวอย่างยากจะควบคุมเพราะความหวาดกลัว
“ทำไม? ...เพียงข้ากอดเจ้ายังตัวสั่นถึงเพียงนี้ แล้วหากข้าทำมากกว่ากอดเล่าเจ้าจะมิเป็นลมไปเลยหรือไร?”
“โอ๊ะ!...อื้อ!”
เด็กสาวกำลังจะร้องปฏิเสธ ทว่าเรียวปากร้อนผ่าวที่เอาแต่พ่นวาจาร้ายกาจนั้นกลับแนบลงมาหากลีบปากสีชมพูระเรื่อแล้วบดขยี้อย่างหนักหน่วงเต็มอารมณ์วาบหวามที่เขากักเก็บมาหลายวันอาจนับจากวันที่พบว่านางตื่นขึ้นมาบนเตียงของเขานั่นเลยกระมัง
ฝ่ายของซูผิงหลัวนั้นนางตกใจและหวาดกลัวที่ตนเองมาถูกกระทำจาบจ้วง ร้ายกาจมิให้เกียรติกันราวกับนางคือสตรีไร้ค่า ทำให้เด็กสาวมีแต่อาการดิ้นรนขัดขืนและพยายามสะบัดใบหน้าหนีการรุกราน อย่างดื้อดึงไม่ยอมจำนนโดนกระทำแต่โดยดีเด็ดขาด
แต่มือแกร่งของเซี่ยหย่งอี้กลับเลื่อนขึ้นมาตรึงท้ายทอยของคนตัวน้อยเอาไว้แนบแน่นแล้วจึงรักแกเรียวปากนุ่มอย่างไม่ลดละ เด็กสาวก็ใช่จะยอมจำนนโดยง่ายนางทั้งหยิกทั้งข่วน ทุบตีคนตัวโตไปสุดกำลังกัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมให้อีกฝ่ายรุกรานเรียวปากน้อยของตนเองโดยง่าย
จนในที่สุดเซี่ยหย่งอี้ก็ผละริมฝีปากแสนร้ายกาจออกห่างแล้วมองคนตัวเล็กด้วยสายตาไม่พึงใจอย่างยิ่งที่ตนเองถูกปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งซูผิงหลัวนั้นด้วยความไร้เดียงสาในเชิงบุรุษพอเขาถอยห่างนางก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายย่อมหยุดแล้ว นางจึงหอบหายสะท้านสูดเอาลมหายใจเข้าท้อง
มิคาดคนร้ายกาจเขาจะอาศัยจังหวะที่นางเผลอโฉบเรียวปากแกร่งลงมาหาอีกคราวอย่างรวดเร็วราวพญาเหยี่ยวโฉบลงหาเหยื่อซ่งในครานี้นั้นสัมผัสที่แนบชิดลงมาหาบนเรียวปากบอบบางสีหวานกลับเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ราวกับจะปลอบประโลมที่เมื่อครู่เขากระทำนางเจ็บและตกใจ เขาบดเคล้าสลับกับดูดดึงความนุ่มละมุนอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานเอาอกเอาใจไปพร้อมกับล่อลวงเด็กสาวให้คล้อยตาม ทว่าคนในอ้อมแขนแข็งแกร่ง นางยังคงพยศยิ่งนักมิยินยอมโดยง่ายปิดเรียวปากอวบอิ่มแนบแน่นไม่ยอมคล้อยตามอีกฝ่ายโดยง่าย
ซึ่งอาการพยศของเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าถึงสิบสองปีผู้นี้ทำเอาท่านแม่ทัพใหญ่ ซึ่งมีเพียงต้องก้มศีรษะให้เขาทั้งใต้หล้าอยากเอาชนะเด็กสาวตัวน้อยแม่กระต่ายป่าขี้ตื่นให้จงได้ แรงสัมผัสแนบชิดจึงเพิ่มทวีแรงเคล้าคลึงให้หนักหน่วงขึ้นอีกหลายส่วน มือแกร่งกระชับท้ายทอยของคนตัวเล็กเอาไว้มั่นคง
ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นก็โอบเอวอรชรเข้ามาแนบชิดกายแกร่งจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาใช้ประสบการณ์ที่มากมีเหนือกว่าเด็กสาวทำให้นางยอมเผลอแย้มเรียวปากอวบอิ่มขึ้นรับลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากนุ่มจนเขาสัมผัสได้ถึงความหวานล้ำทำให้แม่ทัพหนุ่มคำรามก้องอยู่ในลำคออย่างพึงใจเป็นที่สุดที่ว่าที่อนุภรรยานั้นหอมหวานเช่นนี้
เขาค่อยๆ ชำแรกลิ้นร้อนชื้นเข้าไปเสาะหาความหวานภายในให้มากขึ้น ทั้งยังเกี่ยวกระหวัดรัดเรียวลิ้นน้อยที่พยายามหลบหนีอีกฝ่ายสุดชีวิต ทว่าเขาหรือจะยินยอมมีแต่ดูดดึงหนักสลับแผ่วเบาหลอกล่อและหยอกเย้าจนเจ้าของโพรงปากนุ่มและฉ่ำหวานครวญครางอืออาในลำคอประท้วงอยากให้เขาหยุดล่วงเกินนางอย่างน่าละอายเสียที
ทว่าเซี่ยหย่งอี้กลับไม่ยอมหยุดการรุกรานเอาไว้เพียงเท่านั้นโดยง่าย เขายังคงฉกฉวยโอกาสดื่มด่ำกับความหอมหวานราวกับคนที่หลงติดอยู่ในดินแดนทะเลทรายที่ขาดแคลนน้ำใสสะอาดพอได้พบน้ำพิสุทธิ์ก็มูมมามดื่มดับกระหายไม่มีเพียงพอโดยง่าย เรียวปากของซูผิงหลัวนั้นทั้งนุ่มทั้งหวานจนเขายากจะถอยห่างโดยง่าย
อีกทั้งความหวานล้ำที่เชยชิมนั้นยิ่งดื่มกลับยิ่งหิวกระหายราวกับว่าเรียวปากนุ่มหวานนั้นเป็นแหล่งน้ำหวานชั้นเลิศที่กำลังล่อลวงให้ภมรหนุ่มได้เผลอไผลติดกับดักยากจะหยุดพ้น ดังนั้นยิ่งได้ดื่มกินกลับทำให้เขายากจะหยุดยั้งตนเองได้โดยง่ายค่อยใช้เรียวลิ้นแกร่งละเอียดชิมไปทั่วโพรงปากนุ่มหวานอย่างใจเย็น เขาบดเคล้าจุมพิตอย่างอ่อนโยนเพื่อให้คนในอ้อมแขนแกร่งเคลิบเคลิ้มไปกับรสจุมพิตที่เขาบรรจงสั่งสอนให้นางรู้จักตอบสนองและขยับเรียวปากตอบรับริมฝีปากของเขาบ้าง แม้มันจะแสนเป็นไปอย่างเงอะงะไร้เดียงสา หากแต่ความไม่ประสานั้นกลับสร้างความพึงใจให้แก่เซี่ยหย่งอี้ยิ่งนัก
“ฮื้อ!”
ซูผิงหลัวส่งเสียงประท้วงในลำคอพร้อมทั้งพยายามจะสะบัดใบหน้าหวานที่ร้อนผ่าวออกห่างเมื่อนางเริ่มจะขาดอากาศหายใจเข้าไปทุกที เซี่ยหย่งอี้จึงยอมถอยห่าง นั่นจึงทำให้คนที่ไม่เคยถูกจุมพิตถึงกับรีบเผลอเรียวปากนุ่มสูดเอาลมหายใจเข้าท้องด้วยกิริยามูมมาม
ทว่าเพียงไม่นานเท่านั้นเรียวปากแกร่งของคนเอาแต่ใจคนเคยตัวก็กดจุมพิตลงมาหาอีกครา อย่างอ่อนหวานและเว้าวอน ดูดดื่มยิ่งกว่าเดิมมากมายยิ่งนัก ทำเอาเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาสติหลุดลอยเผลอหลับตาพริ้มเผลอไผลคล้อยตามไปกับคนตัวโตที่ล่อลวงนางด้วยสัมผัสอ่อนหวานละมุนละไมที่เขามอบให้ ใบหน้างดงามหนึ่งไม่เป็นสองรองจากผู้ใดแหงนเงยขึ้นรับการปรนเปรออันซาบซ่านนั้นอย่างไม่รู้ตัวสักนิด
แม้ในคราแรกเด็กสาวจะต่อต้านเพราะความดิบเถื่อน ที่อีกฝ่ายลงมือ ทว่าสุดท้ายเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาก็พ่ายแพ้ให้แก่ความช่ำชองอย่างราบคาบยอมมอบจุมพิตแรกแห่งวัยสาวให้กับอสุราร้ายกาจนาม’ เซี่ยหย่งอี้’ ได้เชยชม จนสมใจด้วยชั้นเชิงของบุรุษที่มีมากกว่าจนนางไม่สามารถต้านทานได้เลย ซ้ำร้ายตนเองยังหลงระเริงไปกับความวาบหวามซ่านทรวงที่ท่านแม่ทัพหนุ่มปรนเปรอให้อีกด้วย
เนิ่นนานกว่าจุมพิตอันแสนเร่าร้อนผสานไปกับอ่อนหวานจะยุติลง เด็กสาวหอบหายใจแรงในยามที่เรียวอวบอิ่มถูกปล่อยให้เป็นอิสระ กายบอบบางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายบอบบางไปซบหน้าอกแข็งแกร่ง เพียงแค่ถูกเขาจุมพิตเท่านั้น นางก็แทบจะไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตนเอง ดวงตาที่กลมโตเพราะมีบิดาเป็นบุรุษนอกด่านบัดนี้ฉ่ำแวววาวไปด้วยน้ำตาเมื่อนางรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปนั้นไม่ต่างจากสตรีใจง่ายนางหนึ่งเอาเสียเลย
ปากบอกว่าไม่อยากตบแต่งไปเป็นอนุภรรยา แต่เมื่อครู่นางกลับคล้อยตามเขาไปโดยง่ายหลงระเริงไปกับสิ่งที่เขาปรนเปรออย่างง่ายดาย หลงลืมคำสั่งสอนของมารดาบุญธรรมเรื่องให้รักนวลสงวนตัวให้รักศักดิ์ศรีของสตรีอย่าได้ใจง่ายปล่อยกายใจให้บุรุษแตะต้องโดยง่ายเพราะจะทำให้ตนเองดูแสนง่ายและไร้ค่าในสายตาของบุรุษเหล่านั้นและเมื่อเขาได้นางอย่างง่ายดายก็จะเบื่อหน่ายมิเห็นคุณค่า ช่างน่าละอายเหลือเกิน นางยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บใจตนเองที่ไม่สามารถต้านทานต่อสัมผัสที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงของบุรุษได้เลย
ซึ่งเด็กสาวคงมิทราบว่าตลอดมามารดาบุญธรรมเลี้ยงดูนางให้อยู่แต่ในกรอบและปกป้องเกินไป ดังนั้นถึงนางจะเติบโตเข้าวัยสิบหกหนาวแล้วแต่เล่ห์เหลี่ยมกลับสิ้นไร้แล้วนางจะเอาปัญญาใดไปต่อต้านบุรุษเต็มวัยเช่นเซี่ยหย่งอี้ที่มากวัยกว่านางถึงสิบสองปีไปได้
คนตัวน้อยหอบหายใจสะท้านพลางกลืนก้อนสะอื้นลงท้องไปอย่างคับแค้นใจตนเองอย่างยิ่ง มือบอบบางพยายามจะผลักดันหน้าอกแกร่งให้ออกห่าง ทว่าเซี่ยหย่งอี้กลับไม่ยอมปล่อย’ กระต่ายน้อย’ ของตนเองออกจากอ้อมแขนโดยง่าย เขาใช้ปลายนิ้วช้อนปลายคางเรียวขึ้นมาเพื่อให้สบตากับเขา หากแต่ซูผิงหลัวกลับเมินหลบ ขณะที่สองแก้มนั้นร้อนจัดราวกับตนเองกำลังเป็นไข้หนัก เรียวปากจิ้มลิ้มบัดนี้บวมเจ่อและร้อนผะผ่าวกัดเข้าหากันแน่นเพื่อข่มความสะเทิ้นเขินอาย ก่อนจะย่นลำคอหนีเมื่อเขาลดใบหน้าคมคร้ามลงมาใกล้จนลมหายใจร้อนรินรดผิวแก้มใส ใจดวงน้อยพลันเต้นระส่ำระสายรุนแรงคล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้ทว่ากลับไม่เป็น
กิริยาน่ารักน่าเอ็นดูของ’ กระต่ายน้อย’ ทำให้เซี่ยหย่งอี้ถึงกับกระตุกเรียวปากแย้มยิ้มอย่างพึงใจยิ่งนัก โดยเฉพาะแววตาคู่สวยราวดวงตาของสตรีนั้นยิ่งปรากฏชัดเจนว่าเขาพึงใจต่อตัวของว่าที่อนุภรรยาตัวนุ่มและหอมผู้นี้มากมายเพียงใด ใบหน้าหวานแต่สีผิวเข้มนั้นไม่ยอมผละห่างลากลูบไล้ลมหายใจไปยังใบหูขาวผ่องขบเม้มกัดแผ่วเบาแล้วกระซิบถามด้วยน้ำเสียงพร่า
“ไอ้เจ้าหมอหลวงหน้าจืดนั่นมันมิเคยสั่งสอนเจ้าจุมพิตบ้างหรือไร”
แม้จะมั่นใจว่าตนคือจุมพิตแรกของเด็กสาวแต่คนปากร้ายก็อดใจจะกล่าววาจาแดกดันไปถึงเจ้าบุรุษสมควรตายบน่าตัดมือของมันที่บังอาจมาแตะต้องสตรีของเขาไปโยนให้สุนัขป่ากินยิ่งนัก!
ทว่าคำถามเช่นนั้นของเขากลับกระชากสติที่ยังไม่เต็มสิบส่วนของซูผิงหลัวกลับคืนมาครบถ้วนนางเจ็บจี๊ดและแค้นเคืองที่คำถามดังกล่าวมันช่างหยามหมิ่นกันอย่างยิ่ง แค่เขาเรียกนางมาข่มเหงรังแกก็ว่ามากมายไปด้วยความร้ายกาจแล้ว บัดนี้พอเขาได้ทำสมใจกลับพูดวาจาดูถูกดูหมิ่นกันอีก!
...ตุ๊บ!...ผลัวะ!...
เด็กสาวจึงตอบเขาเป็นกำปั้นหนึ่งหมัดกับการกระทืบเท้าของท่านแม่ทัพเซี่ยเต็มแรงเป็นผลให้คนไม่ทันตั้งตัวเผลอคลายอ้อมกอดที่รัดแน่น จน’ กระต่ายน้อย’ สะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีหายไปอย่างเร็วไว
“หึ...หึ...หึ...ช่างร้ายกาจยิ่งนักกระต่ายน้อยของข้า”
ถึงจะเจ็บทว่าไม่มากหากเทียบกับจุมพิตแสนหวานถูกนางชกมาหนึ่งหมัดก็นับว่าการค้านี้เขามีกำไรอยู่มากโขเซี่ยหย่งอี้จึงหัวเราะทั้งที่เจ็บมุมปากและคาดว่ามันคงแตกเพราะได้กลิ่นคาวเลือดอีกด้วยนับว่าหมัดหนักใช่น้อยแม่กระต่ายป่าขี้ตื่นของเขา...