ตกถึงปลายยามเว่ยซูผิงหลัวก็กลับมาถึงจวนท่านอัครมหาเสนาบดีเซี่ยด้วยกิริยาเหงาหงอยเศร้าสร้อย ก็นางเพียงเด็กสาวอายุสิบหกปี เพื่อนสนิทก็แทบไม่มีขนาดชุนซื่อสาวใช้รุ่นพี่ก็ยังไม่เข้าอกเข้าใจของนางได้เท่าเย่เจาสิง พอบัดนี้นอกจากต้องจากบ้านที่คุ้นเคยต้องจากมารดาบุญธรรมที่เป็นดังเกาะเหล็กแข็งแกร่งคุ้มภัยของนางมาถึงสิบสองปีไปไกลถึงหยางโจวเพียงลำพังกับบุรุษที่พบหน้าของนางในยามใดก็ทำดังชิงชังรังเกียจนางหนักหนามันย่อมทำให้ซูผิงหลัวกลับจวนมาด้วยกิริยาห่อเหี่ยวดังไก่ป่วยใกล้สิ้นใจก็มิปาน
“คุณหนูซู ท่านแม่ทัพสั่งความเอาไว้ว่าหากท่านกลับมาจากข้างนอกแล้วให้ไปพบที่เรือนม่านพยัคฆ์เจ้าค่ะ”
ทว่าเพียงเท้าเรียวบอบบางแตะลงยังพื้นหน้าจวนสาวใช้ประจำเรือนม่านพยัคฆ์ก็มายืนดักรอนางราวกับทราบถึงเวลาที่นางจะกลับเข้าจวน ซึ่งมิใช่เพียงซูผิงหลัวที่ตกใจตัวของชุนจื่อสาวใช้ข้างกายของ’ คุณหนูซู’ เองนั้นก็แตกตื่นตกใจอาจมากกว่าผู้เป็นคุณหนูเสียอีกเพราะที่วันนี้ซูผิงหลัวออกไปพบผู้ใดนางย่อมรู้เห็นเป็นใจทั้งสิ้น ก็สำหรับนางย่อมสงสารคุณหนูของตนยิ่งนักที่ต้องพลัดพรากจากคนรักแล้วห่างไกลแยกย้ายกันไปนับพันลี้ ทว่าเพียงกลับถึงจวนท่านแม่ทัพเซี่ยที่สิบสองปีไม่เคยเรียกพบคุณหนูซูที่ขนาดในยามแรกที่รับเด็กเป็นบุตรีบุญธรรมของใต้เท้าเซี่ยชายหนุ่มยังไม่ยินยอมให้ผิงหลัวใช้แซ่เซี่ยแต่ให้นางไปใช้แซ่ซูตามซูเยว่ผิงนั่นย่อมบ่งบอกได้ทางอ้อมถึงการไม่ยินดีที่จะรับเด็กสาวมาเป็นน้องสาวบุญธรรม คิดเช่นไรเหตุการณ์ตรงหน้าก็มิธรรมดาแล้วแน่นอน
“เจ้าค่ะพี่หรู” ซูผิงหลัวขยับกายแล้วก้มศีรษะรับคำสาวใช้รุ่นใหญ่ใกล้เคียงรุ่นน้าด้วยกิริยานอบน้อมเพราะนางเจียมตนเองดีว่าตนเองมีฐานะใดภายในจวนเซี่ยแห่งนี้
“คุณหนู” ชุนจื่อจับแขนเล็กของผู้เป็นนายกระตุกเล็กน้อยอย่างจะเตือนว่าสมควรไปรายงานซูเยว่ผิงก่อนดีหรือไม่เพราะผู้ใดเล่าจะไม่ทราบถึงอารมณ์ร้อนร้ายและแสนจะเอาแต่ใจของเซี่ยหย่งอี้บ้างก็ขนาดนายท่านเซี่ยเองหากบุตรชายไม่พึงใจท่านผู้เฒ่ายังต้องยอมอ่อนข้อให้เลย
“ท่านแม่ทัพกำชับว่าหากคุณหนูซูกลับมาถึงจวนให้ตรงไปยังเรือนม่านพยัคฆ์เลยเจ้าค่ะห้ามแวะไปทางใดก่อนทั้งสิ้น”
สาวใช้นามหรูอินกล่าวดักทางคล้ายจะเท่าทันความคิดของซูผิงหลัวและชุนจื่อราวมานั่งอยู่กลางดวงใจของทั้งคู่จนเด็กสาวหันไปมองหน้าสาววัยยี่สิบสามปีเช่นชุนจื่อราวกับจะปรึกษากันทางสายตาซึ่งอีกฝ่ายก็มองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยแต่มิอาจจะทำอันใดได้เช่นกัน
“เจ้าไม่ต้องตามไปท่านแม่ทัพกำชับว่าให้เป็นคุณหนูซูที่ไปพบเพียงลำพังเท่านั้น”
หรูอินเอ่ยขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าชุนจื่อขยับกายจะติดตามผู้เป็นนายตรงไปยังฝั่งปีกตะวันตกที่เป็นส่วนของเซี่ยหย่งอี้ที่ต้องการจะพบว่าที่อนุภรรยาตัวน้อยชนิดเร่งด่วน
“เร่งไปเถิดเจ้าค่ะคุณหนูซูท่านแม่ทัพไม่ชอบที่จะเป็นฝ่ายรอผู้ใดหรือสิ่งใดนานนักเจ้าค่ะ”
หรูอินที่มีวัยสามสิบเจ็ดปีอยู่ดูแลเซี่ยหย่งอี้มานับตั้งแต่เขายังเด็กกล่าวตักเตือนเด็กสาวทิ้งท้ายอีกประโยคแล้วจึงดึงเอาตัวของชุนจื่อไปกับนางด้วย ถึงจะสงสารผสานเอ็นดูซูผิงหลัวที่นับกันตามศักดิ์แล้วนางย่อมเป็นนายน้อยผู้หนึ่งของจวนสกุลเซี่ยแห่งนี้ต่อให้นางจะเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของฮูหยินเอกแต่เพียงเท่านั้นนางก็สูงส่งกว่าสาวใช้หรืออนุภรรยาทั้งหลายของนายท่านเซี่ยแล้ว
ยิ่งในจวนนี้ไม่มีคุณหนูและคุณชายอื่นใดมีเพียงเซี่ยหย่งอี้เป็นคุณชายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นฐานะของซูผิงหลัวจึงยิ่งเป็นรองก็แค่เพียงนายท่านเซี่ยท่านแม่ทัพเซี่ยและฮูหยินเซี่ยเท่านั้น ทว่าตลอดสิบสองปีที่ผ่านมาเด็กสาวผู้นี้กลับเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างยิ่งมิเคยแสดงกิริยายกตนข่มท่านเลยสักครา
ทุกผู้ในจวนนี้จึงทั้งรักและเอ็นดูนางมาก หากแต่รักและเอ็นดูก็ส่วนหนึ่งหวาดกลัวโทสะของเซี่ยหย่งอี้ก็อีกส่วนหนึ่งดังนั้นแม้แต่ชุนจื่อเองยังต้องทอดทิ้งนายน้อยของตนแล้วติดตามสาวใช้รุ่นพี่ไปปล่อยให้ซูผิงหลัวยืนเคร้งคว้างอยู่ตรงกลางลานหน้าจวนอย่างเดียวดายเป็นครู่เลยทีเดียว
“เฮ้อรีบไปดีกว่านะอาผิงประเดี๋ยวรอนานไปพยัคฆ์พิโรธคนที่จะเดือดร้อนย่อมมีเพียงเจ้านะ”
เด็กสาวกระซิบกระซาบบอกแก่ตนเองแผ่วเบาแล้วยังพยักหน้าสำทับความคิดนั้นหงึกหงักแล้วเร่งฝีเท้าเรียวเล็กให้เร็วขึ้นเพราะหากมัวชักช้าเขามีโทสะที่จะเดือดร้อนและถูกตำหนิย่อมมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นก็มิใช่เพียงสาวใช้นางเองย่อมทราบดีว่าท่านแม่ทัพเซี่ยนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดและดุดันมากเพียงใด ขนาดตลอดมาสิบสองปีนางมองเห็นเขาอยู่ชนิดห่างไกลยังน่ากลัวจนนางไม่คิดจะเฉียดใกล้มาโดยตลอดดังนั้นในสามวันก่อนที่นางตื่นขึ้นมาบนเตียงของเขาจึงแทบสลบหมดสติไปไม่พอยังสติแตกร้องไห้ราวคนเสียสติเช่นนั้น
ทุกก้าวที่เท้าเรียวพานางเดินเข้าใกล้ยังเรือนม่านพยัคฆ์นางมีเพียงความกังวล ผสานไปด้วยความหวาดกลัวและประหม่า ยอมรับจากใจว่านางยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเซี่ยหย่งอี้ในยามนี้เลยโดยเฉพาะต้องเผชิญหน้ากันเพียงลำพังเช่นนี้ นางยังจดจำภาพแววตาเกลียดชังเมื่อสามวันก่อนได้ติดตาแล้วยังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธตวาดกึกก้องก็ยังติดหูไม่รู้หาย
ในที่สุดนางก็มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของตัวเรือนม่านพยัคฆ์ ปกติแล้วซูผิงหลัวนั้นหากหลีกเลี่ยงได้ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมเดินผ่านมายังเรือนนอนฝั่งตะวันตกแห่งนี้ต่อให้มันจะเป็นทางลัดไปยังเรือนนอนของนางก็ตามแต่เด็กสาวก็เลือกจะเดินผ่านไปทางอ้อมมากกว่า
ดังนั้นวันนี้หากไม่นับรวมเมื่อสามวันก่อนบัดนี้เพียงตนเองมายืนอยู่ด้านหน้าเรือนนอนแห่งนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วกายไปหมดแล้วยิ่งหันมองรอบกายแล้วบรรยากาศที่สงบเพราะปกติแล้วในยามที่เซี่ยหย่งอี้กลับมาพักที่จวนเซี่ยส่วนนี้คือส่วนต้องห้ามที่สุดของคนในจวน
นางถึงกับมือไม้เย็นเฉียบไปหมด ดวงใจเริ่มมีแต่ความประหม่ามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับ’ เหวินลู่’ นางจึงเดินตรงเข้าไปหาเขาเพื่อแจ้งแก่อีกฝ่ายให้เขาไปรายงานท่านแม่ทัพที่ดุจนพยัคฆ์ยังหวาดกลัวได้ทราบว่านางมาถึงแล้ว
“เอ่อท่านนายกองเหวินรบกวนไปแจ้งท่านแม่ทัพว่าผิงหลัวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคุณหนูซูได้โปรดรอสักครู่นะขอรับข้าจะไปเรียนท่านแม่ทัพให้เดี๋ยวนี้”
“ลำบากท่านนายกองเหวินแล้ว”
“คุณหนูซูเกรงใจไปแล้ว”
กล่าวจบเหวินลู่ก็เร่งเดินเข้าไปแจ้งแก่ผู้เป็นนายของตนเองให้ทราบว่าสตรีซึ่งเขารอคอยด้วยความร้อนใจบัดนี้มาถึงแล้วเด็กสาวมองตามแผ่นหลังของทหารรับใช้คนสนิทของเซี่ยหย่งอี้ไปจนลับสายตา
“เชิญขอรับคุณหนูซู”
ผ่านไม่เพียงหายใจได้สักสามครั้งเหวินลู่ก็ย้อนกลับมาโค้งกายพลางหงายฝ่ามือเชื้อเชิญนางด้วยกิริยาสำทับ ซูผิงหลัวมองบานประตูหนาหนักอย่างกับจะมองให้มันทะลุทะลวงผ่านไปเห็นถึงคนภายใน ทว่ามันย่อมมิอาจเป็นไปได้นางจึงทำได้เพียงระบายลมหายใจเสียงหนัก
สุดท้ายแม้ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเซี่ยหย่งอี้มากเพียงใดแต่นางก็ไม่กล้าหาญมากพอที่จะขัดคำสั่งของเขาได้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็กำลังจะเป็นสามีของนางหรือต่อให้เขามิใช่ว่าที่สามีแต่แค่เพียงฐานะคุณชายใหญ่แห่งสกุลเซี่ยนางซึ่งเป็นผู้อาศัยจะไปบังอาจต่อกรได้ที่ใดกัน
มือเรียวเล็กสั่นระรัวในยามที่ผลักบานประตูตรงหน้าที่หนาหนักให้เปิดออกกว้าง แล้วก้าวเข้าไปด้านในด้วยแข่งขาที่สั่นสะท้านไม่มั่นคงเลยสักนิด ยิ่งเข้ามาอยู่ในบรรยากาศสีดำมืดทะมึนกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกของเด็กสาวหวาดกลัวราวกับกำลังก้าวเข้าสู่ถ้ำของพยัคฆ์ร้ายก็มิปาน ลมหายใจของนางพลันสะดุดเมื่อสายตาของนางพุ่งเข้าไปปะทะเข้ากับกายสูงใหญ่ที่กำลังยืนหันแผ่นหลังบึกบึนทะมึนราวกับราชาปีศาจร้ายรอคอยจะฉีกกระชากร่างกายน้อยๆ ของนางก็มิปาน…
แต่สุดท้ายซูผิงหลัวนั้นก็พาเท้าบอบบางในรองเท้าผ้าไหมเนื้อนุ่มก้าวเข้ามาหยุดยืนสงบเสงี่ยมที่กลางห้องโถงกลาง มือบอบบางจับประสานกันเอาไว้แน่นเรียวปากสีหวานเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่า และเพียงเขาเริ่มขยับกายก็ทำเอาร่างน้อยผวาเฮือกทำเอาลมหายใจนั้นกลับสูดลงไปไม่เต็มท้อง ด้วยอารามตกใจในยามที่เซี่ยหย่งอี้นั้นหันมาเผชิญหน้าด้วยทำเอาเท้าเรียวเล็กเผลอก้าวถอยหลังไปถึงสามก้าวแต่สุดท้ายนางก็สูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มท้องอีกครั้งก่อนจะเรียกสติเตือนให้ตัวเองกลับมาสงบเยือกเย็นคล้ายกับตนเองนั้นปกติดีที่สุดทั้งที่ภายในใจของนางนั้นกำลังเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
…พยัคฆ์จะสนุกนักในยามที่’ เหยื่อ’ หวาดกลัว…
“ท่านแม่ทัพต้องการพบผิงหลัวมีสิ่งใดจะให้ผิงหลัวรับใช้หรือเจ้าคะ”
น้ำเสียงอ่อนหวานและใสกังวานดังระฆังแก้วเอ่ยถามด้วยวาจาแสนสุภาพและเคารพยำเกรง ส่วนดวงตากลมโตนั้นหลุมลงมองเพียงปลายเท้าของตนเองเท่านั้นเพราะนางกลัวว่าจะเหลือบขึ้นไปมองแล้วพบเข้ากับสายตาอำมหิตดุดันดังที่นางเห็นระยะไกลก็กลัวจนหัวหด
แต่ถึงนางจะไม่มอง ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความน่ากลัวจากอีกฝ่ายที่กำลังจับจ้องมาที่นางอย่างชัดเจนจากแต่เดิมที่นางก็แทบไม่กล้าเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้อยู่แล้วพอยิ่งบังเกิดเหตุการณ์ชวนกระอักกระอ่วนเมื่อสามวันก่อนนี้ด้วยแล้วกลับยิ่งทำให้นางไม่กล้าจะพบเจออีกฝ่ายมากไปอีกหลายส่วน
ดวงตาคมกริบของเซี่ยหย่งอี้กวาดมองไปที่เจ้าของเรือนกายอรชรน่าทะนุถนอมในอาภรณ์เรียบร้อยสีฟ้าอ่อนเก็บซ่อนส่วนเว้าส่วนโค้งของวัยสาวน้อยแรกรุ่น เส้นผมยาวสลวยถูกรวบเอาไว้เพียงครึ่งศีรษะแล้วประดับด้วยปิ่นหยกเนื้อดีแต่ก็เรียบง่ายช่วยเปิดเผยใบหน้าสวยหวานที่ไร้เครื่องประทินโฉมใดเช่นคุณหนูสกุลใหญ่ในจวนอื่น
แต่เขากลับชอบที่ใบหน้าของนางดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านดูแล้วสบายตาเย็นใจดีอย่างยิ่งขณะเดียวกันความสะอาดหมดจดนี้กลับมีความเย้ายวนใจโดยธรรมชาติมิต้องปรุงแต่งแม้แต่น้อยทำให้มุมปากสวยของคนที่เพียงได้กลิ่นหอมอ่อนของกล้วยไม้กับใบหน้าใสสะอาดเขาก็พลัน’ ร้อนรุ่ม’ โดยที่นางทำเพียงยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัวเท่านั้นก็พลันกระตุกด้วยความพึงใจอย่างยิ่งกับว่าที่’ อนุภรรยา’ ที่เขาเองยัดเยียดตำแหน่งดังกล่าวให้แก่นางไม่ว่านางจะเต็มใจก็ดีไม่สมัครใจก็ช่างแต่ในเมื่อเขาพึงใจอยากได้นางเขาก็ย่อมต้องได้!
“วันนี้เจ้าช่างทำเรื่องหยามหน้าของข้ายิ่งนักรู้ตัวหรือไม่ซูผิงหลัว!?”
เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ในขณะที่เท้าแกร่งก็ก้าวตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับคนที่ยืนทำตัวเองให้ลีบเล็กที่สุดอยู่กลางห้อง ซูผิงหลัวเงยหน้าขวับขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างแตกตื่นนางจึงได้เห็นสีหน้าเรียบขรึมที่มิได้เก็บซ่อนความคุกรุ่นมากมายเอาไว้สักนิด เพราะบัดนี้เซี่ยหย่งอี้นั้นกำลังนึกไปถึงภาพหอฝูหรงที่ซูผิงหลัวนั้นอยู่กับเย่เจาสิงด้วยกิริยาสนิทสนมจนเขายากจะทำใจยอมรับ
“จะ…เจ้าคะ? …ท่านแม่ทัพหมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ? …”
ซูผิงหลัวนางช้อนใบหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามไปพลางก็เอ่ยปากถามออกไปอย่างไม่เข้าจริงแท้ว่าตนเองไปกระทำการหยามหน้าอีกฝ่ายตั้งแต่ในยามใดกัน? เซี่ยหย่งอี้มองดูดวงตากลมโตใสซื่อที่มองตรงมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจจริงจังก็ยิ่งทำให้เขายิ่งเดือดดาลเพราะคิดว่านางเสแสร้งปั้นแต่งเก่งดังมารดาบุญธรรมของนางเช่นกัน
เขาจึงแสยะยิ้มราวสมเพชหนักหนาดวงตาสีดำสนิทกวาดมองกายอรชรของซูผิงหลัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างจาบจ้วงทำเอาคนถูกมองถึงกับใบหน้าร้อนวูบวาบเต็มไปด้วยความไม่พึงใจอย่างยิ่ง ก่อนที่นางจะรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัย กับท่าทางคุกคามจนนางนั้นอยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปห้องนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความน่ากลัวของเซี่ยหย่งอี้ก็ทำให้ซูผิงหลัวนางไม่กล้าจะทำตามใจของตนเองเช่นนั้น
“ฮึ!…ทำเป็นใสซื่อเหมือนน้ำค้างบนยอดหญ้าในยามอรุณรุ่งแต่ที่แท้เจ้ามันก็น้ำล้างห้องสุขาโสมมดีๆ นี่เอง”
ถ้อยคำเปรียบเทียบแสนร้ายกาจถูกเปล่งออกด้วยน้ำเสียงเข้มและห้วนสั้นดุดัน ภายในแววตาคมกริบนั้นก็ดุเข้มขึ้นอย่างน่าหวาดเกรงในยามที่เขามองตรงมาที่ใบหน้างดงามของนางแล้วภาพที่เย่เจาสิงทั้งกุมมือทั้งทัดผมแล้วยังลูบหลังลูบหัวไหล่บอบบางนั้นฉายชัดเข้ามาในหัวความกรุ่นโกรธของเซี่ยหย่งอี้มันก็ปะทุเดือดขึ้นมาในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขออภัยนะเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ทว่าผิงหลัวเป็นสตรีโง่เขลาหากท่านแม่ทัพจะด่าทอกรุณาด่าอย่างตรงไปตรงมาเถิดหาไม่ผิงหลัวย่อมมิแจ้งใจว่าท่านแม่ทัพกำลังด่าทอหรือชื่นชมผิงหลัวอยู่นะเจ้าค่ะ”
“!!!”
เซี่ยหย่งอี้ถึงกับเสีย กิริยามิคาดว่าเด็กหน้าซื่อตาใส่จะบังอาจกล่าววาจายอกย้อนตนเองที่มากวัยกว่านางถึงสิบสองปีได้ แถมนางยังคงความหน้าซื่อบื้อและดวงตาใสแจ๋วราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้นเช่นนี้อีก ทางฝ่ายคนที่บังอาจไปถอนขนพยัคฆ์นั้นก็เผลอก้าวถอยไปด้านหลังทีละก้าวด้วยสีหน้าเริ่มจะไม่ค่อยดี ภายในใจนั้นก็เต้นระรัวยิ่งกว่าแรกเริ่มที่ตนเองก้าวเข้ามายังถิ่นของเขา เพราะความหวาดกลัวจับจิตจับใจเมื่อเท้าแกร่งนั้นก้าวเดินตรงเข้ามาหานางอย่างไม่น่าไว้วางใจอดจะคิดอยากตบปากตนเองเสียมิได้ที่ไปกล่าววาจาไม่สมควรเมื่อครู่แต่นางมันนิสัยเสียห้ามปากตนเองไม่ได้จริงๆ
“ปากกล้ามิใช่น้อยนี่ซูผิงหลัว...ในเมื่อปากกล้ายิ่งนักใจของเจ้าก็คงกล้ามิแตกต่างกระมัง?” กล่าวเนิบนาบ ทว่าเต็มไปด้วยแรงโทสะคุกรุ่นที่ลอยกำจายออกมาจากกายทะมึนนั้นจนมือเล็กที่กุมกันไว้เย็นเฉียบไปหมดแล้ว
“จะถอยหนีไปไย เจ้าปากกล้ามิใช่หรือ ปากกล้าใจย่อมต้องกล้าหาญด้วยสิซูผิงหลัว”
เซี่ยหย่งอี้ยกยิ้มเหี้ยมเกรียมและร้ายกาจเมื่อเห็นกิริยาราวกระต่ายตัวน้อยกำลังตื่นกลัวของเด็กสาว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสคู่งามของนางกำลังไหวระริก ทว่านั่นมิได้ทำให้ท่านแม่ทัพหนุ่มอยากมอบความปรานีให้แก่นางเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับกำลังสนุกราวกับในยามออกล่าก็มิปาน
เท้าแกร่งคู่นั้นขยับก้าวรุกไล่เข้าไปประชิดกายน้อยของซูผิงหลัวมากขึ้นและมากขึ้น ทว่าพอได้เห็นกิริยาของอีกฝ่ายที่ดูหวาดกลัวเขาจริงจังจนสั่นเทาไปหมด ดวงตากลมโตราวกระต่ายป่าคู่นั้นก็สอดส่ายไปมาดังกับกำลังหาหนทางหลบหนีไปจากเขาด้วยความรังเกียจและไม่อยากอยู่ใกล้ผิดกับในยามที่นางอยู่กับเย่เจาสิงที่ยิ้มแย้มหัวเราะสดใสดวงใจของท่านแม่ทัพหนุ่มก็ร้อนราวถูกไฟจี้
“ในยามอยู่กับไอ้หมอหลวงหน้าอ่อนนั่นเจ้าทั้งยอมให้มันชิดใกล้ทั้งจับมือทั้งลูบผมสัมผัสแนบชิดคลอเคลียไม่อายฟ้าไม่อายดินแต่กับข้าที่กำลังจะเป็นสามีเจ้ากับทำท่ารังเกียจและหวาดกลัวจนตัวสั่นหึ!”