บทที่4///...หึงหวงจนหน้ามืดไปหมดแล้ว!...

3105 คำ
เจ้าของกายสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศของแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินต้าฉู่ก้าวลงจากรถม้าคันโตสมเกียรติประทับตราเด่นหราว่า’ สกุลเซี่ย’ ยังหน้าหอฝูหรง เหลาอาหารและสุราอันดับหนึ่งแห่งมหานครอานเล่อ วันนี้หลังจากไปเข้าเฝ้ารายงานทางการทหารที่ค่ายหยางโจวแล้วเซี่ยหย่งอี้กับสหายรักเช่นถังเจี้ยนป๋อก็มีนัดดื่มสุรากันที่หอฝูหรงแห่งนี้ต่อ ซึ่งสำหรับเขาและถังเจี้ยนป๋อนั้น นอกจากเขาจะเป็นคุณชายรองของท่านเจ้ากรมกลาโหมถังแล้วเขายังเป็นสหายร่วมการค้าของเขาอีกด้วยเพราะอยู่ที่หยางโจวนั้นนอกจากจะเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดแห่งค่ายแล้วเขายังมีไร่ชาอีกหลายพันหมู่เรียกว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยทรัพย์สินของสกุลเซี่ยเลยเขาก็ยังร่ำรวยมากจนกินใช้ไปอีกร้อยชาติก็อาจไม่หมด ด้วยกิริยาสุขุมผสานไปกับใบหน้าหวานราวสตรีแต่ก็ลงตัวกับกายกำยำสูงใหญ่ทำให้ทุกก้าวที่เซี่ยหย่งอี้และทหารคนสนิทที่คอยติดตามเช่น’ เหวินลู่’ ทั้งชวนมองและน่าหวาดเกรงไปในเวลาเดียวกัน หากแต่ในจังหวะที่เท้าแกร่งกำลังจะก้าวผ่านขึ้นไปยังชั้นที่สองที่นัดกับถังเจี้ยนป๋อเอาไว้ด้วยสายตาคมและว่องไวราวกับเหยี่ยวทะเลทรายก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังบอบบางที่เขาเห็นเพียงเท่านั้นก็จดจำได้ราวกับว่าภาพของนางสลักลึกลงไปในความทรงจำยากจะลบเลือนอย่างไรอย่างนั้น “มีอันใดหรือขอรับท่านแม่ทัพ” เมื่อผู้เป็นนายหยุดฝีเท้าเหวินลู่เองย่อมต้องหยุดมองไปด้วย แล้วสายตาของเขาก็ไปปะทะกับคุณชายรองเย่ผู้ที่หล่อเหลาขาวสะอาดสมกับเป็นหมอหลวงที่ยังหนุ่มแน่นวัยนั้นเท่าที่เขาทราบคุณชายรองเย่เหมือนจะเพิ่มเต็มยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น เห็นความหล่อเหลาขาวสว่างกระจ่างใสแม้จะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเย่เจาสิงก็ยังโดดเด่นไม่แปลกที่สตรีสาวครึ่งค่อนมหานครอานเล่อจะหมายปองอยากจะช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินของท่านหมอหลวงเย่กันเช่นนั้น “คุณชายรองเย่ ท่านแม่ทัพจะเข้าไปทักทายเขาหรือขอรับแต่วันนี้น่าแปลกคุณชายรองเย่มีนัดกับสตรีเห็นที่เหล่าสาวงามอีกครึ่งมหานครคงอยากจะฉีกเนื้อของแม่นางคนนั้นแล้วเป็นแน่” คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็พูดออกไปโดยมิคิดอันใด ทว่าคนที่คิดและบังเกิดโทสะจนใบหูร้อนถึงกับกำหมัดแน่น กลับเป็นเซี่ยหย่งอี้ เพราะถึงเขาจะกลับมาเมืองหลวงได้ไม่ถึงสิบวันแต่ข่าวการส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอซูผิงหลัวให้แก่เย่เจาสิงแน่แท้ว่าเขาย่อมรู้แจ้ง ดวงตาเรียวสวยพลันดุดันราวจะเข่นฆ่าคนได้กรามแกร่งบดเบียดเข้าหากันแน่นเมื่อความคุกรุ่นภายในปะทุขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ใบหน้าหวานนั้นก็เคร่งขรึมดุดันขึ้นไปถึงเก้าส่วนจากปกติเซี่ยหย่งอี้ก็ชอบทำหน้าดุดันให้สมกับที่ตนเองเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว …หึ!.... ถึงกับนัดแนะบุรุษมาพบกันยังนอกจวนเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรในเมื่ออีกไม่กี่วันนางก็ต้องแต่งให้กับเขาแล้ว ช่างบังอาจเกินไปจริงแท้นะซูผิงหลัว! “กลับ!!!” “!!!” เหวินลู่ถึงกับตกใจจนแทบหงายหลังลงมาจากบันไดขั้นที่สามเมื่อผู้เป็นนายยังไม่ทันขึ้นไปถึงยังสถานที่นัดหมายก็มาปึงปังแล้วจะกลับเสียเดี๋ยวนี้ “อ้าว….เอ่อ…แล้วคุณชายถังเล่าขอรับ” เดินไปอีกไม่ถึงยี่สิบก้าวก็จะถึงห้องที่ถังเจี้ยนป๋อเปิดจองเอาไว้รอแล้วโดยแท้ แต่จะมากลับเลยเช่นนี้การค้าที่จะเจรจามิเสียหายหลายหมื่นตำลึงหรือไรกัน “ชาที่ไร่ของข้าเป็นชาชั้นดีหากเขาอยากจะร่วมการค้ากับค้าเขาก็เสนอหน้าไปพบข้าที่จวนเองนั่นแหละมากความจริงกลับ!!” เหวินลู่ถึงกับอ้าปากค้างอีกรอบกับความคิดอันแสนจะประหลาดล้ำเลิศของท่านแม่ทัพใหญ่ของตนเอง ก็มีอย่างที่ใดหากอยากซื้อก็ให้ตามไปที่จวนเอง …ขอรับ…ท่านแม่ทัพผู้มีใบชาดีจะเลือกเช่นไรย่อมได้!.... ทางด้านคนซึ่งตกเป็นเป้าสายตาและเป้าแห่งเพลิงโทสะของว่าที่สามีนั้นจะเป็นผู้ใดไปได้อีกหากมิใช่ซูผิงหลัว ที่วันนี้นางได้นัดกับสหายรุ่นพี่เช่นเย่เจาสิงที่คนแทบครึ่งมหานครต่างเข้าใจว่านางและเขาคือคนรักที่ใกล้จะมีงานมงคลในหนาวนี้เป็นแน่ ให้มาพบกันเพื่อจะบอกข่าวร้ายแก่เขาและอยากขอคำแนะนำที่ดีจากคนที่นางนับถือดังพี่สาวผู้หนึ่ง “เจ้ากล่าวจริงใช่หรือไม่เจ้ามิได้คิดหยอกเย้าข้าเรียกหรอกใช่หรือไม่ลูกสาว” ในยามที่อยู่กับเพียงสองคนเย่เจาสิงนั้นมิต้องเสแสร้งเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาองอาจ เพราะสำหรับเขากับซูผิงหลัวสนิทกันมานานอาจนับได้หกปีแล้ว “ต้าเจี่ยท่านคิดว่าเรื่องเช่นนี้ข้าสมควรนำมาล้อเล่นหรือไร?” “อร้าย!...ไยจึงไม่เป็นข้าไยจึงไม่เป็นข้า” เย่เจาสิงตบเข่าตนเองฉาดใหญ่เพราะเขานั้นชมชอบบุรุษแข็งแกร่งเช่นท่านแม่ทัพหนุ่มเซี่ยหย่งอี้เรียกว่าหากได้ตกถึงท้องเขาคนราวคนได้ขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเสียเป็นแน่ “ต้าเจี่ยระวังกิริยาด้วยที่นี่หอฝูหรงคนมากจะตายไปประเดี๋ยวความลับก็แตกหรอก” “นี่อาผิงคืนเข้าหอหากเจ้าไม่สะดวกเรียกใช้บริการข้าย่อมไม่ผิดหวังนะ” ซูผิงหลัวถึงกับกลอกดวงตากลมโตไปไม่อาจทราบได้ว่านางนำเรื่องมาปรึกษา’ พี่สาว’ เช่นเย่เจาสิงแล้วมันจะได้ความอันใดบ้างดูเอาเถิดคิดแต่จะวางแผนไปเข้าหอแทนนาง คิดแล้วก็ปวดใจเสียจริง เห็นบุรุษเป็นไม่ได้น้องนุ่งก็ลืมจนสิ้น …อาผิงปวดใจ!... “พักเรื่องกินบุรุษแล้วมาช่วยอาผิงคิดก่อนว่าจะไปเจรจาตกลงเช่นไรกับท่านแม่ทัพแล้วข้าจะไม่ขาดทุน” “โอ๊ย!เพียงเข้าหอหนึ่งคืนเจ้าก็กำไรทั้งชีวิตแล้วอาผิง” ซูผิงหลัวไม่เคยคิดอยากเอาศีรษะพุ่งชนรถม้าด้านนอกให้มันตายไปหรือไม่ก็เป็นบ้าเสียสติได้เท่ากับเจรจาปรึกษาความกับเย่เจาสิงในวันนี้เลยจริงๆ “เย่…เจา…สิง!” นางไม่สมควรหวังพึ่งพิงคนเช่นเจ้าคนคลั่งบุรุษกรามแน่นเช่นเย่เจาสิงเลยให้ตายสิ แต่หากไม่มาปรึกษาเขานางก็ไร้ที่พึ่งพิง โดยเฉพาะท่านแม่บุญธรรมนางย่อมมิอาจเปิดเผยให้ทราบแผนการเป็นอนุภรรยาชั่วคราวของตนเองมิได้เด็ดขาดเพราะหากทราบนางจะถูกมัดส่งไปชายแดนชนิดไม่มีโอกาสได้เตรียมแผนหลักแผนรองไปจนถึงแผนสามสี่ห้านั่นเป็นลำดัยต่อไป นางเป็นเด็กดีของท่านแม่มาถึงสิบสองปีภาพลักษณ์นั้นจะต้องยืนยาวไป จะให้ท่านแม่บุญธรรมทราบว่าบุตรสุดที่รักเคยไปขุดศพมาผ่าศึกษาวิชาแพทย์อาจจะแตกตื่นจนเสียสติเอาได้นางจะต้องเป็น’ ผิงเอ๋อร์’ ผู้โง่เขลาและหลบอยู่เพียงด้านหลังของมารดาบุญธรรมตลอดไป… “ก็ได้…ก็ได้ข้าก็เพียงชวนคุยเรื่องไร้สาระให้เจ้าหายกังวลเท่านั้นแล้วนี่เจ้าจะออกเดินทางไปหยางโจวเมื่อใด” เย่เจาสิงนั้นหันมากล่าวจริงจังอีกครั้งซึ่งภาพดังกล่าวกลับอยู่ในสายตาของเซี่ยหย่งอี้ที่ยังคงนั่งอยู่บนรถม้าแต่แหวกม่านออกดู จนเหวินลู่ให้ปวดหัวจี๊ดกับท่านแม่ทัพของตนเองยิ่งนักไหนบอกว่าจะกลับจวนแต่ขึ้นไปนั่งร้อนอยู่บนรถม้าเหวินลู่ถอนใจแล้วถอนใจอีก “ท่านแม่ทัพขอรับเราจะไม่กลับขึ้นไปพบคุณชายถังจริงหรือขอรับ” อดใจไม่ไหวเหวินลู่ก็ต้องถามออกไปเพราะเขาไม่เข้าใจจริงจังว่าเหตุใดผู้เป็นนายของตนเองต้องมานั่งทนร้อนอยู่ในรถม้าประเดี๋ยวก็หน้าตึงประเดี๋ยวก็กำหมดกัดฟัน คล้ายกับอยากจะลุกขึ้นไป’ ซ้อม’ ผู้ใดสักคนแต่มองไปโดยรอบเขาก็ไม่เห็นศัตรูของท่านแม่ทัพสักคน “หุบปาก!” “!!!” แล้วเขาจะทำอันใดได้เมื่อถูกตวาดก้องแถมยังมองตาขวางคล้ายสุนัขกำลังคลั่งเหวินลู่จึงมิกล้าไปสอบถามก่อกวนอารมณ์ท่านแม่ทัพอีกเพราะคาดว่าเขาไม่’ หุบปาก’ เกรงว่าท่านแม่ทัพจะต้องเอาเท้าแกร่งนั้นมาหุบปากเขาเป็นแน่แท้ …ปัง!… “ข้าตัดสินใจแล้วต้าเจี่ย!” ฝ่ายซูผิงหลัวนั้นมิอาจทราบได้ว่าตนเองกำลังถูกสายตาอำมหิตของบุรุษที่ตนเองกำลังกล่าวถึงจับจ้องอยู่มิคลาดไปที่ใด ดังนั้นนางจึงยังคงก้มเข้าไปกระซิบกระซาบกับเย่เจาสิงอย่างมิระวังกิริยาหรือเรียกว่านางลืมตัวก็คงไม่ผิดนัก เพราะเคร่งเครียดเกินทน แต่งไปเป็นอนุภรรยาหน้าที่เดียวก็คือเตรียมพร้อมรอให้สามีมาเสพสุข แต่ชีวิตของนางมิได้ต้องการเช่นนั้น นางอยากทำการค้า นางอยากเป็นท่านหมอหญิง นางต้องการรักษาผู้คนที่ยากไร้ไม่มีเงินทองเข้าถึงการรักษาที่ดีแต่หากต้องเป็นอนุภรรยาความฝันนั้นยากจะทำได้อีกต่อไป “เจ้าคิดในทางที่ดีสิอาผิงที่หยางโจวเป็นชายแดนคนยากไร้ย่อมมีมาก สมุนไพรก็ย่อมหาได้ง่ายกว่าเมืองหลวงเจ้าลองพลิกสถานการณ์อันเลวร้ายให้เป็นสิ่งดีย่อมมิดีกว่าหรือ” เย่เจาสิงเอ่ยปากแนะนำคนที่เขาเห็นนางเป็นน้องสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมาโดยตลอด เพราะเช่นไรเขาก็เป็นหมอหลวงตลอดหกปีมานี้ตนเองร่ำเรียนสิ่งใดก็นำมาถ่ายทอดสั่งสอนต่อให้แก่ซูผิงหลัวมาโดยตลอดเพราะเด็กสาวมิอาจศึกษาวิชาแพทย์ได้อย่างเปิดเผยเนื่องจากท่านแม่บุญธรรมและคนทั่วทั้งแผ่นดินต้าฉู่แห่งนี้ไม่สนับสนุนหรือส่งเสริมให้บุตรสาวในเรือนไปวุ่นวายศึกษาวิชาการแพทย์ที่ชาวต้าฉู่นั้นยกให้มันเป็นอาชีพที่บุรุษเท่านั้นสามารถศึกษาได้ ส่วนบุตรีนั้นมีเพียงวิชาการเรือนเท่านั้นที่อนุญาตให้ศึกษาได้เช่นนั้นแล้วสตรีในต้าฉู่จึงมิอาจเข้าสถานศึกษาการแพทย์หลวงได้ เย่เจาสิงยังจดจำในวันที่พบกับเด็กหญิงตัวน้อยที่แอบปีนกำแพงข้ามไปยังฝั่งของสำนักศึกษาของบุรุษ ผู้ใดจะคาดกันว่าเด็กหญิงกิริยาเรียบร้อยพูดน้อยในยามที่ท่านแม่บุญธรรมของนางมาส่งก็ชอบหลบอยู่ด้านหลังจะหาญกล้าปลอมตัวเป็นเด็กชายแล้วปีนไปยังสำนักศึกษาของบุรุษไปได้ ...หึ!...อย่าได้ไว้ใจหน้าตาจิ้มลิ้มดวงตาใสซื่อผู้นี้เชียวร้ายกาจกว่าบุรุษเสียอีก.... “ท่านต้าเจี่ยกล่าวมาก็น่าคิด” ซูผิงหลัวคิดตามคำแนะนำของเย่เจาสิ่งแล้วก็ชักจะเห็นจริง หากนางไปอยู่ไกลตาท่านแม่บุญธรรมถึงหยางโจวที่ห่างไกลจากเมืองหลวงถึงพันลี้นางย่อมมีอิสระพอสมควรมิใช่หรือ คราวนี้ก็มีเพียงว่านางนั้นจะทำข้อตกลงกับเซี่ยหย่งอี้ได้หรือไม่แล้ว “แต่ขอกล่าวจากใจจริงของข้านะอาผิง ท่านแม่บุญธรรมของเจ้านี่ช่างอำมหิตเกินไปจริงๆ ที่บีบบังคับให้เจ้าแต่งไปเป็นอนุภรรยาแทนที่จะให้เจ้ามาตบแต่งเป็นฮูหยินเอกของข้า” หากกล่าวกันตามจริงอย่างคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางภายในก็ย่อมคิดเช่นที่เย่เจาสิงคิด เพราะก่อนที่ท่านแม่บุญธรรมจะบอกความลับที่ท่านใต้เท้าเซี่ยต้องการนางไปเป็นอนุภรรยาลำดับที่สิบห้าก็น้อยอกน้อยใจซูเยว่ผิงเช่นกัน ทว่าพอนางทราบความจริงจึงเข้าใจถึงความรักและความหวังดีของท่านแม่บุญธรรมอย่างลึกซึ้ง “ความจริงย่อมมีเหลี่ยมมีคมมากกว่าที่ต้าเจี่ยทราบเจ้าค่ะ” ซูผิงหลัวตัดสินใจเล่าทุกความจริงที่มารดาบุญธรรมบอกกล่าวแก่นางเพราะระหว่างนางกับเย่เจาสิงนั้นสนิทสนมกันจนสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องหรือขนาดเคยแอบลักลอบให้เย่เจาสิงไปท่องเที่ยวในหอชมบุรุษเด็กสาวก็เคยช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้งดังนั้นที่คิดแต่งกับอีกฝ่ายนางจึงคิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว นางเข้าใจเขาและเขาเองก็เข้าใจนางจึงไม่ยากที่จะร่วมชีวิตกันไปจนถึงแก่เฒ่าได้ไม่ยากเย็น “บัดซบเสียจริง!” พอเย่เจาสิงได้ฟังความจริงจากปากของคนที่ให้ตายก็ยากจะโกหกคนแล้วถึงกับตบหัวเขาอีกฉาดใหญ่ใบหน้าก็โกรธขึ้งมิใช่น้อย เพราะไม่พึงใจอย่างยิ่งที่ตาเฒ่าเซี่ยคิดไม่ซื่อกับเด็กสาวที่เติบโตมาดังบุตรสาวโดยแท้อยู่ในจวนแทนที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กสาวได้แต่งงานออกเรือนไปกับบุรุษหนุ่มที่ดี ที่ไหนได้กลับคิดเห็นแก่ตนเองจะเอาเด็กสาวไปสนองตัณหาของตนเองเสียได้ “เบาได้เบาเจ้าค่ะต้าเจี่ย ที่แห่งนี้คนมากนักดังไปย่อมไม่ดี” ซูผิงหลัวจำเป็นต้องคอยเตือนอีกฝ่ายให้ระวังตนเองเป็นระยะ เพราะบัดนี้นางกับเขามิใช่คู่หมายกันอีกแล้วจึงมิสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนั่งอยู่ภายในห้องรับรองมิดชิดภายในหอฝูหรงแห่งนี้ ที่วันนี้มาพบกันเพียงลำพังนางก็ยังต้องระวังตนเองแล้วระวังตนเองอีกเพราะมิต้องการให้มารดาบุญธรรมถูกกล่าวหาว่าอบรมสั่งสอนนางไม่ดีจึงวางตนไม่เหมาะสมเอาได้นั่นเอง “ก็มันน่าโมโหน้อยอยู่เสียเมื่อใดก็กล่าวกันตามจริงเจ้านั้นคือบุตรสาวบุญธรรมของเขาเช่นกัน แล้วตาเฒ่าที่คิดรวบหัวรวบหางบุตรสาวบุญธรรมเอาไปบำเรอสวาทตนเองมันสมควรหรือไรนี่ก็อายุปาเข้าไปตั้งหกสิบเข้าไปแล้วสมควรไปสวดมนต์ท่องคัมภีร์มิใช่คิดแต่จะมีอนุภรรยาไม่เลิกเช่นนี้หึ!...ตาเฒ่ามากราคะ!” เย่เจาสิงได้ด่าก็ด่าอย่างมันปากสีหน้าสีตาก็ออกกิริยาเดือดดาลเต็มที่ ซึ่งสำหรับคนที่เฝ้าจับตามองอยู่แล้วไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายด่าทอบิดาของตนเองอยู่แต่กิริยาเดือดดาลของบุรุษเช่นนี้เซี่ยหย่งอี้ย่อมเข้าใจผิดไปสิบส่วนแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่พึงใจเขาที่บังอาจไปช่วงชิงว่าที่ภรรยาของมันเสียเป็นแน่! “นี่ยังดีนะว่าท่านแม่บุญธรรมของเจ้ามีใจเมตตาต่อเจ้าอยู่มากมิเช่นนั้นข้ามิอยากจะคิดเลย” เย่เจาสิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็อดจะเอื้อมมือของตนเองไปดึงมือเรียวของคนที่เขาเอ็นดูเป็นน้องสาวอย่างปลอบประโลมเสียมิได้ ทำเอาคนแอบสังเกตการณ์ถึงกับกำหมดแน่นจนเสียงข้อนิ้วลั่นดัง’ กร๊อบ’ เลยทีเดียว “นั่นสิต้าเจี่ยหากชีวิตนี้ข้าไม่มีท่านแม่บุญธรรมป่านนี้ก็มิอาจทราบได้ว่าจะตกนรกบนพื้นดินไปอยู่ที่ขุมไหนแล้ว” ใบหน้าที่เคยสดใสพอกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เศร้าหมองลงไปหลายส่วนเพราะนับจากจำความได้ที่ปกป้องเลี้ยงดูก็คือท่านพ่อ หลังจากท่านพ่อจากไปคนที่มารับช่วงดูแลนางต่อมาก็คือท่านแม่บุญธรรมแต่เพียงผู้เดียวจึงนับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางไม่น้อย “ดังนั้นอาผิงจึงคิดว่าจะต้องมีเงิน จะต้องซื้อที่ดินสักผืน จากนั้นก็สร้างบ้านสักหลังในยามนี้ท่านแม่บุญธรรมยังสาวยังงดงามทว่าอีกไม่ถึงสิบปี ความงามย่อมโรยรา ข้าจะไม่ยอมให้ใต้เท้าเซี่ยปลดท่านแม่บุญธรรมแล้วส่งนางไปอยู่อย่างไร้ตัวตนยังท้ายจวนกว้างใหญ่นั้นเด็ดขาด” นี่แหละคือชีวิตของสตรีชาวต้าฉู่หากไม่เป็นที่พึงใจของสามีและไม่มีบ้านเดิมให้กลับ ท้ายจวนย่อมเป็นที่พักพิงในช่วงท้ายของชีวิต สตรีบางคนถึงกับโกนศีรษะละทางโลกไปเป็นซื่อไท่ก็มีใช่น้อย แต่นางจะไม่มีทางยอมให้อนาคตของมารดาบุญธรรมของตนเองตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นแน่ “เจ้าคือเด็กกตัญญู เจ้าคิดแต่สิ่งดีข้าเชื่อว่าอนาคตเช่นเจ้าจะไม่มีวันตกต่ำหรอกอาผิง” มือเรียวยาวสวยงามมือของสตรีเอื้อมไปหยิบเส้นผมที่ตกลงมาบังใบหน้างดงามไปทัดใบหูให้อีกฝ่ายซึ่งกิริยาเหล่านี้เย่เจ้าสิงทำมันจนชินเป็นนิสัยเนื่องจากเอ็นดูอีกฝ่าย แต่ในสายตาของเซี่ยหย่งอี้กิริยาเหล่านี้มันคือกิริยาของบุรุษที่ตัดอาลัยอาวรณ์มิขาดอย่างชัดเจน! “อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องจากไปไกลแล้ว ข้าคงคิดถึงเจ้าที่สุดเลยอาผิง” “อาผิงก็เช่นกัน คงคิดถึงต้าเจี่ยมากแน่ๆ” สองคนที่รักกันราวพี่น้องกล่าวลากันเสียตั้งแต่วันนี้จึงดูบรรยากาศรอบกายของคนทั้งคู่เศร้าสร้อยเหงาหงอยไม่น้อย ซึ่งมันคือความรู้สึกจริงแท้ของทั้งคู่ สหายคนเราย่อมมีได้ทั่วใต้หล้าทว่า ...สหายรู้ใจกันในหนึ่งชีวิตจะมีได้สักกี่คนกัน....
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม