เสียงหอบหายใจสลับกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง กระทั่งได้ยินเสียงคลื่นทะเลดังแว่วมา เด็กหนุ่มว่าที่นักเรียนนอกจึงรีบตามเสียงนั้นไป โดยไม่รู้เลยว่าเบื้องหน้านั้นคือป่าชายเลน เพราะอยากจะหนีเอาตัวรอดมันจึงทำให้เขาไม่ระวังล้มลงบนดินสีดำนั้นจนมันเปรอะเปื้อนไปทั้งหัวจรดเท้า
“บ้าจริง ! ”
เด็กหนุ่มสบถเบา ๆ พลางขยับกายออกมาจากโคลนสีดำ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งขยับ โคลนเหล่านั้นก็ยิ่งดูดเขาลงไปให้ลึกกว่าเดิม
“ไงล่ะเอ็ง” มาโนชและชาวบ้านที่วิ่งตามกันมา ถือคบไฟยื่นไปข้างหน้า เมื่อเห็นสภาพเนื้อตัวของตัวประกัน ทุกคนต่างพากันขำพรืดออกมาทันที “อยู่ดีไม่ว่าดี แส่หาเรื่องดีนัก”
“ปล่อยผม ! ” น้ำเหนือพยายามปัดป่ายมือที่กระชากคอเสื้อจากทางด้านหลังออก แม้มันจะทำให้เขาเป็นอิสระจากดินโคลนเบื้องหน้าก็ตาม “ผมบอกให้ปล่อยไง ! ”
สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงก็ถูกผลักออกไปสุดแรงจนล้มลงบนผืนทรายก่อนที่น้ำถังใหญ่จะถูกสาดลงบนร่างเพื่อชำระคราบดินโคลนออกไป
“เอายังไงกับเด็กนี่ต่อดีล่ะพี่โนช จะให้ผมไปตามพ่อผู้ใหญ่หรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก พี่เดชาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ให้แกพักเถอะ...เอาตัวมันไปขังไว้ที่เดิมก่อนละกัน พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน” มาโนชออกคำสั่ง เพราะเขามีศักดิ์เป็นน้องเขยของเดชาอีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกคนจึงรับฟังคำสั่งนั้นแล้วรีบปฏิบัติทันทีหากแต่คนที่ไม่ยอมจับตัวไปกลับพยายามจะดิ้นหนีอีกครั้งเพื่อหาทางรอดให้กับตัวเอง
“ปล่อยผม ผมไม่ไป พวกผู้ใหญ่มีปัญหากัน แล้วทำไมต้องจับตัวผมมาด้วย มีอะไรกันก็เคลียร์กันเองสิ”
“หึ ! ” คนสูงวัยหว่าหัวเราะในลำคอก่อนจะเข้ามาบีบแก้มของเขาไว้สุดแรง “ก็ใครใช้ให้เอ็งมาเป็นทายาทคนเดียวของปราวัฒน์ล่ะ”
“ถึงอย่างนั้นพวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้”
“เอาตัวมันไป แล้วเอาโซ่มาล่ามมันไว้แทน เผื่อมีใครอุตริไปแก้มัดมันอีก” มาโนชไม่ใส่ใจจะฟังสิ่งที่น้ำเหนือบอก เขาหันไปสั่งลูกบ้านอีกครั้งก็ที่เด็กหนุ่มจะถูกลากตัวกลับไปขังไว้ในกระท่อมดังเดิม แต่ครั้งนี้โซ่เส้นใหญ่กลับถูกนำมาล่ามขาเขาไว้แทน
ความเหน็บหนาวเริ่มคลืบคลานเข้ามาอย่างไม่ปราณี เพราะเสื้อผ้าที่เปียกน้ำและคราบโคลนที่ยังล้างไม่ออก มันจึงทำให้ริมฝีปากบางสั่นระริกจนต้องกอดตัวเองไว้เพื่อคลายความเหน็บหนาว
ดวงตาคู่งามเหลือบมองปิ่นโตตรงมุมห้องครู่หนึ่งก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงไม้ในกระท่อมส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเมื่อคนหมู่มากกำลังเดินขึ้นมาหาเขา
“แสบใช่ย่อยเลยนะเอ็ง” เดชาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากปากของมาโนช เพียงแค่เห็นปิ่นโตลายการ์ตูนแสนคุ้นตา เขาก็พอจะรู้ได้ทันทีว่าคนที่แก้มัดน้ำเหนือเมื่อคืนนั้นเป็นใคร
“เอายังไงต่อดีล่ะพ่อผู้ใหญ่ เราส่งจดหมายไปแล้ว แต่ยังไม่มีท่าทีว่าทางโน้นจะตอบอะไรกลับมาเลย”
“ใช่จ่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราต้องแย่แน่ ๆ ”
“ฉันเองก็ลำบาก ลูกฉันยังเล็ก ลำพังไฟฟ้าไม่เท่าไหร่แต่น้ำนี่สิ จะให้ฉันแบกน้ำจากท้ายเกาะไปทุกวันแบบนี้ฉันไม่ไหวแล้วนะพี่เดชา”
กลุ่มชาวบ้านเริ่มโอดครวญ พากันจ้องมองน้ำเหนือด้วยสายตาที่แสนเกลียดชัง ราวกับว่าปัญหาทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นเพราะเขา
“เรื่องน้ำไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ต่อไปนี้ทุกคนไม่ต้องไปแบกน้ำที่บ่อท้ายเกาะอีก เพราะว่าเด็กนี่จะเป็นคนขนน้ำไปเติมในตุ่มให้พวกเราเองทุกวัน”
“พี่คะ” บุหลัน ผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวของภรรยาผู้ล่วงลับและเป็นภรรยาของมาโนชประท้วงขึ้น ลำพังเธอเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากความขัดแย้งนี้อยู่ไม่น้อยแต่จะให้มาทำร้ายเด็กผู้ชายแบบนี้มันก็คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก “คุณน้ำเหนือเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะคะ”
“ไม่เกี่ยวได้ไง ก็มันเป็นลูกของคุณปราวัฒน์ เป็นหลานแท้ ๆ ของประณัย อีกหน่อยมันก็จะต้องสืบทอดธุรกิจต่อ ถ้าไม่ให้มันรู้ถึงความลำบากที่พวกเราต้องเจอ อีกหน่อยมันต้องมาข่มเหงรังแกเราเหมือนที่พ่อมันทำแน่ ๆ ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าพ่อผมไม่เกี่ยว” น้ำเหนือเงยหน้าขึ้น จ้องมองคนสูงวัยกว่าอย่างไม่นึกเกรง
“แกเป็นลูก แกก็ต้องเข้าข้างมันอยู่แล้ว”
“พ่อคะ แต่พี่เขา...” เด็กหญิงมินรดาเอ่ยขึ้น เธอเอื้อมมือไปจับมือของบิดาเอาไว้แต่กลับถูกปัดออกไปอย่างไม่ใยดี
“แกก็อีกคน อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้นะว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นฝีมือใคร ต่อไปนี้พ่อขอห้ามไม่ให้แกเข้ามายุ่งวุ่นวายแถวกระท่อมนี้อีก ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหารก็ให้น้าบุหลันเป็นคนจัดการ...อ้อ ! แล้วอย่าลืมหาเสื้อมาให้มันเปลี่ยนซะด้วย เสร็จแล้วจะได้เริ่มงาน”เดชาตวาดลั่นเป็นเชิงออกคำสั่งก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ปิ่นโตเถาเล็กถูกมินรดาเก็บกลับบ้านไป จากนั้นบุหลันจึงกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับอาหารง่าย ๆ อย่างปลาทอดราดพริกน้ำปลา
“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ จะได้กินข้าว” คนสูงวัยกว่าวางจานข้าวตรงหน้าเขาพร้อมกับน้ำหนึ่งขวด หากพิจารณาดูแล้วมันไม่ได้ใสสะอาดจนเรียกว่าเป็นน้ำดื่มได้เลยสักนิด
“ผมยังไม่หิว”
“ไม่หิวได้ไง ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่ กินอะไรสักหน่อยเถอะนะ เดี๋ยวก็ต้องไปขนน้ำอีก” บุหลันพยายามขอร้อง เธอรู้สึกเข้าใจและเห็นใจเขาเป็นอย่างดีเพราะเธอเองก็มีลูกชายวัยไล่เลี่ยกันกับเขา แต่ด้วยสถานะทางการเงิน เธอจำเป็นจะต้องส่งเขาไปร่ำเรียนที่โรงเรียนวัดบนฝั่ง
“น้าไม่ต้องมาทำทีสงสารผมหรอก น้าเองก็ใจร้ายเหมือนคนพวกนั้นนั่นแหละ”
“จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้นะ แต่บอกตรง ๆ ฉันเองก็ไม่เห็นด้วยกับการจับเด็กมาทรมานแบบนี้หรอก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเธอไม่สมควรจะมารับกรรมด้วยซ้ำ”
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะคุณอาประณัยต่างหาก ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าพ่อผมประสบอุบัติเหตุ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ” ความอดทนขาดสะบั้นลง สายตาคมกริบจ้องมองไปที่บุหลันด้วยความโกรธแค้น
จริงอย่างที่เธอว่า เขาเป็นเด็กไม่ควรจะมารับกรรมหรือรับรู้อะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ
“งั้นก็ตามใจละกัน” บุหลันถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียดก่อนจะเดินหายออกไปจากกระท่อม
น้ำเหนือจ้องมองเสื้อผ้าและอาหารที่ถูกเตรียมไว้ให้ ในตอนแรกเขาแทบไม่อยากแตะมันด้วยซ้ำ แต่พอลองมาคิดดูอีกที หากเขาตายไปสักคนแผนการของประณัยและกันจิราก็ต้องบรรลุไปได้ด้วยดี สู้เขามีชีวิตต่อเพื่อกลับไปทำหน้าที่บริหารปราวัฒน์กรุ๊ปต่อจากบิดาจะดีกว่ายอมให้ตกไปอยู่ในมือของประณัย
คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มผู้ไม่มีทางเลือกจึงต้องตักข้าวเข้าปากไปพร้อมกับปลาทอดชิ้นโตพื่อประทังชีวิต น้ำดื่มที่ไม่ค่อยจะใสสะอาดเพราะบ่อน้ำมันเริ่มจะแห้งขอดถูกกรอกเข้าปากจนหมด ก่อนที่เขาจะหยิบเสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนั้นขึ้นมาเปลี่ยน เพียงไม่นานประตูของกระท่อมก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับมาโนชที่หอบหิ้วถังน้ำมาสองใบติดมือมาด้วย
“กินเสร็จแล้วก็ไปทำงาน ! ” เสียงนั่นตวาดกร้าว เขาเดินเข้าไปด้านในกระชากคอเสื้อน้ำเหนือให้ลอยติดมือมาแล้วจึงยัดถังสองใบไว้ในมือ จากนั้นจึงไขกุญแจที่ปลายโซ่ออกเพื่อลากเด็กหนุ่มให้เดินตามไปยังบ่อน้ำท้ายเกาะ
“ผมทำไม่เป็นหรอกน้า” น้ำเหนือหน้าถอดสีเมื่อชะโงกหน้าลงในบ่อแล้วพบกับความลึกของบ่อ “ผมไม่เคยทำ”
“เอ็งอย่ามาลูกเล่น เอานี่ไป” มาโนชหยิบถังน้ำที่ถูกผูกติดไว้กับเชือกตรงขอบบ่อส่งให้เขา เพื่อสาธิตวิธีการตักมันขึ้นมา พอได้ลองครั้งสองครั้งเขาก็ทำได้ มาโนชจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่ตัวประกันสามารถทำตัวให้มีประโยชน์ได้
เมื่อน้ำถูกเติมจนเต็มถังทั้งสองใบน้ำเหนือก็ต้องออกแรงหิ้วมันเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเติมในถังขนาดใหญ่จนมันเต็ม เป็นแบบนี้เหมือนเดิมทุกวัน จะเปลี่ยนก็แต่คนในหมู่บ้านที่ต้องผัดเปลี่ยนกันมาควบคุมดูแลเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานเกือบเดือนที่เขาต้องใช้ชีวิตทุกข์ทรมาน กินอยู่เยี่ยงทาส โดยไม่มีข่าวคราวจากปราวัฒน์กรุ๊ปเลยแม้แต่น้อย เขาทราบดีว่าประณัยคงจะปิดบังเรื่องที่เขาหายตัวไปอย่างแน่นอน อีกทั้งบิดาก็ยังนอนเป็นเจ้าชายนิทรา การหายตัวไปของเขาจึงเหมือนว่าถูกลืมไปโดยปริยาย
ฝ่ามือหนาที่เคยขาวละเอียดเพราะถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีเริ่มหยาบกร้าน ผิวที่ขาวจัดตามแบบฉบับลูกครึ่งอังกฤษถูกแดดแผดดเผาจนเป็นรอยไหม้ ข้อเท้าที่ถูกโซ่เก่า ๆ พันธนาการไว้เกิดเป็นรอยแผลเป็นเพราะแผลที่หายไปแล้วและกลับมาเป็นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพักหลังมานี้เขาไม่ได้ใส่ใจจะทายาที่บุหลันนำมาให้อีกต่อไป
ดวงตาคมกริบดำลึก ดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ตามเนื้อตัวมีรอยแดงเป็นจุด ๆ เพราะถูกยุงจัด ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มบวกกับการทำงานที่หนักมากในแต่ละวันทำให้เด็กหนุ่มที่ร่างกายสมส่วนดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
“นี่มันนานแล้วนะคะ ทำไมฝั่งโน้นยังไม่ส่งใครมาเจรจาเลย ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ คุณน้ำเหนือต้องแย่แน่ ๆ ”
เสียงผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันดังขึ้นจากหน้ากระท่อม ทำให้คนที่ตั้งใจแอบนำผ้าพันแผลมาเพื่อทำแผลให้น้ำเหนือต้องหยุดชะงักลงแล้วรีบซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ใหญ่ทันที
“ก็ช่างมันสิ ถูกจับตัวมานานขนาดนี้ไม่เห็นว่าพวกมันจะเดือดร้อนอะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมพวกเราต้องมาเป็นห่วงมันด้วย”
“รอดูอีกวันสองวันละกัน ถ้าพวกมันยังไม่ส่งใครมา ฉันนี่แหละจะเป็นคนข้ามฝั่งไปถามพวกมันเอง” เดชาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคิดไม่ตก
“แล้วถ้าพวกมันยังไม่ยอมล่ะครับ”
“พวกเราก็ต้องสู้กันต่อไป แต่ก็ต้องยอมปล่อยตัวเด็กนั่น”
“จะปล่อยได้ยังไงล่ะพี่ มันเป็นตัวประกัน ถ้าพวกมันไม่ส่งคนมาทำไมเราต้องปล่อยตัวมันไปด้วยล่ะ” มาโนชเริ่มเดือดจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ บุหลัน ผู้เป็นภรรยาจึงรีบปราม
“แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนเหมือนพวกเรานะพี่”
“แล้วพวกมันเคยเห็นพวกเราเป็นคนไหมล่ะ”
“เอาเถอะ ๆ ถ้าเอ็งไม่สบายใจ ไว้พรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบข้ามไปคุยกับพวกเขาดูอีกทีละกัน” เดชารีบตัดบท เขาเองก็ไม่อยากทำให้ลูกบ้านไม่สบายใจ แต่จะให้จับเด็กที่ไม่มีทางสู้มาทรมานกักขังไว้แบบนี้ต่อไปก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์ เห็นทีคงต้องดับเครื่องชนกันอีกสักครั้ง
เมื่อกลุ่มชาวบ้านต่างพากันแยกย้ายกลับไปเหลือทิ้งไว้แค่คนสองคนเพื่อคอยเฝ้าอยู่หน้ากระท่อมเท่านั้น มินรดาที่แอบซ่อนตัวอยู่จึงสะพายกระเป๋าเป้ลายการ์ตูนแอบย่องเข้าไปตอนที่ทุกคนเผลอจนพบกับน้ำเหนือกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง
“มาทำไม” น้ำเสียงเย็นชาดังลอดออกมา ทำเอาคนที่ตั้งใจมาเยี่ยมต้องหยุดชะงัก หลังจากที่ถูกบิดาสั่งห้ามประจวบเหมาะกับที่โรงเรียนเปิดพอดี เธอจึงไม่มีเวลาได้มาหาเขาเท่าไหร่นัก
“ได้ยินน้าบุหลันบอกว่าพี่เป็นแผล หนูก็เลยเอายามาทาให้”
“ไม่ต้องมายุ่ง” น้ำเหนือตะคอกใส่ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง เขาไม่มีทางเชื่อคำพูดของเด็กน้อยตรงหน้านี่อีกแล้ว
“เมื่อกี้ตอนหนูมา หนูได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าเขาจะปล่อยตัวพี่ในอีกกี่วันแล้วนะ” มินรดาแกล้งเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อหวังให้คงตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้น “พี่ดีใจหรือเปล่า”
“เหอะ ! คิดเหรอว่าฉันจะเชื่อคำพูดของเด็กขี้โกหกอย่างเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเหรอ ฉันถึงต้องมาใช้เวรใช้กรรมอยู่แบบนี้” เด็กหนุ่มตัดพ้อพร้อมกับน้ำตาที่เผลอปล่อยมันร่วงเผาะอาบแก้ม อีกไม่กี่วันเขาก็จะอายุครบสิบหกปี และกำลังจะได้เรียนต่อไฮสคูลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแคททรีน่าผู้เป็นแม่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาฉลองวันเกิดในฐานะตัวประกันแบบนี้
“หนูขอโทษ วันนั้นหนูไม่ได้ตั้งใจจะวางยาพี่เลยนะ แต่ตอนที่หนูกำลังตักข้าวให้พี่ พ่อดันมาเห็นเสียก่อน หนู...”
“ออกไป ! ” เด็กหนุ่มตะคอกเสียงเข้ม เขาไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองมินรดาเลยด้วยซ้ำ “เธอไม่ต้องมาโทษฉัน เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันให้อภัยหรือญาติดีกับเธอแล้วก็ครอบครัวเธอหรอก สักวันพวกเธอจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับฉัน”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะละสายตาแล้วถลาเข้าไปหามินรดาช้า ๆ สายตาที่จ้องมองมาทำเอาเด็กน้อยถึงกับผวาเฮือก
“ถ้าฉันรอดไปได้ เธอจะเป็นแรกที่ฉันจะตามล่า...มุกดา มินรดา รักษ์ไท ฉันจำชื่อนี้ไม่ลืมแน่”
“...” เด็กน้อยตัวชาหนึบ พูดอะไรไม่ออก โชคดีที่ชาวบ้านเข้ามาลากตัวเธอออกไปได้ทันเพราะเกิดได้ยินเสียงพูดคุยกันในกระท่อมจึงรีบขึ้นมาดู
ความเงียบกลับมาอีกครั้งเมื่อหนูน้อยมินรดาถูกนำตัวออกไป ถึงตอนนั้นดวงตาที่แข็งกระด้างในตอนแรกจึงแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและสิ้นหวังอีกครั้ง
หลังจากที่เริ่มทำใจกับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว เขาจึงค่อย ๆ เอนตัวลงหลับไหลบนที่นอนเก่า ๆ ด้วยความอ่อนเพลียจากการหาบน้ำตากแดดมาหลายวันจนกระทั่งได้ยินเสียงร้องดังเอะอะโวยวายดังขึ้นภายนอกกระท่อมพร้อม ๆ กับกลิ่นควันไฟที่ลอยอบอวลไปทั่วทำให้น้ำเหนือต้องตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น แค่ก ๆ ๆ ”
มือหนาตวัดผ้าห่มออกก่อนจะสัมผัสได้ถึงควันไฟที่ลอยเข้ามาแตะจมูกจนสำลัก ครั้นมองออกไปด้านนอกผ่านช่องไม้ เขาก็ต้องผงะเมื่อพบว่าทั่วทั้งหมู่บ้านนั้นกำลังลุกโชนไปด้วยกองเพลิง
“ช่วยทางนี้หน่อย”
“เร็วเข้า เร่งมือกันหน่อย”
ชาวบ้านหลายคนต่างหอบหิ้วน้ำจากทะเลขึ้นมาช่วยดับไฟซึ่งกำลังโหมกระหน่ำไม่มีท่าทีว่าจะมอดลง
“เห้ย ! ”
น้ำเหนืออุทานลั่นเมื่อลากสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าไฟมันกำลังลุกลามมาตามหญ้าแห้งจนขึ้นมาถึงบันไดไม้เก่า ๆ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีจนราวจับมันร่วงหล่นลงไปข้างล่างแต่ถึงกระนั้นเปลวเพลิงก็ยังคงโหมหระหน่ำลุกลามมาจนถึงระเบียงหน้าบ้าน
“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ผมยังอยู่ในนี้” เด็กหนุ่มพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แม้ในใจลึก ๆ จะรู้ดีว่าชาวบ้านที่นี่คงจะไม่เห็นค่าชีวิตเขา “ช่วยผมด้วย...เห้ย ! ”
เสียงนั้นเงียบหายไปเมื่อเสาหนึ่งต้นมันถูกไฟเผาจนหัก ทำให้ตัวกระท่อมเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหว ส่งผลให้คนที่พยายามร้องขอความช่วยเหลือกลิ้งตกลงไปด้านล่าง
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้น้ำเหนือต้องใช้แรงที่มีถีบไปที่หน้าต่างเพื่อจะหาทางออกไปจากกองเพลิง ทว่าหลังคาที่ทำด้วยตับจาก มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนไม้คานบนหลังคาร่วงหล่นมาทับเอวสอบของเขาไว้
“โอ้ย ! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที”
น้ำตาหยดใสไหลลงอาบแก้มเพราะความกลัวอย่างสุดชีวิต ในตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะขยับกายเพราะถูกท่อนไม้มันตัวและยังมีโซ่ล่ามขาเอาไว้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการหยิบผ้าห่มขึ้นมาปัดเป่าไฟที่เริ่มจะลามมาที่ไม้ให้มันดับลงเท่านั้น
“แค่ก ๆ ช่วยผมที ช่วยด้วย มีใครได้ยินผมไหม...”
ควันไฟที่โหมกระหน่ำ ทำให้สมองเริ่มตอบสนองช้าขึ้น ดวงตาคู่งามทั้งข้างหนักอึ้ง รับรู้ได้ว่าไฟที่มันไหม้ติดตรงไม้เริ่มลามมาที่เสื้อ เขาพยายามอีกครั้งที่จะดับมันออกเพราะรับรู้ได้ถึงความร้อนที่เริ่มประทุตรงผิวหนัง
“พี่คะ หนูมาช่วยแล้ว” เสียงที่แสนคุ้นหูดังขึ้นจากภายนอกกระท่อม ทำให้น้ำเหนือต้องลืมตาขึ้นมองอีกครั้งก่อนจะพบกับร่างเล็กที่กำลังมุดตัวเข้ามาด้านในผ่านช่องไม้แคบ ๆ
มือน้อย ๆ หยิบกุญแจที่แอบโขมยมาเพื่อไขโซ่ตรวจออกจากข้อเท้าของน้ำเหนือ จากนั้นจึงออกแรงยกท่อนไม้ขนาดใหญ่ออกจากตัวเขา
เด็กหนุ่มได้มองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เขาพยายามอย่างหนักในการดันท่อนไม้ออกแต่มินรดากลับออกแรงเพียงน้อยนิดก็สามารถช่วยเขาได้
“เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะค่ะ” หนูน้อยยื่นมือให้จับก่อนจะลากตัวเขาออกไปผ่านช่องที่เธอเพิ่งจะมุดเข้ามาถึงตอนนั้น น้ำเหนือจึงได้กระจ่างว่าทั้งเกาะตอนนี้ถูกไฟไหม้ลุกลามจนแทบจะราบเป็นหน้ากลอง
“นี่มันเกิดอะไร...”
เสียงนั้นเงียบหายไปเมื่อร่างสูงหมดสติล้มลงไปเพราะสำลักควันไฟเข้าไปจนเต็มปอดทำให้คนที่ตั้งใจเข้าไปช่วยตกใจจนร้องลั่น
“พี่เหนือ พี่ตื่นสิ พี่เหนือ”
“มุก อยู่นี่เอง” เสียงเดชาตะโกนเรียกพร้อมกับถลาเข้ามาลากตัวเธอออกไปจากกองเพลิง เขาปรายตามองเด็กหนุ่มที่หมดสติไปด้วยสายตาที่กำลังสับสน แต่ถึงกระนั้นเขากลับเลือกที่จะช่วยชีวิตมินรดาผู้เป็นลูกสาวไว้แค่คนเดียวเท่านั้น
“แล้วพี่เหนือล่ะพ่อ ปล่อยหนู หนูจะไปช่วยพี่เหนือ” หนูน้อยร้องลั่น พยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดบิดาเพื่อเข้าไปช่วยน้ำเหนือที่หมดสติอยู่ใกล้กองเพลิง ถ้าเกิดไม่นำตัวเขาออกไปด้วย เขาต้องแย่แน่ ๆ “เราต้องช่วยเขานะคะพ่อ”
“รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“ไม่ค่ะพ่อ หนูต้องช่วยเขาก่อน”
ภาพตรงหน้าค่อย ๆ ห่างออกไปเมื่อเธอถูกลากออกไปอีกฝั่งของเกาะ น้ำตาไหลนองอาบแก้ม รู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้นอกจากมองไฟที่กำลังโหมกระหน่ำเข้าไปใกล้เขาเรื่อย ๆ ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
เธอแค่อยากช่วยเขา เพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอหวังดี ไม่เคยคิดร้ายกับเขา แล้วทำไมมันต้องมาจบแบบนี้ด้วย
“พี่เหนือ ! ”
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ภายในห้องเช่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ มือเรียวปาดเช็ดหยาดเหงื่อที่ปรกใบหน้าออกลวก ๆ แล้วจึงพลิกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หวนคิดถึงฝันร้ายที่เธอมักจะฝันเห็นบ่อย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ดีแม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วสิบสามปีก็ตาม
“คิดถึงพ่อจัง ป่านนี้พ่อคงได้เจอพี่เหนือแล้ว ฝากพ่อขอโทษพี่เขาด้วยนะคะ” มินรดา รักษ์ไทในวัยยี่สิบสามปีส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับรูปถ่ายบิดาที่เธอพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเงิน
จากเหตุการณ์ในวันนั้น เดชากลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนวางเพลิงและเป็นคนร้ายจับน้ำเหนือไปกักขังหน่วงเหนี่ยวจนถึงแก่ความตาย ทำให้เขาต้องถูกจำคุกเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนจะเสียชีวิตในคุกเพราะโรคประจำตัวที่รุมเร้ามาตลอดหลายปี ส่งผลให้มินรดาต้องย้ายไปอยู่กับมาโนชและบุหลันในกรุงเทพ ฯ เช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ถูกไล่จากที่อยู่ที่ทำกินไปคนละทิศละทาง
นับตั้งแต่นั้นหญิงสาวก็ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเกี่ยวกับปราวัฒน์กรุ๊ปอีกเลย เธอพยายามปล่อยวางความแค้นถือเสียเวลาสิ่งที่ชาวบ้านทำกับน้ำเหนือนั้น บิดาได้ชดใช้ให้จนหมดแล้ว
หลังจากที่ส่งตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เธอบังเอิญเจอกับปราวัฒน์อีกครั้งหลังจากที่พักรักษาตัวอยู่นานในงานปัจฉิมนิเทศก่อนจะพบว่าเขายังเป็นผู้ดูแลกิจการของปราวัฒน์กรุ๊ปอย่างเต็มตัวอีกครั้งและไม่มีใครพูดถึงน้ำเหนือผู้ล่วงลับอีกเลยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
แผนการก่อสร้างรีสอร์ทบนเกาะมัจฉาเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ กิจการของปราวัฒน์กรุ๊ปเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่พอใจของปราวัฒน์และประณัยท่ามกลางความโกรธแค้นของชาวบ้านที่ถูกเผาไล่ที่ในคืนนั้น แม้ทุกคนจะรู้ดีว่าเป็นฝีมือของเขา แต่ด้วยอำนาจของเงินมันจึงทำให้คนจน ๆ อย่างเดชาต้องตกเป็นจำเลยและชาวบ้านบนเกาะเองก็ต้องยอมรับกรรมหอบผ้าผ่อนเพื่อย้ายที่ทำกิน
เสียงท้องร้องดังประท้วงขึ้น ทำให้มินรดาหลุดออกจากความเศร้าหันมาสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันต่อ หญิงสาวลุกจากเตียงเพื่ออาบน้ำอาบท่าแล้วเปิดตู้เยณเพื่อหยิบเศษขนมปังและไส้กรอกขึ้นมาเพื่อประทังชีวิตที่แสนโหดร้ายในต่างแดน
เพราะความไว้ใจหลงเชื่อคำพูดของกฤษณะ แฟนหนุ่มที่เพิ่งคบหาดูใจได้เพียงหกเดือนหลอกว่าจะพามาทำงานในลอนดอน ด้วยสภาพเศรษฐกิจและหนี้ของผู้มีพระคุณอย่างบุหลันที่เคยกู้มาดำรงชีวิต มันทำให้หญิงสาวไม่มีทางเลือก เธอจำเป็นต้องเก็บกระเป๋าเดินทางไกลข้ามทวีปมากับกฤษณะเพื่อทำงานโรงแรมตามที่เขาบอกไว้ โดยไม่รู้เลยว่าเขาจะหลอกเธอมาขายตัวไกลถึงที่นี่
โชคดีที่บังเอิญไปได้ยินแฟนหนุ่มคุยกับพวกมาเฟียค้ามนุษย์ข้ามชาติที่สนามบิน ทำให้หญิงสาวไหวตัวทัน ถึงจะหนีรอดมาได้แต่เธอก็ถูกพวกมันยึดหนังสือเดินทางไปจนหมด มินรดาจึงต้องอาศัยเงินติดตัวเพียงน้อยนิดประทังชีวิตให้อยู่รอดเพื่อจะได้หาทางบินกลับประเทศไทย แต่ก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากพวกของมันที่กำลังออกล่าตามตัว
“เหลืออีกแค่ร้อยปอนด์”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อลองนับเงินในกระเป๋าดูคร่าว ๆ หากลองคำนวณเป็นเงินไทยก็ประมาณสี่พันปลาย ๆ เท่านั้น
“ก็แกโง่เองนี่”
หญิงสาวตัดพ้อ เป็นเพราะความไว้ใจมันจึงทำให้เธอกล้าที่จะนำเงินเก็บมาใช้เพื่อหวังจะมีรายได้ที่มากกว่าเดิมจนทำให้ชีวิตต้องมาตกต่ำถึงขีดสุดแบบนี้ ทั้งมือถือ ข้าวของเครื่องใช้ และหนังสือเดินทางก็ถูกพวกมันยึดไปจนหมด
ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาที่กำลังบอกเวลาแปดโมงเช้า หญิงสาวรีบแต่งตัวเตรียมตัวไปติดต่อกับสถานทูตไทยในกรุงลอนดอนอีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือหลังจากที่ต้องคอยหลบซ่อนตัวมานานหลายวัน ตอนนี้เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าพวกมันคงจะถอดใจในการตามหาตัวเธอไปแล้ว
ร่างบางสวมใส่เสื้อหนังตัวใหญ่ เดินลัดเลาะไปตามตึกราบ้านช่องที่ดูแปลกตา ใช้หมวกปิดอำพรางใบหน้าเอาไว้ด้วยเกรงว่าจะบังเอิญไปเจอกับพวกมันเข้า ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
“ไงสาวน้อย หายไปนานเลยนะ” เสียงที่ดังอยู่ทางด้านหลังทำให้สองเท้าที่กำลังก้าวขึ้นรถชะงักกึกเพราะเสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นชุดเดียวกันที่เธอสวมใส่มา และยังเป็นชุดเดียวที่เธอมีอยู่ ทำให้การติดตามหาตัวเธอนั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย
“พวกแก...” มินรดาผวาเฮือก จ้องมองฝรั่งร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ไม่ต้องรอให้พวกมันพูดซ้ำ สมองสั่งการให้สองเท้าออกแรงวิ่งหนีไปทันทีท่ามกลางผู้คนที่เริ่มแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่เด็ดขาด ยังไงเธอจะไม่ยอมถูกจับไปอยู่ในซ่องของพวกมันเด็ดขาด