พระอาทิตย์ดวงโตเคลื่อนตัวลอยขึ้นจากเส้นขอบฟ้า ทอแสงสีเหลืองนวลแผ่กระจายให้ความสว่างไสว ความมืดมิดในยามรัตติกาลที่ทำหน้าที่มาตลอดค่ำคืนเลือนหายไป เพื่อเป็นการปลุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ให้ตื่นจากความหลับใหลในห้วงนิทรา ขึ้นมาต่อสู้กับความจริงที่รออยู่ เช่นเดียวกับนารีกานต์ที่กำลังแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวลงไปเผชิญหน้ากับความจริงที่รออยู่ด้านล่างในวันที่สองของการมาอยู่ที่นี่
ไม่รู้ตัวเองจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะเจอกับอะไรสิ่งที่ทำได้คือการก้มหน้ายอมรับในชะตาชีวิตที่เกิดขึ้น เพราะคงไม่มีอะไรในชีวิตที่เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้อีกแล้ว ชีวิตที่ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งคำว่าความภูมิใจและความเป็นคน เมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ตราหน้าเธอเอาไว้ ว่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินเป็นผู้หญิงหิวเงินยอมแต่งงานกับเขาก็เพื่อเงิน
นารีกานต์รีบพาตัวเองออกมานอกห้อง แม้จะรู้สึกขัดเคืองและเจ็บบริเวณช่วงล่างกลางกายอยู่บ้าง จากการร่วมรักที่ผ่านมา แอบค่อนขอดชายหนุ่มอยู่ในใจอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนถึงได้เร่าร้อนรุนแรงขนาดนั้น ทว่าหญิงสาวก็กัดฟันพยายามเดินให้เป็นปกติที่สุด
และเมื่อลงมายังด้านล่างนารีกานต์ก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยอย่างสมบูรณ์แบบ นั่งจิบกาแฟอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งนารีกานต์ไม่คิดด้วยซ้ำว่าสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้ยังมีคนที่นิยมอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อยู่อีก
“อยู่บ้านคนอื่นแต่ดันตื่นสายกว่าเจ้าของบ้าน อย่าคิดว่าตัวเองได้ชื่อว่าเป็นเมียฉันแล้วจะนอนจนตะวันตรงหัวแล้วค่อยตื่นก็ได้นะ” ประโยคทักทายแรกของวันก็เรียกเลือดลมในกายของนารีกานต์ให้ไหลมารวมกันที่ใบหน้าได้เป็นอย่างดี ทว่าหญิงสาวก็พยายามระงับสติอารมณ์ให้เย็นลง เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างชายหนุ่มด้วยท่าทางสำรวมตามที่ถูกอบรมสั่งสอนมาจากมารดา
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้ตื่นสาย แต่ฉันรับรองว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณไฟจะเห็นฉันตื่นก่อนคุณอย่างแน่นอนค่ะ” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มออกมา พับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ ยกแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นขึ้นจิบและวางลงที่เดิม หันมองเจ้าของคำพูดประชดประชันแกมถือดีนั้น
สายตาคมกวาดมองใบหน้าเนียนใสผิวพรรณขาวเนียน ไล่สายตาลงมายังลำคอขาวระหงที่ปรากฏรอยแดงที่โผล่พ้นจากคอเสื้อเชิ้ตที่หญิงสาวสวมใส่ ก็ถึงกับพอใจในผลงานของตัวเองที่ทำไว้เมื่อคืน
“ฉันกับเธอไม่ได้สนิทสนมกันจนถึงขั้นที่เธอจะมาเรียกชื่อเล่นฉันได้ อีกอย่างฉันไม่ชอบคนที่มีดีแค่ลมปากและพูดเพื่อให้ตัวเองดูดีไปวันๆ” เหมือนถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้าเข้าอย่างจัง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นคนปากร้าย ใจร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากเธอไม่มาสัมผัสกับตัว ไม่เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหูก็คงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“ฉันเป็นคนมีสัจจะพูดคำไหนคำนั้น ไม่ใช่พวกโกหกพกลมเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ อย่างที่คุณอัคคีกล่าวหา” นารีกานต์จงใจเน้นชื่อจริงของชายหนุ่มออกไป เพื่อตอกย้ำว่าเธอเข้าใจและรู้ว่าต่อไปนี้จะเรียกเขาว่าอย่างไร และนั่นจึงทำริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มออกมา
“ฉันแค่พูดลอยๆ ไม่ได้ว่าเธอ อย่าร้อนตัวสิ” คนถูกกล่าวหาว่าร้อนตัวชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอย่างลืมตัว อยากจะโต้เถียงกลับไปเสียเหลือเกินว่าชายหนุ่มนั่นแหละที่กล่าวหาว่าเธอชัดๆ แล้วยังจะมากลับกลอกว่าไม่ได้พูดอีก
“ค่ะ” ไม่อยากต่อปากต่อคำให้มากความ เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้น นารีกานต์จึงเลือกที่จะตัดบทลงแต่เพียงเท่านี้ หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปไม่อยากเห็นหน้าคนยียวนกวนประสาทให้อารมณ์เสียมากไปกว่านี้
“จะไปไหน ฉันยังไม่อนุญาตให้เธอไปสักหน่อย” เสียงเข้มที่เอ่ยถามตามหลังมาทำให้นารีกานต์ชะงักอยู่กับที่ หมุนตัวกลับมาหาชายหนุ่มดังเดิม พยายามนับหนึ่งให้ถึงสิบอยู่ในใจ แม้ตอนนี้จะเริ่มนับไม่ได้แล้วก็ตามที
“ออกไปข้างนอกค่ะ”
“รู้แล้วเหรอว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง มาอยู่ที่นี่ต้องทำงานนะ ไม่ใช่มานั่งกินนอนกินสบายๆ อย่าคิดว่าการที่เธอมีอะไรกับฉันเมื่อคืนนี้ จะทำให้เธอกลายเป็นคุณนายขึ้นมาได้ เธอคิดผิด” นารีกานต์ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ไม่รู้เธอไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้ไม่พอใจหรือไม่ถูกชะตากันแน่ ตั้งแต่ลงมาเจอหน้ากันวันนี้ไม่ถึงสิบนาทีดูเหมือนตัวเองจะถูกชายหนุ่มจิกกัดประชดประชันถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน อีกอย่างแค่เซ็กซ์เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำให้เธอคิดจะตีตนขึ้นนั่งบนแท่นอยู่อย่างสุขสบายอย่างที่ชายหนุ่มคิด เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รักใคร่หรือชอบในตัวเธอ เธอรู้ว่าเขาตั้งป้อมรังเกียจเธอตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ เธอรู้ว่าที่เขาต้องแต่งงานกับเธอเพราะอะไร เธอรู้ไม่ต้องมาย้ำ!
“ฉันก็ไม่คิดจะงอมืองอเท้านั่งกินนอนกินอยู่แล้วละค่ะ แค่จะออกไปดูว่าข้างนอกมีอะไรให้ฉันพอทำได้บ้างก็แค่นั้น” เอ่ยออกไปเสียงดังฟังชัด เพื่อต้องการย้ำถึงเจตนารมณ์ของตัวเอง ว่าเธอไม่ได้คิดจะนั่งกินนอนกินอย่างที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาแต่อย่างใด คนอย่างเธอรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานะไหนควรใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้
“หึ!” เพียงเท่านี้ที่นารีกานต์ได้จากผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะอาหาร เมื่อแน่ใจว่าชายหนุ่มเจ้าของประโยคกวนประสาทนั้นไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก นารีกานต์จึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง ทั้งที่ใจจริงอยากจะเดินออกไปเฉยๆ ให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวอีกคนกล่าวหาว่าทำตัวไม่มีมารยาท
“ถ้าคุณอัคคีไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” ไม่รอให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อตอบกลับนารีกานต์ก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง และก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อมีเสียงดังตามหลังมาอีกรอบ
“ไปรอฉันที่ร้านกาแฟในไร่ รออยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะไป” นารีกานต์ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไปอีก เดินออกจากห้องอาหารไปเงียบๆ เพราะขืนตัวเองยังยืนอยู่ตรงนี้อีกนาทีเดียวมีหวังได้วางมวยกับเจ้าของไร่เป็นแน่
เมื่อเดินออกมาหน้าบ้านอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นค่อยๆ มลายหายไป เมื่อพบกับความสวยงามของสวนดอกไม้ที่จัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีบ่อน้ำตกเล็กๆ ตั้งอยู่มีปลาสวยงามแหวกว่ายชวนสบายตาและเย็นสบาย แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาชื่นชมและดอมดมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ เพราะเธอต้องรีบพาตัวเองไปยังร้านกาแฟในไร่ก่อนที่ผู้ชายปากร้ายคนนั้นจะไปถึง
นารีกานต์เดินลัดเลาะไปตามถนนอย่างไม่คุ้นทางเท่าไหร่นัก เนื่องจากเธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่สองวันเท่านั้น และเป็นเวลาสองวันที่เธอยังไม่ได้ออกไปสำรวจพื้นที่ในไร่แห่งนี้เท่าไหร่นัก
ปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด
เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้นารีกานต์หันกลับไปมอง พร้อมกับรถจักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่จอดลงเทียบข้างพอดี
“สวัสดีครับพี่สาว ผมชื่อทิวนะครับเป็นลูกน้องของลูกพี่ พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ใช่พี่ขมิ้นหรือเปล่า” แม้จะยังงุนงงและยังตั้งสติไม่ได้ดี แต่นารีกานต์ก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มเป็นมิตรกลับไปให้เด็กหนุ่มรูปร่างอวบใบหน้าน่ารักผิวสีแทนที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ
“ใช่จ้ะ พี่ชื่อขมิ้น มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ลูกพี่ให้ผมมารับพี่ครับ”
"ลูกพี่” ทวนคำพูดของทิวออกมาด้วยความสงสัย ว่าลูกพี่ที่ว่านั้นคือใคร
“ใช่ครับ ลูกพี่ผม พี่ไฟไงครับ พี่ไฟโทรหาผมบอกให้ผมมารับพี่ไปที่ร้านกาแฟเพราะกลัวพี่ไปไม่ถูก” นารีกานต์หันกลับไปมองด้านหลังที่เธอเพิ่งเดินออกมาได้ไม่นานโดยอัตโนมัติ นับว่าผู้ชายปากร้ายคนนั้นก็มีความดีอยู่บ้าง
“มันจะดีเหรอ พี่เกรงใจเรา”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะจากนี่ไปที่ไร่เกือบครึ่งกิโลพี่เดินไหวเหรอ มาเถอะพี่รับรองห้านาทีถึง อีกอย่างถ้าลูกพี่รู้ว่าผมไม่ได้มารับพี่ไปร้านนะ ลูกพี่เอาผมตาย” นารีกานต์มองไปยังหนทางเบื้องหน้าที่ก็เห็นร้านกาแฟตั้งอยู่ไกลลิบอย่างที่ชายหนุ่มพูดไว้ไม่มีผิด เมื่อหันมองกลับมาเห็นทิวพยักหน้ารับเป็นการบอกให้เธอขึ้นรถไปกับตนเถอะ จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ลง
“งั้นพี่รบกวนทิวด้วยนะ”
“ขึ้นมาเลยพี่” เมื่อตกปากรับคำไปแล้ว นารีกานต์ก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของทิวไปยังร้านกาแฟ