ไร่ไอริณ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่าห้าร้อยไร่ติดเชิงเขาในจังหวัดนครราชสีมา เป็นไร่ผสมผสานที่เลี้ยงโคนมและปลูกดอกไม้นานาชนิดเช่น ดอกทานตะวัน ดอกปอเทือง รวมไปถึงดอกไม้นานาชนิดสีสันสดใสตามช่วงฤดูกาล ปลูกเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตา รวมไปถึงปลูกองุ่นที่เป็นผลผลิตหลักของทางไร่และในช่วงปลายฝนต้นหนาวทางไร่ก็ปลูกสตรอเบอรี
มีจุดชมวิวที่เป็นหอคอยให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมความสวยงามภายในไร่ มีมุมถ่ายรูปอยู่รอบบริเวณไร่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเก็บภาพสวยงามกลับบ้าน ภายในไร่มีร้านกาแฟรวมทั้งร้านอาหารไว้คอยบริการลูกค้าที่เข้ามาชมไร่ นอกจากนั้นหลังไร่ยังมีธารน้ำตกเล็กๆ ที่มีน้ำใสจนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่เปิดให้ลูกค้าเข้าไป เพราะเจ้าของไร่ไม่ต้องการให้ผู้คนเข้าไปวุ่นวายกับธรรมชาติ และที่ตรงนั้นยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของไร่อีกด้วย
ส่วนร้านกาแฟถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจและอยากเก็บภาพความสวยงามนี้ไว้ เพราะมีต้นไม้ใหญ่สองต้นโผล่ขึ้นกลางร้านทางด้านหน้า แต่ที่เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็คือบนใต้ไม้ถูกสร้างให้เป็นที่สำหรับนั่งจิบกาแฟและยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของไร่ จึงทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บภาพความสวยงามนี้ ภาพธรรมชาติสวยงามและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
ทำให้นารีกานต์ลืมเรื่องราวขมขื่นในชีวิตของตัวเองไปเสียสนิท และยังแอบชื่นชมเจ้าของไอเดียนี้ไม่ได้ที่สามารถสร้างสิ่งของให้อยู่กับธรรมชาติได้อย่างสวยงามและลงตัว
“จะนั่งยิ้มอยู่อีกนานไหม ตามฉันเข้าไปในห้อง” อารมณ์สุนทรีย์หายไปในพริบตาเมื่อเสียงห้วนดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะความสุขของชีวิต
นารีกานต์หันมองเจ้าของคำพูดที่เดินผ่านเธอไปยังห้องทำงานอย่างขุ่นเคือง แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในห้อง
ห้องทำงานแม้จะไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวางแต่ก็ยังจัดสรรปันส่วนได้เป็นอย่างดี มีตู้เอกสาร มีโต๊ะทำงาน และก็มีโซฟาตัวยาวที่ไว้สำหรับรับแขกซึ่งตอนนี้นารีกานต์กำลังนั่งอยู่
“จะมองสำรวจอีกนานไหม จะขโมยของในห้องนี้ไปขายหรือไง เงินที่ฉันซื้อเธอมามันยังไม่พอเหรอ” คนถูกแขวะหันขวับมองเจ้าของคำพูดดูถูกดูแคลนด้วยความไม่พอใจผ่านมาทางสายตา ในขณะที่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
“เท่าที่ดูก็ไม่เห็นมีอะไรที่ฉันจะขโมยไปขายได้เลยนี่คะ” เอ่ยยอกย้อนกลับไปบ้าง พร้อมทั้งแสยะยิ้มออกมาหวังจะให้อีกคนได้รู้รสของการถูกประชดประชันเสียบ้าง เขาจะได้รู้ว่าเธอรู้สึกยังไง
และก็ดูเหมือนจะได้ผลเพราะใบหน้าและแววตาของอัคคีเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หึ! อย่าปากดีให้มันมากนัก เพราะฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบที่ฉันยอกย้อน หรือว่าไม่ชอบที่ฉันมาแต่งงานกับคุณ”
“ทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะอันหลัง เพราะไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ใช่แฟนหรอก นอกซะจากผู้หญิงคนนั้นจะหิวเงินจนตัวสั่นและอยากได้อยากมีจนไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเอง” นารีกานต์เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี จ้องมองเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นอย่างท้าทายไม่ยอมหลบ เหมือนไม่เกรงกลัวชายหนุ่มเลยสักนิด ทั้งที่หัวใจข้างในกำลังเจ็บช้ำเพราะคำพูดดูถูกดูแคลนของเขา
“ก็กลิ่นของเงินมันหอมหวานน่ากินไม่ใช่เหรอคะ อีกอย่างได้เป็นถึงภรรยาของคุณอัคคี เจ้าของไร่ไอริณที่สาวๆ ทั้งอำเภอพากันหลงใหลอยากได้ไปทำสามี น่าอิจฉาเป็นไหนๆ เห็นไหมคะ ว่าฉันมีแต่ได้กับได้ไม่มีอะไรเสียเลยสักนิด แล้วทำไมฉันจะไม่เลือกคว้าโอกาสดีๆ ไว้ล่ะ คุณว่าไหม”
“นารีกานต์!” เสียงเข้มตวาดขึ้นอย่างไม่พอใจ สายตาที่มองมายังนารีกานต์วาวโรจน์ เมื่อหญิงสาวยอกย้อนอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่มีคำว่าอ่อนข้อให้เขาทั้งที่มันควรจะเป็นอย่างนั้น สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็หิวเงินอย่างที่เขาพูดเอาไว้ไม่ผิด
และแน่นอนว่าคนที่แสร้งทำเป็นปากดีแต่ข้างในลึกๆ กลับตื่นกลัวถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ขวัญหนีดีฝ่อไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่ก็แสร้งแกล้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“จำเอาไว้ว่าฉันไม่ชอบคนยอกย้อน โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียที่ฉันซื้อมา เมียที่ฉันไม่อยากแต่งงานด้วย ยิ่งไม่มีสิทธิ์มาทำเป็นปากดีใส่ฉันแบบนี้” เหมือนถูกคำพูดตบเข้าหน้าฉาด คำก็ซื้อสองคำก็เมียที่ไม่อยากแต่ง การที่เธอได้ชื่อว่าเป็นเมียที่แต่งเข้ามาเพราะเขาไม่เต็มใจ เธอผิดมากเลยหรือไง เธอไม่มีปากมีเสียงพูดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
“ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับฉันแล้วทำไมคุณไม่คัดค้านตั้งแต่แรกล่ะ ยอมมาแต่งงานกับผู้หญิงหิวเงินอย่างฉันทำไม” เหมือนถูกหญิงสาวตบหน้าคืนกลับบ้าง ทั้งๆ ที่เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่เขาต้องงานกับเธอเพราะอะไร แต่เธอก็ยังมายอกย้อนถามให้เขาเจ็บใจอีก ร้ายจริงๆ ผู้หญิงคนนี้
“นั่นมันเรื่องของฉัน อย่ามายอกย้อน และก็จำให้ขึ้นใจว่าฉันไม่ได้เต็มใจอยากแต่งงานกับผู้หญิงหิวเงินอย่างเธอก็พอ...อ๋อ! และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป งานของเธอคือเข้ามาเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านกาแฟที่นี่ ร้านเปิดเก้าโมงเช้าปิดห้าโมงเย็น เธอต้องมาก่อนร้านเปิดครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวฉันจะให้คนในร้านสอนงานเธอ และเธอจะได้รับเงินค่าจ้างเป็นรายเดือนเหมือนกับพนักงานทุกคนที่นี่ ส่วนช่วงเช้าก็ต้องเข้าไปทำงานห้องครัวที่บ้าน ช่วยเด็กในบ้านทำงาน ไม่ใช่ตื่นสายเหมือนเมื่อเช้า”
“ค่ะ”
“และมีอีกหนึ่งเรื่องที่เธอต้องทำ ทุกวันก่อนมาทำงานและหลังเลิกงานเธอต้องเอาข้าวไปส่งคุณตาฉันที่บ้านสวน เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะพาเธอไปหาคุณตา พรุ่งนี้เธอจะได้ไปถูก”
“ค่ะ"
“และมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอต้องรู้นั่นก็คือ เวลาที่ฉันต้องการเธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อไหร่ ถ้าฉันจะเอาก็คือเดี๋ยวนี้ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น” นารีกานต์หน้าเหวอไปเล็กน้อยกับประโยคนี้
ให้ตายเถอะ..นอกจากจะปากร้าย ไร้หัวใจแล้วยังหื่นไม่เลือกที่เลือกเวลาอีกเหรอเนี่ย ให้ตายสิ!
“ค่ะ”
“และที่สำคัญเธอห้ามป้องกันเด็ดขาด เพราะถ้าปีนี้เธอไม่ท้อง รู้ใช่ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” นารีกานต์เชิดหน้าขึ้น รอยยิ้มคล้ายจะเย้ยเผยอยู่มุมปากของหญิงสาว สายตาจ้องมองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ทว่าพอได้สัมผัสเนื้อแท้ของผู้ชายที่ใครต่างก็บอกว่าอบอุ่นพูดจาไพเราะดุจพ่อพระของทุกคนกลับไม่ใช่อย่างนั้น เขาคือผู้ชายที่ยั่วโมโหและปากร้ายอย่างไม่น่าอภัย รวมไปถึงจิตใจของเขาก็ร้ายกาจยิ่งนัก
“ถ้าครบหนึ่งปีฉันยังไม่ท้อง คุณอัคคีจะทำยังไงคะ ในเมื่อฉันก็ไม่ได้ป้องกันและเราก็ยังมีอะไรกันไม่เคยขาด” มุมปากที่ยกขึ้นในตอนแรก ระบายรอยยิ้มหวานออกมาอย่างจงใจ
และนั่นจึงเหมือนเชื้อไฟที่ทำให้อารมณ์ของอัคคีโหมกระพือลุกโชนขึ้นมา จากที่คิดไว้ว่าตัวเองสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่เมื่อเจอผู้หญิงคนนี้ยั่วเข้าให้ อัคคีก็แน่ใจว่าตัวเองไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย ร่างสูงปรี่จากเก้าอี้เข้ามาหาหญิงสาว กระชากแขนเรียวให้ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากัน
แม้จะรู้สึกเจ็บจนใบหน้าเหยเกแต่นารีกานต์กลับไม่ปล่อยเสียงร้องออกมาสักแอะ ตรงกันข้ามกับจ้องเข้าไปในดวงตาคมคู่นั่นอย่างท้าทายไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด เพราะเธอรู้แล้วว่าการที่เธอจะมีชีวิตรอดโดยไม่ถูกผู้ชายคนนี้ขย้ำตาย เธอต้องเข้มแข็งและพร้อมชน เธอจะอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้
“ใช้สมองคิดแล้วใช่ไหมถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา ถ้ามันจะพลาดก็พลาดที่มดลูกเธอนั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง”
“เหรอคะ แต่ก่อนที่ฉันจะแต่งงานกับคุณ คุณนายสายธาร เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าคุณแม่สินะคะถึงจะถูก ท่านพาฉันไปตรวจความพร้อมของร่างกายรวมทั้งมดลูกมาแล้วเรียบร้อย ซึ่งผลที่ออกมาก็คือฉันแข็งแรงดีและพร้อมจะมีลูก และถ้าฉันไม่ท้อง คงไม่ต้องบอกนะคะว่าใครที่ไม่ได้เรื่อง” แสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมาอย่างสะใจสายตาที่มองไปยังอัคคีก็ฉายแววเยาะเย้ยไม่ต่างกัน
“ปากดีอย่างนี้ต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้วมั้ง”
พูดจบอัคคีก็ประกบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มบดขยี้รุนแรงตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในขณะนี้ ไม่ได้พลุ่งพล่านเพราะเสน่หาแต่พลุ่งพล่านเพราะถูกนารีกานต์ดูถูกว่าตัวเองไม่มีน้ำยา
ผู้หญิงปากเก่งแบบนี้ต้องสั่งสอนให้หลาบจำว่าอย่ามาปากดีกับคนอย่างเขา อย่ามาต่อล้อต่อเถียงและแสดงกิริยาอวดเก่งกับเขาอีก
เมื่อลงโทษคนปากเก่งจนพอใจและแน่ใจว่าตัวเองได้สร้างความเจ็บและอาการบวมเจ่อลงบนเรียวปากอิ่มแล้วนั้น อัคคีก็ถอนริมฝีปากออก แสะยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“จำไว้ว่าอย่าปากเก่งกับคนอย่างฉันอีก และอย่าคิดว่าที่ฉันจูบเธอเพราะฉันพิศวาสเสน่หาในตัวเธอ แต่ที่ฉันจูบเพราะฉันต้องการสั่งสอนคนปากดีอย่างเธอต่างหาก ออกไปจากห้องทำงานฉันได้แล้ว ไปหาไอ้ทิวให้ไอ้ทิวมันสอนงาน”
“ค่ะ” รีบหมุนตัวเดินไปยังประตูห้อง กระชากประตูเปิดออกและเดินออกไปพร้อมกับความรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอกน้ำตารื้นขอบตาด้วยความเจ็บ ทว่านารีกานต์ต้องกล้ำกลืนฝืนไม่ให้มันไหลออกมา
นี่แค่วันที่สองที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ เธอยังถูกดูถูกดูแคลนขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าวันต่อๆ ไป เธอจะพบเจอกับอะไรบ้าง
นารีกานต์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามฝืนความรู้สึกย่ำแย่ของตัวเองเอาไว้ ฝังมันให้ลึกลงไปจนสุดก้นบึ้งของความรู้สึก เดินเข้าไปหาทิวที่ยืนเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่
“คุณอัคคีให้พี่มาเรียนงานกับทิว สอนงานพี่ด้วยนะ อยากให้พี่ช่วยอะไรบอกได้เลย” แม้อารมณ์โกรธกรุ่นจากภายในที่ถูกอัคคีกวนให้ขุ่นเคืองก่อนหน้านั้นจะยังไม่จางหาย แต่นารีกานต์ก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าคนละคนกัน และทิวก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหากเธอจะสาดอารมณ์ใส่
“ครับ งั้นเริ่มจากช่วยผมเช็ดโต๊ะก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมไปเอาผ้ากับผ้ากันเปื้อนมาให้” นารีกานต์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทิวจึงเดินหายกลับเข้าไปหลังร้านและกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าเช็ดโต๊ะและผ้ากันเปื้อนของทางร้าน
นารีกานต์รับผ้ากันเปื้อนจากทิวมาสวมและรับผ้าเช็ดโต๊ะมาถือไว้ พร้อมกับส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม งานบ้านงานเรือน งานทำความสะอาด ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ แต่เป็นงานถนัดสำหรับเธอเลยล่ะ ต่อให้เธอทำมากกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำคัญเธอ