“ปล่อยหนูนะ!” ฉันบอกเขาพร้อมสลัดมือหนาออกเป็นการสำทับ
แต่ความพยายามของฉันกลายเป็นฝุ่นผงไปเลยเมื่อเทียบกับพละกำลังอันมหาศาลของเขาที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“มากับพี่” พี่คิมเปลี่ยนมาลากฉันไปที่รถยนต์คันหรูซึ่งจอดเทียบรั้วอยู่ไม่ไกล
ฉันพยายามขืนแรงเต็มที่เพราะไม่อยากไปไหนมาไหนกับเขาอีกแล้ว กลัวประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย แต่ก็นั่นแหละ กลัวแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
รู้ตัวอีกทีพี่คิมก็ลากฉันมาถึงรถจนได้ หลังจากนั้นฉันก็กลายเป็นตุ๊กตาอัดหนุนที่ถูกยัดเข้ามาด้านในอย่างง่ายดาย ง่ายจนฉันเองยังตกใจเลย
“หนูจะลง หนูอยากกลับบ้าน หนูไม่ไปกับพี่”
เมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ ฉันที่เพิ่งจัดระเบียบร่างกายและท่านั่งของตัวเองได้ก็แหกปากเสียงดังลั่นเพราะอยากให้พี่คิมหยุดการกระทำบ้าๆ เดี๋ยวนี้
ตอนแรกเขาไม่แม้แต่จะชำเลืองตามอง มีสมาธิกับการขับรถยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งฉันยกเท้าขึ้นถีบแขนเขาอย่างโมโห สมาธิทั้งหมดทั้งมวลที่พี่คิมมีก็พังทลายลงทันตาเห็น
พี่คิมใช้มือข้างเดียวกันคว้าต้นขาฉันไว้เป็นการหยุด โดยที่มืออีกข้างของเขายังคงบังคับพวงมาลัยอย่างชำนาญ
“หนูอย่าดื้อกับพี่ได้ไหม”
คำว่า ‘หนู’ ในโทนเสียงทุ้มลึกติดแหบเล็ดลอดผ่านริมฝีปากติดคล้ำคล้ายกับเป็นการคำราม
สรรพนามนั้นทำให้หัวใจฉันกระตุกวูบ
ฉับพลัน...ภาพในคืนนั้นฉายขึ้นมาในหัวราวกับหนังที่หยิบมาฉายซ้ำ
‘หนูไม่เจ็บใช่ไหม?’
‘หนูตัวนิดเดียวเอง’
ถามเหมือนห่วงใย พูดเหมือนจะถนอมกัน สุดท้ายพอได้จนหนำใจก็ถ่ายรูปแบล็กเมล์แล้วหายหัวไปเป็นเดือน
หนูคงจะดีใจหรอกค่ะ
“แล้วทำไมหนูต้องทำตัวดีๆ ในเมื่อพี่คิมทำตัวร้ายๆ กับหนูก่อน” ฉันพยายามจะถีบแขนเขาอีกครั้งเป็นการระบายความกรุ่นโกรธที่ปะทุอยู่ในอก
แต่คราวนี้พี่คิมทำให้ฉันแทบน้ำลายฟูมปากตายด้วยการเคลื่อนฝ่ามือขึ้นมาสัมผัสแถวๆ ชายกระโปรงนักศึกษาที่สั้นเหนือเข่าหนึ่งคืบ
เมื่อก่อนฉันชอบใส่กระโปรงยาว แต่เพราะตัวเตี้ย...แม่และเพื่อนเลยแนะนำว่าการใส่กระโปรงที่สั้นขึ้นมาหน่อยมันจะช่วยทำให้ขาเราเรียวยาวขึ้น
ตอนแรกไม่ชอบหรอก แต่ตอนนี้ชินแล้ว
เฮือก...
ฉันสะดุ้งและร้อนผ่าวเมื่อปลายนิ้วเรียวยาวของพี่คิมสอดเข้ามาใต้ประโปรงเพียงเล็กน้อยราวกับเป็นการตักเตือน
“มีเหตุผลที่อายต้องเป็นเด็กดีกับพี่...ข้อนี้รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
พี่คิมค่อยๆ ชะลอรถ...เพียงไม่นานมันก็จอดสนิทในสถานที่ที่ฉันกล้าพูดได้เลยว่าคุ้นเคยอยู่พอสมควร
ปกติฉันนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่กลับคอนโดฯ จะไปอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางสายหลัก แต่ตรงนี้เป็นทางลัดที่ค่อนข้างแคบ รกร้าง ไม่มีบ้านคน สองข้างทางมีแต่ป่ากับต้นหญ้าที่ขึ้นสูงจนเกือบถึงเอว
ที่ฉันรู้เพราะเวลาพี่แอลมารับ มันก็จะใช้ทางนี้เหมือนกันไง
ประเด็นคือทำไมพี่คิมต้องมาจอดตรงนี้ด้วย
“เพราะพี่คิมมีภาพ...หนู”
พอพี่คิมถามหาเหตุผล ความกลัวเล็กๆ ก็ฉาบทาหัวใจฉันไปมากกว่าครึ่งดวง
เขามีรูปโป๊เปลือยของฉันอยู่ในมือ ถ้าฉันทำตัวขัดใจจนเขาทนไม่ไหวขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็...ซวยแน่
พี่แอลของฉันไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นด้วยสิ
ถ้ารู้ฉันเคยได้เสียกับพี่คิมผู้ซึ่งเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของตัวเองเข้า ไม่ใช่แค่พี่คิมนะที่จะเละเป็นโจ๊ก เพราะฉันเองก็คงสภาพไม่ต่างกัน
ไอ้พี่แอลมันโหด เวลาฉันดื้อด้านหรือทำให้ผิดหวังน่ะก็โดนตีจนก้นลายตลอดเลย
เรื่องโดนตีฉันทนได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามันโกรธฉันจนไม่ยอมคุยล่ะ ถ้ามันเทฉันล่ะ ถ้ามันเกลียดฉันขึ้นมาล่ะ...
“อยากให้ไอ้แอลรู้ไหม” ในขณะที่มือข้างนั้นยังสัมผัสขาอ่อนกัน...มืออีกข้างที่เคยทำหน้าที่บังคับพวงมาลัยก็เปลี่ยนมาเกลี่ยผิวแก้มฉันอย่างอ่อนโยน
เขามองหน้าฉันอย่างใกล้ชิด เป็นการใกล้ชิดกันครั้งที่สองของเรานับตั้งแต่เรื่องวันนั้น
“...ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าไปมาอย่างไม่มีทางออก
จะเอาตัวรอดด้วยการวิ่งแจ้นไปบอกพี่แอลว่าตัวเองโดนล่อลวงแล้วถูกพี่คิมข่มขืนก็ไม่ได้ เพราะคืนนั้น...ฉันเองก็หวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขา การปัดป้องมันเกิดขึ้นแค่ไม่กี่นาทีแรกก่อนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความเต็มใจของฉันที่มีมากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ฉันโง่เองแหละที่ยอมติดรถไปกับเขาทั้งที่เราแทบจะไม่เคยได้เรียนรู้นิสัยของกันและกันเลยด้วยซ้ำ
และความโง่ของฉันก็ทำให้ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ตลกชะมัด...
“แล้วหนูต้องทำยังไง?” น้ำเสียงของพี่คิมอ่อนโยนกว่าเดิมมาก เหมือนรู้ว่าฉันต้องแพ้เขาในโหมดนี้อย่างราบคาบแน่
“ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังพี่” ตอนพูด ฉันไม่ได้ร้องไห้ แต่ไม่รู้ทำไม...ฉันถึงได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากข้างใน
พี่คิม พี่ทำกับหนูแบบนี้เพราะพี่ต้องการแก้แค้นพี่แอลเหรอ
เพราะพี่รู้ใช่ไหมว่าหนูเป็นทั้งชีวิตของมัน...
“ดีมาก” มุมปากเรียบบางของเขากระตุกขึ้นนิดหน่อยคล้ายกับเป็นการยิ้ม ก่อนฝ่ามือข้างที่เคยเกลี่ยผิวแก้มกันก่อนหน้านี้จะยกขึ้นมาลูบศีรษะฉันอย่างแผ่วเบาราวกับว่า...สิ่งที่เขาสัมผัสอยู่เปราะบางมากจนอาจจะแตกหักได้ แต่นั่นเป็นแค่การเปรียบเปรยแบบโง่ๆ เท่านั้น เพราะเพียงไม่กี่วินาทีให้หลัง พี่คิมก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบางอย่างข้างหูฉัน “ลงจากรถ”
“...คะ?” คำบอกกล่าวของพี่คิมทำให้ฉันงุนงงจนวางตัวไม่ถูก
“พี่บอกให้หนูลงจากรถ” เส้นเสียงของพี่คิมไม่มีความดุดัน ปราศจากความหงุดหงิด แต่ความหมายจากรูปประโยคนั้นทำให้ฉันหวั่นๆ จนต้องกลืนน้ำลายลงคอ
แต่ฉันยังคงไม่ไหวติง ไม่ยอมลงจากรถตามที่พี่คิมสั่ง
เรื่องอะไรล่ะ...
พี่เป็นคนลากหนูขึ้นรถอย่างเอาแต่ใจ หนูบอกให้ปล่อยตั้งหลายครั้งแต่พี่ก็ไม่ยอมฟัง พอมาตอนนี้...พออยู่ในสถานที่ที่อันตรายแบบนี้ พี่คิดอะไรอยู่ถึงอยากปล่อยหนูลง
“แต่ที่นี่มันมีแต่ป่านะ”
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วพบว่าตอนนี้มันค่ำมากจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว
ตอนนั่งรถผ่านเส้นทางนี้กับพี่แอล ฉันไม่เคยรู้สึกกลัวเพราะมีมันอยู่ด้วย ไม่เคยกลัวจนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่พี่คิมบอกให้ฉันลงไป
“...” พี่คิมไม่พูดอะไร แต่สายตาชนิดหนึ่งในแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ทำให้ฉันที่อ้ำอึ้งอยู่ตรงนี้ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไปดี
ถ้าไม่ติดว่ากำลังกลัว เอาจริงๆ ก็อยากลงอยู่เหมือนกัน
แต่...ก็ได้
ยังไงฉันก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว
ต่อต้านไปพี่คิมก็โกรธ แล้วพอเขาโกรธ...เขาก็อาจจะเอารูปนั้นไปให้ไอ้พี่แอลดู
ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครที่แท้จริงมันเป็นแบบนี้เองสินะ
“หนูลงก็ได้ค่ะ”
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมทั้งเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอย่างเต็มที่ จากนั้นก็เปิดประตู ค่อยๆ ลงจากรถอย่างระแวดระวัง หันซ้ายหันขวา...พอปะทะเข้ากับป่าและความเงียบสงัด ความกลัวที่มีอยู่แล้วประมาณหนึ่งก็ถูกกระตุ้นจนฉันต้องรีบตั้งสติอย่างเร็วไว
ครึ้ม...
เสียงคำรามของท้องฟ้าทำให้ฉันซึ่งยืนหดไหล่อยู่ที่เดิมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อวานฉันเช็กพยากรณ์อากาศมาแล้วและรู้ดีว่าวันนี้ฝนจะตกหนัก แต่ความซวยคือ...เมื่อเช้าฉันดันลืมพกร่มติดกระเป๋ามาเนี่ยสิ
อยากจะบ้า!
ฉันเกรี้ยวกราดกับตัวเองได้พักหนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะลองทำตัวหน้าด้านขอให้พี่คิมไปส่งที่อื่น เนื่องจากตรงนี้มีแต่ป่า ขืนฝนตกลงมาฉันคงไม่มีที่หลบแน่
“คือ...พี่คิ...”
แต่เมื่อฉันหันกลับไป ปรากฏว่าพี่คิมขับรถจากไปซะแล้ว
ซ่า...
และแล้วฝนก็ตกลงมา
ฉันเม้มริมฝีปากขณะมองแสงไฟสีนวลของรถพี่คิมที่ไกลไปจากสายตาเรื่อยๆ กระทั่งมองไม่เห็นอะไรอีกเลยนอกจากความมืดกับเม็ดฝนมากมาย
พี่เอาหนูมาปล่อยที่นี่จริงๆ สินะ
เมื่อไม่มีทางเลือก ฉันจึงตัดสินใจที่จะโทรไปหาพี่แอล แต่...ล้วงขึ้นมากดได้ไม่ทันไร หน้าจอก็ดับพรึ่บไปต่อหน้าต่อมา
แบตฯ หมด!!!
ดี...ดีมากค่ะ ดีสุดๆ ไปเล้ย...
เมื่ออะไรไม่เป็นอย่างที่ใจหวังฉันก็หงุดหงิดจนอยากจะกรีดร้องออกมาเหมือนกัน แต่เพราะรู้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาโอดครวญ ฉันเลยเงยหน้าขึ้น...
จำได้อยู่ว่าเดินไปอีกสักพักแล้วจะเจอทางเชื่อมกับถนนใหญ่ แต่มันก็เกือบกิโลเลยแหละ...ฉันต้องเดินไปพร้อมกับการตากฝนแบบนี้สินะ
ฉันพยายามมองโลกในแง่ดีเพราะยังไงทุกอย่างก็ต้องมีทางออก แต่ระหว่างทางฉันอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบแขนตัวเองเนื่องจากความหนาวเหน็บซึ่งเป็นผลพวงมาจากการตากฝนระยะเวลานาน
จนเวลาผ่านไปเหยียบยี่สิบนาที และคาดว่าผ่านไปจนเกือบจะครบชั่วโมง ก็ยังไม่ถึงทางเชื่อมถนนใหญ่สักที
มืดก็มืด น่ากลัวก็น่ากลัว หนาวจนจะสั่นตายอยู่แล้วด้วย
พรุ่งนี้หนูมีพรีเซนต์งานแต่เช้า...แถมยังมีควิซย่อยอีก ถ้าหนูป่วยขึ้นมาจะทำยังไง
ทำไมหนูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
ทำไมกัน...