เดือนกว่าๆ ผ่านไป
“อีอาย! พี่คนนั้นมาหาแกอีกแล้วอ่ะ”
“ใครอ่ะ ไม่รู้จัก”
เพราะความเล่นใหญ่ทั้งท่าทางรวมถึงน้ำเสียงของเพื่อนรักอย่าง ‘ทับทิม’ แท้ๆ ทำให้ฉันที่กำลังเก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าต้องลากสายตาไปมอง ‘พี่คนนั้น’ อย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งพบว่าเขาคือ...
ใครวะ?
“โห สาบานสิว่าไม่รู้จักจริงๆ พี่เขาตามจีบแกมาเป็นเดือนแล้วนะ” คำบอกกล่าวของทับทิมทำให้ฉันอดกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้ “พี่ปาร์คไงๆ”
ปาร์คไหน ใช่ปาร์คจีมินวงบีทีเอสหรือเปล่า…
“ลืมไปแล้ว” ฉันหันมาสนใจในการเก็บชีทเรียนต่อ
ปฏิกิริยาของฉันทำให้ยัยทับทิมอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย
เอาจริงๆ ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยขนาดที่ว่าต้องมีคนมาตามจีบหรอกนะ ออกจะขี้ริ้วขี้เหร่ด้วยซ้ำไป
คือใช้ชีวิตมาหลายสิบปี ฉันไม่เคยมีประสบการณ์รักๆ ใคร่ๆ ไม่เคยแม้แต่การมีคนเดินเข้ามาจีบหรือทำทีขอเบอร์ขอไลน์
ฉันไม่เคยถามตัวเองว่าทำไมหัวกระไดถึงแห้งผากขนาดนี้ เพราะเดินไปส่องกระจกก็ได้คำตอบแล้ว
ผู้หญิงตัวเตี้ยๆ ผิวขาวซีดเหมือนไก่ต้มสุข ไม่แต่งหน้า ทาแต่ลิปบาล์มกับแป้งเด็กกระป๋องเล็ก ผมเผ้าไม่ค่อยหวี ชอบใส่กระโปรงยาวจนเกือบจะถึงตาตุ่มกับรองเท้าผ้าใบเน่าๆ คู่โปรด...บรรยายให้เห็นภาพขนาดนี้คงรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่มีใครมาจีบเลย
ฉันไม่ซีเรียสกับชีวิตที่ไม่มีแฟน เพราะมีเพื่อน มีพี่ชาย มีน้องๆ มีพ่อ มีแม่ มีโอป้าเกาหลีในจอให้หวีดไปวันๆ ฉันก็มีความสุขมากแล้ว
กระทั่ง...ปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงขึ้นปีหนึ่งใหม่ๆ แม่เริ่มทนไม่ไหวกับสารรูปฉันจึงจับขัดศรีฉวีวันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า บอกทริคการแต่งตัวที่เข้ากับตัวเองมากที่สุด รวมไปถึงการแต่งหน้าให้ดูสดใสสมวัยด้วย
ยอมรับว่าตอนแรกมันยากมาก แต่ผ่านไปเรื่อยๆ ฉันก็เคยชิน
และความเคยชินนี้ก็นำพาผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาในชีวิต
ทับทิมบอกฉันว่า ‘ไม่ใช่ว่าแกขี้เหร่เว้ยอาย แกแค่ปล่อยตัว ไม่ยอมดูแลตัวเองดีๆ พอแต่งหน้าแต่งตา รู้จักแต่งตัวบ้าง คนอื่นเขาก็เห็นว่าแกเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง’
เขินเลย...
แล้วก็ใช่ พี่ปาร์คอะไรนั่นเป็นหนึ่งในผู้ชายที่เข้ามาจีบฉัน ทับทิมบอกว่าตามจีบเป็นเดือนแล้ว แต่ฉันไม่ยักจะจำได้
“แกก็ไปคุยกับพี่เขาหน่อยดิ ฉันเห็นเขายืนรอเก้อหลายนาทีแล้วนะ” หลังจากจัดการเก็บชีทและอุปกรณ์การเรียนเข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ทับทิมที่เดินตามมาก็ยังไม่หยุดยัดเยียดพี่คนนั้นให้ฉันสักที
“ก็เราไม่อยากคุย อยากกลับบ้านแล้ว” ฉันหน้าบูด “วันนี้ไอ้พี่แอลจะมารับด้วย ขืนปล่อยให้มันรอคงโดนเตะตูดแตกแน่”
“โหย...”
พอได้ยินชื่อพี่ชายฉัน ท่าทีของทับทิมก็เปลี่ยนไป
มันรู้ว่าพี่แอลของฉันโหดมาก นอกจากหน้าตาจะเหม็นเบื่อไม่รับข่งรับแขกแล้ว คำพูดคำจาที่ติดจะนักเลงหน่อยๆ น่ะทำให้เพื่อนฉันกลัวจนเกือบจะร้องไห้มาแล้วหลายหน
“ตามนี้เลย ไงไว้เจอกันนะ” เพราะรู้ว่าการเซ้าซี้ฉันต่อไปไม่ใช่เรื่องที่ดี ทับทิมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยอมโบกมือลาแล้วแยกกันตรงหน้าตึกคณะ
เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องอยู่คนเดียว คิดไว้ไม่มีผิดว่าพี่ปาร์คคนนั้นต้องตามมา
“เดี๋ยวก่อนครับน้องอาย!” ครั้นจะเดินหนี เขาก็รั้งฉันไว้ด้วยเสียงอันดังก้อง
เดิมทีฉันเป็นคนมีมารยาทและเฟรนด์ลี่กับทุกคน ฉะนั้นการเพิกเฉยและเดินหนีทั้งที่ถูกเรียกไม่ใช่นิสัยที่ฉันจะทำ ต่อให้ไม่อยากคุยกับเขาเลยก็เถอะ
“พี่มีอะไรกับหนูหรือเปล่า พอดีพี่ชายหนูมารอรับกลับบ้านค่ะ” ฉันใช้น้ำเสียงปกติ ไม่ลืมเงยหน้าขึ้นมองพี่ปาร์คที่ตัวสูงลิ่วอย่างกับเสาไฟไปด้วย
“ก็...มีครับ แต่ถ้าน้องอายรีบ พี่ไม่รบกวนก็ได้ครับ ไว้พรุ่งนี้พี่จะมาหาอีกนะ” เขาอ้ำอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่ไม่นานก็ยอมพูด เป็นคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่พอสมควรเลยแหละ
ฉันยิ้มให้แทนคำตอบก่อนจะหมุนตัวเตรียมก้าวเท้าไปยังจุดที่เคยนั่งรอให้พี่แอลมารับ แต่คงเพราะความรีบด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ฉันสะดุดทางต่างระดับซึ่งมีความสูงกว่าไม่ถึงสามเซนติเมตรจนหน้าเกือบคะมำ โชคดีที่พี่ปาร์คตามมาโอบไว้
“ขะ ขอบคุณค่า”
ถึงจะอึดอัด แต่เพราะเขาเป็นคนช่วยไม่ให้ฉันได้รับบาดเจ็บ การเอ่ยขอบคุณจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
แน่นอนว่าการโอบของพี่ปาร์คทำให้นักศึกษารอบกายมองมาที่เราสองคน
บางคนมองแบบไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรมากมายนัก แต่บางคนคงคิดว่าเราเป็นแฟนกัน และบางคนคงแอบตำหนิที่เราทำอะไรโจ่งแจ้งในสถาบันการศึกษา
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ฉันรับรู้ได้ว่าทิศทางใดทิศทางหนึ่ง...มีใครบางคนจ้องฉันอยู่เหมือนกัน
เป็นสายตาที่รับรู้ได้ถึงความอันตรายจากระยะห่างหลายเมตร
ฉันเม้มริมฝีปากแล้วลองเหลียวหลัง ถึงได้พบกับนัยน์ตาคมกริบของใครคนหนึ่งจากตรงนั้น...
และสายตานักล่าคู่นั้น...ทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว
ขะ เขา...
ทันทีที่ได้คำตอบว่าเขาคนนั้นคือใคร ความจุกเล็กๆ ในอกก็คืบคลานเข้ามาทันที ภาพเมื่อเดือนก่อนเองก็พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาในหัวโดยไม่ได้นัดหมาย
พี่คิม ไอ้พี่คิมคนเฮงซวย!
ฉันมองเจ้าของสายตาลึกลับและแสนจะดุดันครู่นั้นไม่นานก็เลือกที่จะเชิดใส่ คิดว่านางสาวไอรีนคนนี้จะแคร์กับการปรากฏตัวของพี่เหรอ?
ฝันเฟื่อง
“ระวังหน่อยนะ” คำเตือนที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ปาร์คทำให้ฉันลากสายตากลับไป พบว่าเขาส่งยิ้มบางๆ มาให้และไม่ลืมคลายอ้อมแขนออกเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกอึดอัดมากไปกว่านี้
ฉันส่งยิ้มกลับ ก้มศีรษะให้อีกหนึ่งทีแล้วเป็นฝ่ายแยกตัวออกมา
ตอนนั้นมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะรีบสปีดฝีเท้าเพื่อวิ่งผ่านม้าหินอ่อนข้างรั้วมหา’ลัย...ซึ่งเป็นจุดที่พี่คิมยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่
แต่การสั่นเตือนของโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายใบเล็กทำให้ความคิดดังกล่าวรวมถึงสองเท้าหยุดชะงัก แล้วรีบล้วงมันขึ้นมาดู
เป็นไอ้พี่แอลเอง
พี่ชายหนูเป็นหมา :: แกกลับเองได้เปล่า พอดีมีธุระด่วน ไปรับไม่ได้แล้ว
พี่ชายหนูเป็นหมา :: ส่งสติ๊กเกอร์หมาทำหน้าร้องไห้**
เวรกรรม ติดธุระวันไหนไม่ติด ดันมาติดวันนี้!
โอ๊ย แล้วหนูจะทำยังไงดีล่ะคะ
หลังจากอ่านข้อความที่ไอ้พี่แอลส่งมาบอก ฉันก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนคนถูกล้างสมอง มันไม่ใช่ว่าฉันกลัวการเผชิญหน้ากับพี่คิมนะ
แต่จะว่ายังไงดีล่ะ...
พี่คิมได้ทั้งตัวฉัน ได้ทั้งหัวใจฉัน แต่เขากลับควักมาขยี้เองกับมือด้วยการกระทำสุดร้ายกาจ...เท่านั้นไม่พอ ยังหายไปนานเป็นเดือน ไม่มีการติดต่อใดๆ
กลับมาทั้งทีจะมาดีๆ ก็ไม่ได้ ทำไมต้องใช้สายตาดุดันขนาดนั้นกับฉันด้วย
หวาดๆ เหมือนกันนะ
แต่เอาวะ ทำใจดีสู้เสือไปเลยก็ได้ จะกลัวทำไม
หนูน่ะ แข็งแรงทนทานชนิดที่วิ่งชนรถสิบล้อ รถสิบล้อยังบุบเลยนะ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าปอด จากนั้นก็เดินเชิดๆ สวยๆ ไปยังทางออกของมอ พยายามอย่างมากที่จะไม่เหลือบมองเจ้าของร่างสูงในชุดโทนสีเข้มฝั่งซ้ายมือ แต่รู้สึกได้อยู่ดีว่าทุกๆ การเคลื่อนไหว ยังคงถูกสายตาคู่นั้นตอกตรึงไว้
จนกระทั่ง...
หมับ
ฉันถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือหนาทรงพลังจากคนใจร้ายที่พยายามหลีกเลี่ยง
“เดินหนีเหรอ” และนี่คือคำทักทายแรกในรอบหนึ่งเดือนของเขา
ถามมาได้! จะให้หนูวิ่งไปไฮไฟว์ เอโย่ว แล้วถามว่า ‘เฮ้ยพี่คิม หายหัวไปเลย ทำไมเพิ่งกลับมา’ อย่างนี้เหรอ