“หนู...” ฉันอ้าปากพะงาบ อยากปฏิเสธแทบตาย แต่เพราะเสียงโวยวายของพี่ชายจากหน้าประตูห้องในตอนนั้น ทำให้ฉันต้องรีบตัดสินใจอย่างด่วนจี๋ “ถ้าพี่ยอมเข้าไปหลบดีๆ หนูจะเชื่อที่พี่บอกทุกอย่างเลยค่ะ”
ร้ายกาจจริงๆ เลย...
“ดีมาก”
สิ้นคำตอบรับสั้นๆ ที่แสดงออกถึงความพออกพอใจ ร่างฉันก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพียงไม่นานพี่คิมก็เข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าอย่างว่าง่าย
ฉันว่านะ ใจจริงพี่คิมคงอยากเผชิญหน้ากับพี่แอลตรงๆ มากกว่าจะเข้าไปหลบอยู่ข้างในอย่างเสียศักดิ์ศรี เพราะในขณะที่ฉันกลัวจนหัวแทบหดเข้ากระดอง แต่เขาดันตรงข้ามกับฉันอย่างสิ้นเชิง
เสี้ยววินาทีหนึ่งฉันรู้สึกว่าโชคยังเข้าข้างที่เขาไม่นึกพิเรนทร์เดินไปประตูเอง แต่ในเวลาต่อมาก็เหมือนโลกจะถล่มลงตรงหน้าเพราะสิ่งที่เพิ่งรับปากไปหยกๆ นั้นไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองเข้าถ้ำเสือสักนิด
ผู้ชายคนนั้น...หาเวลาต่อรองได้เหมาะเจาะจริงๆ
เขาทำให้ฉันได้สัมผัสกับคนประเภท ‘ฉลาดแกมโกง’ ซึ่งมันก็คือตัวของเขาเองนั่นแหละ
พอพี่คิมเข้าไปหลบในตู้เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ตั้งสติ ทำตัวเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นค่อยวิ่งไปเปิดประตูให้พี่แอลทันที
“ไอ้เด็กเวร ทำไมเพิ่งมาเปิดประตู!”
แล้วเมื่อฉันเปิดประตูให้เท่านั้นล่ะ พี่แอลที่หน้าดำคร่ำเครียดก็สาดคำถามใส่อย่างไม่รีรอ น้ำเสียงของมันดุดันและเกรี้ยวกราดมาก เหมือนพร้อมจับฉันเฆี่ยนตีด้วยไม้หวายได้ทุกเมื่อ
“หนูเข้าห้องน้ำ! ทำไมต้องโวยวายด้วยอ่ะ” ฉันให้คำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุด และมันเป็นเวลาเดียวกันที่พี่แอลก้าวเท้าเข้ามาด้านในพร้อมกวาดสายตาไปรอบห้องอย่างนึกสงสัย
หัวใจฉันเต้นระทึกทันที
ลำคอที่แห้งผากมากอยู่แล้วในตอนแรก ขณะนี้สภาพมันคงแห้งเหือดไม่ต่างจากท้องนายามหน้าแล้งแน่ๆ...
“โกหกหรือเปล่า เมื่อกี้พี่ได้ยินเสียงแกเหมือนคุยอยู่กับใคร” พี่แอลหันขวับกลับมา ส่งสายตาคมกริบเหมือนใบมีดเป็นการกดดันฉันซึ่งได้แต่กลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เย็นเข้าไว้ไอ้อาย ไม่มีอะไรน่ากลัว...
ซะเมื่อไหร่ล่ะ!
ขืนมันจับได้ขึ้นมาว่าเมื่อกี้ฉันคุยกับพี่คิมศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง ฉันคงโดนมันตีจนหลังลายแน่ๆ
“หนูเปล่าคุยกับใครนะ ร้องเพลงเฉยๆ” ฉันอธิบายอีกครั้ง จนกระทั่งร่างสูงโปร่งของพี่ชายก้าวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าฉันเองก็ต้องแหงนหน้าขึ้นไป
แล้วพออยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้ ฉันเพิ่งสังเกตเห็นรอยแดงบนแก้มซีกขวาของมัน คล้ายว่าถูกใครสักคนตบมาเลย
“แกไม่ได้ซุกผัวไว้ใช่ไหม?” น้ำเสียงที่เคยเกรี้ยวกราดเปลี่ยนมาเย็นเยียบจนฉันขนลุกซู่
ผัวเผออะไร ไม่มี...
“พี่คิดว่าอย่างหนูจะมีผัวกับเขาเหรอ?” ฉันกะพริบตาปริบๆ ขณะมองหน้ามัน
ใสซื่อขนาดนี้...พี่แอลต้องเชื่อแล้วนะว่าหนูบริสุทธิ์ใจมากแค่ไหน
“มันก็ไม่แน่หรอก” ไอ้พี่ชายตัวยักษ์ยกมือขึ้นผลักศีรษะฉันหนึ่งที “...แต่ถ้าแกยืนยันว่าไม่มีอะไรพี่ก็จะไม่เซ้าซี้”
“...”
“แกรู้ใช่ป่ะ ถ้าเกิดพี่มารู้ทีหลังว่าแกโกหก จะเกิดอะไรขึ้น?”
ต่อให้ไม่มีกระจกส่อง แต่ฉันโคตรมั่นใจเลยว่าตอนนี้ตัวเองต้องหน้าซีดเป็นไก่ต้มสุกแล้วแน่ๆ
“เออน่า ก็บอกว่าไม่มีไรไง แก่แล้วคิดมากเหรอเรา” แต่เพื่อความแนบเนียน ฉันจึงกลบเกลื่อนความกลัวที่ก่อตัวขึ้นอยู่ภายในใจด้วยการพูดจาติดตลก ทำให้บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่นี้จางหายไป “แล้วมาหามีไรอ่ะ”
ฉันถามต่อ
“ทะเลาะกับพลัม” นั่นคือคำตอบของพี่ชาย เป็นไปได้ว่ารอยบนแก้มคือรอยตบของพี่ลูกพลัม
บางทีฉันก็สงสัยนะว่าสองคนนี้เนี่ย...มีเดือนไหนไม่ทะเลาะกันบ้าง “คืนนี้พี่นอนกับแกนะไอ้ดื้อ”
อ้าว แล้วพี่คิมในตู้เสื้อผ้าล่ะจะทำยังไง?
ฉันคิดไม่ตกและเริ่มกลับมามีอาการลนลานอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนแรกคิดว่าพี่แอลแค่แวะมาถามไถ่หรือซื้อของกินมาฝากเลยให้พี่คิมเข้าไปหลบในตู้ก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องมันดันมาจบลงตรงที่พี่ชายหัวแดงขอนอนค้างที่นี่ซะได้!
ใจหนึ่งก็กังวลว่าพี่คิมจะอยู่ในนั้นได้ยังไงเป็นเวลานานๆ ทั้งร้อน ทั้งมืด ลองเทียบตัวเขากับขนาดตู้ดูแล้ว คิดว่าพี่คิมต้องอึดอัดมากแน่ๆ
แต่ที่กลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดคงหนีไม่พ้นนิสัยที่ดูแล้วน่าจะชอบความท้าทายของเขา กลัวเหลือเกินว่าเขาจะออกมาประจันหน้ากับพี่ชาย พอถึงเวลานั้นการปั้นน้ำเป็นตัวของฉันก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความหมาย
“แกยังไม่หายไข้เหรอ หน้าซีดอีกละ”
เสียงทุ้มแหบติดกวนประสาทของพี่แอลดึงฉันออกจากภวังค์ความคิด ครั้นเมื่อหันกลับไปยังต้นตอของเสียงก็พบว่ามันที่เดินไปนั่งบนโซฟาได้ถอดเสื้อตัวนอกออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำสนิทแบบที่ชอบใส่กับกางเกงยีนขายาวตัวโปรดเท่านั้น
ความจริงมันจะขึ้นไปนอนในห้องเก่าของตัวเองก็ได้นะ แต่คงเหงาล่ะมั้ง
“อือ แต่ก็ดีขึ้นแล้วแหละ” ฉันตอบก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ พี่ชาย ไม่ลืมยกมือขึ้นแตะเบาๆ บริเวณรอยแดงข้างแก้มมันด้วย
“ฉิบ! เจ็บ...” การกระทำของฉันทำให้พี่แอลสะดุ้งอย่างห้ามไม่ได้ “พลัมแม่งตบพี่หน้าหันเลย พี่คิดว่าคอจะหลุดออกจากบ่าซะอีก”
ว่าแล้วก็บ่นเรื่องพี่ลูกพลัมให้ฉันฟังด้วยใบหน้าหงอยๆ เหมือนลูกหมาถูกทิ้ง ความเกรี้ยวกราดไม่หลงเหลืออยู่แล้วในตอนนี้ เหลือแต่นายอนาวิลตัวน้อยๆ แก้มกลมๆ ของลูกพี่ไอรีน
“ไปแกล้งอะไรพี่ลูกพลัมอีกอ่ะดิ” ฉันถาม...ทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล
“แกล้งอะไรวะ ก็แค่ขอ...” ท้ายประโยคนั้นขาดหายไปเหมือนมันไม่อยากพูดออกมา พอฉันทำหน้าอยากรู้อยากเห็น มันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เป็นเด็กเป็นเล็ก พี่ไม่พูดดีกว่า”
“แน่ะ” ฉันหรี่ตามองพี่ชายอย่างรู้ทัน
ถึงไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็พอจะเดาได้อยู่นะ
พี่แอลน่ะหื่นตัวพ่อ ยิ่งกับแฟนสวยๆ อย่างพี่ลูกพลัม ไม่ให้คิดลามกเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าฉันเป็นพี่แอลแล้วมีแฟนแซ่บขนาดนั้น...ก็คงมีโมเม้นต์อยากฟัดให้จมเขี้ยวบ้างแหละ
“เออน่า ไม่ต้องมามอง เดี๋ยวโบกคว่ำ” ไอ้พี่แอลคนหื่นทำเสียงโหดจนฉันต้องหยุดหรี่ตาเพื่อไม่ให้โดนโบกจนหัวหลุด ไม่นานมันก็หยัดตัวขึ้นจากโซฟา “เดี๋ยวอาบน้ำแป๊บนะ ร้อน”
ดีเลยแบบนี้!!
“เคๆ อาบเลย ตามสบาย” ฉันพยักหน้าให้อย่างกระตือรือร้น
จนกระทั่งมันหายเข้าไปในห้องน้ำนั่นแหละ ฉันจึงกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟา ก่อนก้าวเท้าอย่างรีบร้อนไปที่ตู้เสื้อผ้า
นี่ถือเป็นโอกาสทอง ในระยะเวลาห้านาทีทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
แอ้ด...
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพ่นมันออกมาเพื่อลดอาการประหม่า แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสโดนตู้เสื้อผ้านั้น มันก็ถูกเปิดออกมาด้วยพี่คิมซะเอง
ฉันผงะและเผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แน่นอนสองตายังคงจับจ้องเขาไม่ห่าง
แม้จะอยู่ข้างในแค่ไม่นาน แต่ดูจากหยาดเหงื่อตามกรอบหน้าคิดว่าเขาคงร้อนและอึดอัดมากน่าดู
หากเป็นคนอื่นคงแสนจะน่าสงสารที่ปล่อยให้นั่งเหงื่อแตกพลั่กอยู่ในนั้นเพียงลำพัง แต่เมื่อทั้งหมดเกิดขึ้นกับพี่คิม เหงื่อชุ่มๆ พวกนั้นกลับทำให้เขาดูเซ็กซี่เฉยเลย...
“พะ พี่คิมรีบออกไปเร็วๆ” หลังแอบมองหยาดเหงื่อบนใบหน้าและลำคอหนา ในที่สุดฉันก็กระชากสติกลับมาแล้วรีบบอกให้เขาไปจากที่นี่โดยด่วน
พี่แอลเป็นคนอาบน้ำเร็วมาก แค่หนึ่งหรือสองนาทีก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด!