แต่เอาจริงๆ นะ ตอนนี้แค่นับหนึ่งถึงสิบยังยากเลย
จนกระทั่งเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมการยุบตัวของโซฟาราวกับมีบางคนทิ้งตัวลงนั่ง
“ตื่นแล้วก็ลืมตา” และแล้วเสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ก็ดังขึ้น กระชากฉันจากความกลัวเพื่อมาพบกับความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่า
“พี่เข้ามาได้ยังไง!”
เมื่อได้คำตอบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นพี่คิม ฉันถึงกับกระเด้งตัวขึ้นยืนตั้งการ์ดเตรียมเตะเขาให้หงาย ในขณะที่พี่คิมซึ่งนั่งด้วยท่วงท่าเท่ๆ อยู่บนโซฟาเพียงแค่มองท่าทางของฉันด้วยสีหน้าปกติ
เข้าห้องคนอื่นโดยพลการขนาดนี้ ทำไมถึงยังมีหน้ามานั่งสบายใจเฉิบ!
“เดินเข้ามา” พี่คิมตอบและยังคงมองหน้าฉัน...ซึ่งไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นนัยน์ตาคมกริบก็หลุบลงต่ำกว่าเดิม ก่อนจะตรึงไว้จุดๆ หนึ่งที่ทำให้ฉันร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
สายตาของเขาแม้ไม่ได้สื่อออกมาตรงๆ จนน่าเกลียด แต่มันก็ทำให้ฉันต้องก้มสำรวจสภาพตัวเองดูบ้างเพื่อความแน่ใจ
และในตอนนั้น ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่คิมถึงมอง...
ในเมื่อฉันอยู่ในชุดสบายๆ อย่างเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นที่มีความยาวเพียงคืบกว่าๆ เท่านั้น
แล้วจะบอกอะไรให้นะ...
หนูไม่ได้สวมเสื้อชั้นในค่ะ!
แถมเสื้อกล้ามตัวที่สวมอยู่ในตอนนี้เนี่ย...ก็บางมาก บางจนมั่นใจว่าพี่คิมต้องเห็นหน้าอกเปล่าเปลือยของหนูแน่ๆ!!
“อย่ามามองนะ” เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสัญชาตญาณก็สั่งให้รีบยกมือทั้งสองข้างกอดตัวเองไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พี่คิมเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นมากไปกว่านี้
พี่คิมยังคงสงบนิ่ง เขาค่อยๆ เคลื่อนนัยน์ตาคมกล้าทรงเสน่ห์ขึ้นอย่างช้าๆ กระทั่งตรึงไว้ที่ใบหน้าของฉันเป็นสิ่งสุดท้าย “ออกไปจากห้องหนูเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ว่าพลางก้าวถอยหลังอีกสองก้าวเพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากเขาอีก
แต่พี่คิมคนเลวกลับไม่ยอมลุกขึ้นจากโซฟา ยังคงมองฉันจากตรงนั้นจนฉันต้องกอดตัวเองแน่นขึ้น
คิดว่าหล่อมากแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ
คิดว่ามีกล้ามแน่นๆ น่าลูบไล้แล้วจะทำตัวแย่ๆ กับหนูยังไงก็ได้หรือไง
ไอ้บ้าเอ๊ย...
“แน่จริงไล่พี่อีกทีสิ”
นอกจากไม่ฟังคำพูดของฉันแล้ว พี่คิมที่ตอนแรกไม่ยอมลุกไปไหนก็หยัดตัวขึ้นจากโซฟา ก่อนใช้ขายาวๆ ก้าวมาหาฉันอย่างมีจุดหมาย ใช้เวลาไม่นานเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าและนั่นทำให้ฉันต้องกลืนน้ำลายลงคออีกอึกเบ้อเริ่ม
ไอ้ไล่น่ะไล่แน่ จะไม่ไล่ธรรมดา แต่จะถีบส่งแบบไม่ปรานีใดๆ ด้วย
แต่...ถ้าทำขึ้นมาจริงๆ แล้วพี่คิมเกิดเอาเรื่องรูปนั่นขึ้นมาขู่อีกล่ะ คนขี้กลัวอย่างฉันจะมีปัญญาไปเบ่งกล้ามอวดดีต่อได้ยังไง
พูดแล้วก็นึกเสียดาย ทำไมฉันไม่ได้นิสัยกล้าได้กล้าเสียพร้อมพุ่งชนทุกอย่างที่ขวางหน้าของพี่แอลมานะ เพราะถ้าเป็นแบบมัน ป่านนี้ฉันคงซัดพี่คิมไม่ยั้ง กว่าเขาจะมีแรงลุกขึ้นมาทำตัวแย่ๆ ใส่ ก็คงกระอักเลือดตายไปแล้ว!
“หนู...หนู...”
พอพี่คิมหยุดอยู่ตรงหน้า ปากก็คล้ายกับจะเป็นอัมพาต อยากพูดอะไรก็แสนลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตอนได้ยินเสียงลมหายใจของเขาในระยะเผาขน...
คนอะไร แค่จังหวะการหายใจยังอีโรติกขนาดนี้
“ทำไม? หลายนาทีก่อนพี่บอกหนูว่าไง” เขาคงหมายถึงข้อความที่ส่งมาหากันเมื่อหลายนาทีก่อน
“ก็หนูบอกแล้วไงว่าจะนอน” ฉันแก้ตัวแล้วพยายามหาทางหนี แต่พี่คิมไม่ปล่อยให้ฉันได้ทำตามอำเภอใจ จึงใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันไว้กับผนังที่แผ่นหลังฉันสัมผัสอยู่
เวรกรรม...เพิ่งรู้ว่าตัวเองถอยหลังจนหมดทางหนีซะแล้ว “พี่คิมนั่นแหละ หนูไม่ได้อนุญาตให้ขึ้นมาซะหน่อย!”
ฉันเกรี้ยวกราดใส่ อยากแปลงร่างเป็นหมาแล้วกัดเขาให้เลือดสาดไปเลยถ้าเป็นไปได้
พูดแล้วโมโหเหมือนกันนะ ปกติคุณสิงหายามรักษาความปลอดภัยของที่นี่จะไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในพื้นที่แม้แต่เซ็นฯ เดียวถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง แต่รอบนี้ทำไมถึงปล่อยให้พี่คิมขึ้นมาได้
พี่คิมคงไม่ได้ทำอันตรายกับเขาหรอกใช่ไหม?
“ทำไมต้องอนุญาต” พี่คิมถามเหมือนสงสัยจริงๆ หากแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย
“ก็พี่คิมเป็นคนนอก แถมยังไม่ได้เป็นอะไรกับหนูสักหน่อย” ฉันอธิบายอย่างจริงจัง และวูบนั้นฉันเห็นเรียวคิ้วข้างขวาเลิกคิ้วคล้ายกับมีเรื่องแคลงใจ
“แน่ใจเหรอว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน?”
“...” เงิบ
“หรือพี่ควรทวนความจำ เผื่อหนูจะจำได้”
กุกกัก...
สิ้นประโยคชวนเป็นลมล้มพับของพี่คิม สติที่แตกออกเป็นเสี่ยงก็แทบแหลกเป็นผุยผงเมื่อเสียงบางอย่างจากอีกฟากของประตูดังขึ้นคล้ายว่ามีใครบางคนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้น
หวังว่าคงไม่ใช่...
“เวรเอ๊ย ดันลืมพกคีย์การ์ดมาอีก” เสียงนั้นมัน... “ไอ้อาย เปิดประตูให้หน่อยดิ๊!”
...พี่แอล
งานเข้าแล้วไอรีน!
“พี่คิม! ไปหาที่หลบเร็วค่ะ!” ต่อให้ไม่พอใจพี่คิมมากแค่ไหน ในเมื่อสุดท้ายแล้วสถานการณ์มันกลับกลายเป็นแบบนี้ ฉันจึงมีตัวเลือกเหลืออยู่เพียงข้อเดียว นั่นคือการให้เขาหาที่หลบก่อนไอ้พี่ชายจอมเกรี้ยวกราดจะเข้ามาเห็น “อย่ามัวยืนนิ่งสิคะ ถ้าพี่แอลเข้ามาเห็นโดยตีตายแน่”
เพราะพี่คิมไม่ไหวติงใดๆ อีกทั้งยังทำหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ ฉันจึงเปลี่ยนมาคว้าข้อมือหนาแล้วคั้นพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อลากเขาไปซ่อนตรงไหนก็ได้ภายในห้องนี้
ซึ่งด้วยความที่ตอนนี้ไม่มีเวลามากพอให้คิด ฉันจึงตัดสินใจว่าจะให้เขาซ่อนในตู้เสื้อผ้าไปก่อน
หวังว่าพี่แอลคงไม่นึกครึ้มอยากสำรวจการแต่งกายของฉันขึ้นมาหรอกนะ ไม่งั้นล่ะซวยบรมแน่
“ต้องหลบด้วย?” เมื่อลากพี่คิมที่สูงใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวมาจนถึงหน้าตู้เสื้อผ้าซึ่งถูกทาเป็นสีขาวสะอาดตา สุ้มเสียงไร้ความตื่นกลัวก็เล็ดลอดออกมาผ่านริมฝีปากหยักลึกที่ยังคงเรียบตึงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
นั่นมันพี่แอลเลยนะ! พี่แอลศัตรูหมายเลขหนึ่งของพี่เชียวนะ! ทำไมถึงได้นิ่งเฉยมากเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
“ต้องหลบๆ หนูไม่อยากให้พี่แอลมาเห็นนะ...” ฉันหันกลับไปหาและไม่ลืมอธิบายสั้นๆ ให้เขาเข้าใจ
พี่คิมจะรู้ไหมว่าตอนนี้หัวใจฉันสั่นระรัวจนเจ็บไปหมดแล้ว ทั้งกลัว ทั้งตื่นตระหนก ไม่บ่อยเลยนะที่ฉันจะเป็นแบบนี้
“ขยับมานี่” ในขณะที่ฉันแทบร้องไห้ออกมาได้อยู่รอมร่อ พี่คิมซึ่งยังคงดูไม่ทุกข์ร้อนกลับออกคำสั่งสั้นๆ และมันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเอียงคออย่างสงสัย
“ไอ้อาย หูตึงเหรอวะ”
แน่นอนว่าท่ามกลางความงุนงงนั้น ความน่ากลัวจากอีกฟากของประตูก็สุมอกฉันมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ไม่ได้การแล้ว...
ขืนปล่อยให้รอนานกว่านี้ ไอ้พี่บ้ามันต้องคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับฉันแน่ๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ การพังประตูเข้ามาด้วยสองมือและสองเท้าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนเลือดร้อนอย่างมันเลย
“พี่คิมๆๆ หนูต้องไปเปิดประตูแล้ว พี่เข้าไปหลบก่อน...อ๊ะ”
ไฟที่ลนมาจนถึงก้นสั่งให้ฉันหันมาบอกพี่คิมอย่างร้อนใจ แต่คำพูดนั้นกลับหยุดชะงักเมื่อท่อนแขนหนาทรงพลังเลือกโอบเอวฉันไว้...ส่งผลให้ฉันถลาเข้าไปหาและแนบชิดกับตัวเขาทันที
และไม่กี่วินาทีต่อมา ฉันก็พบว่าริมฝีปากเราสองคนอยู่ใกล้กันมากจนแทบจะสัมผัสกันได้อยู่แล้ว...
ในสถานการณ์แบบนี้ พี่อย่าเพิ่งมาแกล้งหนูได้ไหม!
ฉันได้แต่กรีดร้องเงียบๆ คนเดียว เพราะในความเป็นจริงฉันถูกความช็อกพุ่งชนจนสมองหยุดทำงานแล้ว
พี่แอลก็น่ากลัว พี่คิมก็น่ากลัว
น่ากลัวกับน่ากลัวมาเจอกัน แล้วฉันจะเลือกอะไรได้
ทำไมเกิดมาเป็นคนขี้ขลาดและกากได้ขนาดนี้นะไอ้อายเอ๊ย!
“ต่อไปจะเชื่อฟังพี่หรือเปล่า?” พี่คิมถาม การขยับริมฝีปากของเขาส่งผลให้ริมฝีปากเราสองคนแตะกันแบบเฉียดฉิวทันที “เวลาพี่บอกให้ลงไปรับ หนูจะลงไปรับไหม
“...”
“ถ้าพี่อยากให้หนู 'ไปหาที่บ้าน' 'ขึ้นไปหาพี่ที่ห้อง' ...หนูจะไปหรือเปล่า?”