เชฟวี่กอดอกมองกีต้าร์ที่ตอนนี้กำลังรังสรรค์เมนูด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ดูเขาทำอาหารแล้วมีความสุขยิ้มแก้มปริท่าทางจะชอบทำอาหารมาก ก็คงไม่แปลกถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เลือกเรียนสายนี้ แต่เขาแค่อยากจะรู้ว่าชายหนุ่มมีประสบการณ์มากน้อยขนาดไหนและยังสามารถไปต่อได้อีกแค่ไหน
เขาหยิบมีดมาหั่นผักและเนื้ออย่างชำนาญและเมนูที่เขาเลือกจะทำก็คือเมนูที่ทำให้ภาดากินเมื่อวานนี้ เขาตั้งใจคิดสูตรนี้ขึ้นมาและคิดว่ามันจะสามารถขายได้และถ้าเกิดว่าได้คำแนะนำจากเชฟวี่คงจะมีประโยชน์มากเลยแหละ
“ดูกระฉับกระเฉงดีนะเราเนี่ย ท่าทางจะเป็นตัวท็อปของรุ่น”
“ไม่ขนาดนั้นครับ ผมแค่ชอบเป็นพิเศษเท่านั้นเอง”
เขายิ้มออกมาก่อนจะเริ่มทำเมนูที่คิดไว้และปรุงตามสูตรที่คิดไว้เป๊ะไม่มีขาดตกบกพร่องใดๆ และไม่นานเมนูก็ถูกจัดลงบนจานเรียบร้อย เขาถือมาวางตรงหน้าเชฟวี่และเมื่อเชฟเห็นก็ยิ้มออกมาทันที
“หน้าตาน่าทานมากแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน คิดเองสินะ”
“ใช่ครับผมคิดเมนูนี้ขึ้นมาเอง เลยอยากจะให้เชฟได้ลองชิมเผื่อว่าจะแนะนำอะไรผมบ้าง”
เชฟวี่หยิบส้อมมาถือไว้ในมือก่อนจะลองชิมเมนูตรงหน้าอย่างตั้งใจ และพอได้ลิ้มรสบอกเลยว่ามันดีมาก รสชาติกล่อมกล่อมแทบไม่ต้องแก้ไขหรือปรละเปลี่ยนตรงไหนเลย
“เปรี้ยว หวาน กำลังดีเลยนะ คิดเองเหรอถือว่ามีพรสวรรค์ไม่ใช่น้อยเลยนะเนี่ย”
“ผมควรปรับปรุงตรงไหนมั้ยครับเชฟ”
เขายิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นที่ได้รับคำชมจากเชฟในดวงใจ เขาคือไอดอลในการเรียนทำอาหารของเขาเลยนะ ตามดูตั้งแต่แข่งขันรายการจนมาถึงตอนนี้ ขอเรียกตัวเองว่าเป็นเอฟซีคนหนึ่งแล้วกัน
“ดีแล้วนะรสชาติเป็นเอกลักษณ์เลย การเป็นเชฟเราต้องมั่นใจในเมนูของตัวเอง ส่วนรสชาติทุกคนชอบไม่เหมือนกัน บางคนก็บอกว่ามันอร่อยบางคนก็ไม่ซึ่งถ้าเราต้องฟังคนนั้นทีคนนี้ทีรสชาติที่คิดมามันจะเพี้ยนหมดแต่ทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนได้ตามสิ่งที่คนกินต้องการ อะไรดีนำมาก็ปรับใช้อะไรที่ดีอยู่แล้วอย่าไปเปลี่ยน”
“ขอบคุณครับเชฟวี่สำหรับคำแนะนำ”
“การฝึกงานครั้งนี้ผมอาจจะสอนไม่เต็มร้อยเพราะต้องคอยดูแลลูกค้า แต่ผมจะให้คุณเรียนรู้จากการลงมือทำและคอยสังเกตเอานะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ การฝึกงานครั้งนี้เขาจะต้องได้ได้ประสบการณ์มากที่สุดจากผู้มีความถนัดทางสายงานนี้ และเขาจะนำไปปรับใช้กับบริษัทของตัวเองเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป
“ครับเชฟ ผมจะตั้งใจทำให้เต็มที่”
“ดีมาก งั้นลุยกันเลย”
ภาดานั่งอ่านรายละเอียดงานต่างๆอย่างตั้งใจ ระบบงานและบรรยากาศที่นี่อบอวลไปด้วยความสุข เธอชอบมากกับการมีเพื่อนร่วมงานที่นั่งปรึกษากันตลอดไม่มีใครแกร่งแย่งชิงดีกัน ซึ่งเป็นระบบงานในฝันของใครหลายคนและเธอคิดว่าจะนำไปปรับใช้กับบริษัทของตัวเอง พนักงานทุกคนจะได้มีความสุขในการทำงาน
“เป็นยังไงบ้างครับน้องภาดา ไม่ยากไปใช่มั้ยครับ”
“พอไหวค่ะ ถ้าเกิดว่าทุกคนคอยให้คำแนะนำแบบนี้ภาดาทำได้แน่นอนค่ะ”
“โอเค ถ้างั้นเริ่มงานอื่นต่อเลยนะ”
ภาดารับงานชิ้นแรกมาทำอย่างตั้งใจ ก็ไม่มีอะไรมากเป็นรายละเอียดการจองห้องพักของที่นี่แต่ว่าเป็นชาวต่างชาติซึ่งเธอเองเก่งภาษาอังกฤษมากเพราะคุณพ่อส่งเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็ก งานนี้ง่ายมากสำหรับเธอและทุกคนจะต้องภูมิใจในตัวเด็กฝึกงานคนนี้
“เรียบร้อย”
เธอยิ้มออกมาอย่างสบายใจก่อนจะลุกขึ้นเดินไปส่งให้หัวหน้าที่ห้องทำงาน เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเอ่ยถาม
“เสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ เรียบร้อยค่ะหัวหน้าช่วยตรวจดูก่อนนะคะ”
เขารับมาถือไว้ในมือก่อนจะอ่านคร่าวๆและต้องทึ่งในการเรียบเรียงคำดูเป็นมืออาชีพมาก ไม่คิดว่านักศึกษามหาวิทยาลัยจะทำออกมาได้ดีมากขนาดนี้ เหมือนคนมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนเพราะเนื้อหาและความหมายบางคำถ้าเกิดว่าไม่เคยทำงานสายขี้มาก่อนยากที่จะแปลออกได้ เขาคิดว่าเธอจะเสร็จช่วยเย็นหรือพรุ่งนี้เช้าเล่นเอาแปลกใจมากที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง
“คุณแปลดีมากเลยนะ เคยทำงานโรงแรมมาก่อนรึเปล่า แบบว่าไปทำพาร์ทไทม์หรือทำงานอย่างอื่นคุณดูมีความรู้มากกว่ารุ่นเดียวกัน”
“อ่อ เคยทำพาร์ทไทม์โรงแรมค่ะ”
เธอยิ้มออกมาทันที ก็เคยทำที่โรงแรมของตัวเองไงแต่ว่าต้องห้ามบอกเด็ดขาดไม่อย่างนั้นเธอจะโดนจับตามองซึ่งไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผู้จัดการพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งงานใหม่ไปให้
“งั้นเอานี่ไปทำแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวรับงานใหม่มาก่อนจะลองอ่านคร่าวๆเผื่อว่าไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ถามเลย ความรอบคอบของเธอมีติดตัวมาตั้งแต่เด็กซึ่งถือว่ามันเป็นข้อดีนะ
และเมื่อถึงเวลาเลิกงานภาดาก็วิ่งมาขึ้นรถแล้วกลับพร้อมกับกีต้าร์ด้วยสภาพเหนื่อยล้า เธอทำงานเร็วเกินไปก็เลยได้งานมาทำเยอะไปหมดวันนี้จึงเหนื่อยเป็นพิเศษ
“ไง… สภาพดูไม่ได้เลยนะ”
“นายก็ไม่ต่างกับฉันป่ะ นี่ไปเป็นเชฟหรือไปปลูกผักเองไม่ทราบ สภาพอย่างกับไปออกรบมา”
ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะใส่กันขำๆ สภาพทั้งสองคนดูแทบไม่ได้ คนหนึ่งหัวยุ่งหัวฟูอีกคนเหงื่อท่วมตัวหนักมาก
“ก็เออนะสิ ที่นั่นเค้าปลูกผักแบบออแกนิกฉันต้องไปเรียนรู้ผักในแปลงแล้วก็ลองชิมเพื่อแยกรสชาติให้ออก”
“ดีจังนายจะได้เก่งๆไง ส่วนฉันก็แปลเอกสารทั้งวัน ไม่น่าขยันทำเร็วเลยสุดท้ายงานมากองเต็มโต๊ะเลย เฮ้อ!”
สองคนถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองหน้ากันด้วยท่าทีเหนื่อยล้า วันนี้ขอสงบศึกชั่วคราวก่อนแล้วกันไม่มีแรงจะมาเถียงหรือโต้ตอบใครแล้ว
“กลับเถอะไปนอนพักกัน”
“โอเค”
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงที่โรงแรมก็ต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว และเธอต้องลงไปทานอาหารเย็นก่อนจากนั้นค่อยมาพักผ่อนที่นี่ เธอเดินมาถึงหน้าห้องของกีต้าร์เคาะประตูเรียกเขาหลายทีแต่ว่าก็ไม่ตอบ ประตูไม่ได้ปิดสนิทไว้เหมือนมีอะไรขวางอยู่ เธอจึงเปิดประตูเข้าไปข้างในมองหาชายหนุ่มซึ่งบังเอิญเธอไปเห็นเขากำลังหยิบเสื้อผ้าใส่ตะกร้าโดยมีพนักงานแผนกต้อนรับยืนอยู่ไม่ห่าง
“แค่นี้ก็พอแล้วครับ”
“ได้เลยค่ะ อุ๊ย!”
พนักงานของเธอเดินไปจะถือตะกร้าแต่ว่าเสียหลักล้มลงไปทับอยู่บนตัวของชายหนุ่ม ภาดากอดอกมองว่าทั้งสองคนจะทำอะไรกันและบังเอิญสายตาของกีต้าร์เห็นหญิงสาวจึงรีบผลักพนักงานออกแล้วลุกขึ้นมาอธิบายเธออย่างร้อนตัว
“ฉันอธิบายได้นะภาดามันไม่มีอะไรเลยนะเว้ย”
“อธิบายทำไม…”
“เออก็จริง…”
เหมือนเขาจะนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้หญิงสาวฟัง ภาดากอดอกมองหน้าพนักงานที่ตอนนี้ก้มหน้าลงเหมือนว่ากลัวความผิด เพราะเธอตั้งใจจะมาดูแลชายหนุ่มคนนี้โดยเฉพาะแต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ
“จำได้ว่าหน้าที่ในการมาเอาตะกร้าผ้าของลูกค้าไปทำความสะอาดคือหน้าที่ของแม่บ้าน และพนักงานต้อนรับไม่ควรเข้ามาบริการแขกถึงห้องพัก หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกนะคะครั้งนี้แค่เตือน”
“ขอโทษค่ะคุณภาดา”
หญิงสาวเอ่ยขอโทษพร้อมกับรีบวิ่งออกไปจากห้องพักทันที ดีที่เธอไม่เอาเรื่องไม่งั้นโดนไล่ออกแน่นอนเลย กีต้าร์มองภาดาอย่างอึ้งไปเวลาที่เธอเอาจริงก็ดูน่ากลัวมากเหมือนกัน และบุคลิกของเธอมีความเป็นผู้นำสูงมากและพนักงานทุกคนดูเกรงใจเธอสุดๆ
“เธอแค่ล้มมาทับฉันเองนะ ต้องว่าขนาดนั้นเลยเหรอ
“มันไม่ใช่แค่ล้มแต่มันเป็นกฎของพนักงาน ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่ามันเป็นความปลอดภัยของพนักงานจากลูกค้าหื่นกามด้วย และการเข้ามาในห้องแบบนี้มันไม่เหมาะสมอย่างมาก ถ้านายอยากได้ก็ไปซื้อกินเอาไม่ใช่มาวุ่นวายกับพนักงานของฉัน”
ภาดาเอ่ยออกมาเสียงเรียบไม่ลืมที่จะเหน็บแนมชายหนุ่มก่อนจะเดินออกไปทันที เขาทำหน้าเซ็งๆเมื่ออยู่ๆก็โดนด่าทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“โหยยยย ฉันยังไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับพนักงานของเธอเลยป่ะ อะไรวะ…. มาคุยกันให้รู้เรื่องเลยนะ”