หมั่นโถวร้อนถูกยกออกมาจากเตา ฮุ่ยชิวที่อาการดีขึ้นแล้วนางไม่อยากนอนอุดอู้อยู่ภายในห้องแคบอีกจึงลุกขึ้นมาช่วยบิดาเตรียมหมั่นโถวออกไปขาย หลังจากพักผ่อนมาสองสามวันต้าเฟยลี่ก็สามารถยอมรับความจริงได้ และเพราะรู้เรื่องราวของเรื่องทั้งหมดของเรื่องทำให้นางไม่ลำบากเท่าไหร่นักในการสวมบทบาทเป็นฮุ่ยชิว ถึงแม้การแสดงของนางจะห่วยมากนักก็ตาม
“พี่หญิง เหตุใดถึงขยันขึ้นเช่นนี้เล่า” เสียงแจ๋วๆ ของน้องชายทำให้นางต้องมองค้อน แต่ก่อนฮุ่ยชิวมักจะไม่ค่อยมาช่วยงานพวกนี้เท่าไหร่นัก นางเป็นสตรีที่ชอบออกไปข้างนอก บุกน้ำลุยป่าหาของป่ากับพี่ใหญ่เสียมากกว่า เพราะได้เงินดีกว่าการขายหมั่นโถว แม้จะทำให้ผิวกายของนางจนออกจะหมองคล้ำกว่าสตรีทั่วไปก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของนางก็ยังนับว่างามเกินกว่าสาวชาวบ้านมากนัก เมื่อเจออวิ๋นหยางพระเอกของเรื่อง เขาจึงต้องตานางได้
ถึงบทบรรยายที่กล่าวถึงฮุ่ยชิวตอนเจออวิ๋นหยางจะว่าไว้เช่นนั้น แต่ตอนนี้เองนางก็ยังไม่เห็นใบหน้าของร่างนี้ชัดๆ เพียงแค่เห็นเงารางๆ ที่สะท้อนจากผืนน้ำเท่านั้น เพราะสกุลป๋ายนั้นยากจน แม้แต่เงินยังหาได้เพียงใช้วันต่อวัน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อคันฉ่องมาส่องดูใบหน้าของตนเองเล่า เพียงแค่คิดนางก็ปวดใจ พลันรู้สึกผิดเข้าไปอีกที่เขียนให้สกุลป๋ายรันทดเช่นนี้ อ่อ ยังไม่รวมเรื่องที่มารดาของฮุ่ยชิวหนีตามผู้ชายฐานะดีคนหนึ่งไปโดยทิ้งบุตรและสามีเอาไว้ข้างหลังด้วยนะ
“ข้าช่วยเจ้าก็บ่น ข้าไม่ช่วยเจ้าก็บ่น อาหลัว ตกลงเจ้าจะเอาอย่างไรกับข้ากันแน่” นางไม่ตอบเปล่าแต่เอื้อมมือไปหยิกแก้มที่ไม่มีเนื้อของน้องชายด้วยเป็นการลงโทษ ในบทนิยาย เธอไม่ค่อยเขียนถึงครอบครัวสกุลป๋ายเท่าไหร่นัก แต่ก็พอรู้ว่าแต่ละคนมีนิสัยเช่นไร
น้องชายของนางผู้นี้ เป็นเด็กซุกซนคนหนึ่ง ปากก็ชอบหาเรื่องพูดไปเรื่อยโดยไม่ค่อยจะคิดตามภาษาของเด็กที่ยังไม่โต แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่พึ่งพาได้มากเลยทีเดียว
“ข้าแค่ถามเฉยๆ” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาพร้อมกับตีมือของพี่หญิงตนเองให้ปล่อยแก้มของเขา “โชคดีที่ตั้งแต่พี่หญิงหัวกระแทก พี่หญิงก็มือเบาขึ้นเยอะข้าเลยไม่เจ็บ”
ฮุ่ยชิวหัวเราะ ดูแล้วที่เขากล่าวมาก็ไม่ค่อยจะเชื่อมโยงกันเท่าไหร่นัก เหมือนกับพูดแซวลอย ๆ “เช่นนั้นให้ข้าแก้มืออีกสักทีดีหรือไม่”
“ไม่ๆ ข้างานยุ่ง อยู่เล่นกับท่านพี่ไม่ได้แล้ว” เขาเอานิ้วดึงหนังตาของตนเองลงข้างหนึ่งพร้อมแลบลิ้นเยาะเย้ย ราวกับจะบอกว่าแน่จริงก็ตามมาเลย ฮุ่ยชิวแลบลิ้นใส่คืนก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ เมื่อน้องชายตัวยุ่งออกจากห้องครัวไปแล้ว
เรือนสกุลป๋ายนี้ เป็นเพียงห้องเช่าเล็กแคบที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงหลายลี้ พื้นที่เรือนก็น้อยนิดจนแทบจะอึดอัดเพราะมีเพียงแค่ห้องนั่งเล่นเล็กที่ถูกดัดแปลงทั้งห้องกลายเป็นห้องครัว มีห้องน้ำหนึ่งห้อง และห้องนอนสองห้องเท่านั้น ด้วยความที่ว่านางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือน ทั้งอายุก็ย่างเข้าสิบห้าซึ่งในยุคนี้ถือว่าโตเป็นสาวพอที่จะออกเรือนได้แล้ว ทำให้นางได้มีห้องส่วนตัวแค่คนเดียว
พูดถึงเรื่องออกเรือน...เนื่องจากนางไม่ได้เขียนภูมิหลังหรือกล่าวถึงเลยทำให้ไม่ทราบว่ามีใครหมายตาป๋ายฮุ่ยชิวบ้างหรือไม่ แต่ถ้ามีก็คงดีไม่น้อยเพราะจะได้เป็นทางเลี่ยงชะตากรรมของนางที่จะเกิดขึ้น ขอเพียงเขาคนนั้นหน้าตาพอใช้ ขยันทำมาหากิน รักเดียวใจเดียวก็พอแล้ว
ขณะที่นางกำลังจัดเรียงหมั่นโถวใส่ถาดเตรียมให้บิดานำไปขายอีกรอบในตลาด นางก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเรียกอยู่หน้าบ้าน
“น้องป๋าย เจ้าอยู่หรือไม่ ข้าขอซื้อหมั่นโถวสักสิบลูก” น้ำเสียงนั้นฟังดูแล้วก็หยดย้อยไม่น้อยทำให้ฮุ่ยชิวรู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ ยังไม่ทันที่นางจะตอบกลับ เขาก็เอ่ยออกมาอีกหนึ่งประโยค “ขอร้อนๆ เลยนะน้องป๋าย”
“รอสักครู่นะเจ้าคะ”
ฮุ่ยชิวจัดหมั่นโถวใส่ห่อ ก่อนจะผูกเชือกให้ติดกันอย่างทุลักทุเลเพราะความไม่ชิน แม้รูปร่างและปมเชือกจะออกมาแปลกๆ ไม่สวยเหมือนเห็นบิดาห่อแต่ก็พอจะหิ้วได้ จึงรีบหิ้วไปส่งลูกค้า
เพียงแค่เห็นสตรีร่างบางโผล่ออกมาจากประตู ใบหน้าอ้วนท้วมก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี “น้องป๋าย วันนี้เจ้าก็งามเช่นเดิม”
คำชมนี้ทำให้นางชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ได้สนใจหมั่นโถวที่นางนำออกมาให้แม้แต่น้อย เพียงมองตาก็รู้แล้วว่าบุรุษอ้วนผู้นี้กำลังต้องตานางอยู่ต่างหาก แค่คิดฮุ่ยชิวก็ยิ้มแห้ง สวรรค์กำลังเล่นตลกกันนางหรือ นางเพิ่งคิดที่จะหวังเจอคนหมายตานาง สวรรค์ก็ส่งมาเลย เร็วไปไหม!
แต่ดูแล้วคนผู้นี้...ไม่น่าจะเหมาะ แววตาก็เหมือนกับบุรุษเจ้าชู้ที่กำลังแทะโลมสตรี รูปร่างก็ไม่ดูแลตัวเองแม้แต่น้อย แต่เสื้อผ้าดูดีกว่าคนแถวนี้มากนัก ซ้ำยังมีผู้ติดตามมาคนหนึ่งจึงคาดว่าฐานะของเขาน่าจะดีพอสมควร แต่เขาเป็นใครนางยังไม่รู้เลย เช่นนั้นนางจึงแสร้งส่งยิ้มไปให้ก่อนเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ หมั่นโถวสิบลูก สิบอีแปะเจ้าค่ะ”
มือท้วมส่งเงินให้นางแล้วรับหมั่นโถวไป “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวมาว่าเจ้าตกหน้าผาหัวกระแทกหรือ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้ามิเป็นอะไรมากแล้ว บาดแผลตามกายมีเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ว่าศีรษะของข้าได้รับความกระทบกระเทือน ความทรงจำจึงเลือนหายเป็นบางเรื่อง หากกล่าวกันตามตรงคือว่าตอนนี้...ข้าจำคุณชายไม่ได้” นางเอ่ยคำพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย แม้สมองจะแต่งเรื่องได้รวดเร็วเพราะเป็นนักเขียน แต่ร่างกายและปากไม่ค่อยจะยอมไปตามที่คิดจึงดูผิดธรรมชาติไปบ้าง
ร่างท้วมขาวอวบเบิกตาโต “น้องป๋ายจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
“เจ้าค่ะ”
ฮุ่ยชิวมองสบตากับคนตรงหน้าที่มีแววตาประกายยินดี นางจำเขาไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพียงนั้นเลยหรือ ราวกับว่าคนผู้นี้เคยทำความผิดอะไรกับฮุ่ยชิวเอาไว้ ไม่ก็...
“เมื่อก่อนเราสองคนนั้นรักกันมาก ตอนนี้เจ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้ายอมรับได้อยู่แล้ว ข้าจะรีบไปขอแม่สื่อให้มาสู่ขอเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ
น้องป๋าย รอข้าก่อนนะ” เพียงพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที แต่ด้วยร่างท้วมนั้นทำให้วิ่งไปช้าราวกับคนปกติกำลังก้าวเท้ายาวๆ
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ!” ฮุ่ยชิวเรียบเรียกเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะไปหาแม่สื่อมาจริงๆ นางยังไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ จะให้แม่สื่อมาขอได้อย่างไร! แถมที่เขาเอ่ยว่านางกับเขาเป็นคนรักกันนี่โกหกกันชัดๆ
“น้องป๋ายมีอะไรหรือ” ร่างท้วมนั้นวิ่งกลับมา พลางหอบหายใจ
ป๋ายฮุ่ยชิวยิ้มแห้ง “คือ...ถึงข้าจะจำท่านไม่ได้ แต่ข้าจำได้ว่าตัวข้าไม่ได้ชอบคนรูปร่างท้วมนะเจ้าคะ” นางจงใจเอ่ยเลี่ยงคำว่าอ้วนเพื่อรักษาน้ำใจเขา แต่ใบหน้าที่ฉายแววเศร้าของเขานั้นทำให้นางรู้ว่านางพูดตรงจุด
“ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว ฮึก ฮื่อ~”
“คุณชาย!” บ่าวรับใช้ที่ติดตามรีบวิ่งหยอกๆ ตามคุณชายของตนที่ร้องไห้ไป วิ่งไปพร้อมกับแกะหมั่นโถวมากิน มองแล้วก็ดูอนาถไม่น้อย...
ฮุ่ยชิวถึงกับอึ้ง นี่นางมีตัวละครเพี้ยนๆ แบบนี้ด้วยหรือ
นางรู้สึกคุ้นๆ เหมือนกับติดอยู่ในความทรงจำแต่นึกไม่ออก
ขณะที่นางกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน นางก็เห็นบุรุษร่างสูงผิวคล้ำผู้หนึ่ง “ชิวชิว เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
เขาทักนางด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นนาง ฮุ่ยชิวกะพริบตาถี่ ๆ
ใครอีกล่ะเนี่ย ด้วยความที่นางบรรยายบทออกมาด้วยตัวอักษร เมื่อเจอตัวจริงแบบนี้นางก็ไม่สามารถนึกออกทันทีที่แรกเห็นหรอกนะ! แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว หน้าตาเขามีความคล้ายคลึงกับบิดาของฮุ่ยชิวอยู่หลายส่วน ทั้งยังเรียกนางว่าชิวชิว หรือว่าเขาจะเป็น...
“พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ?”