เสียงนกร้องราวกับเสียงของบทเพลง ขับขานดังไพเราะเสนาะหู สตรีที่สวมชุดเก่ามีแต่รอยปะบนเสื้อผ้าลืมตาเบิกกว้างขึ้น ภาพรถที่พุ่งเข้ามาใส่เธอยังฉายชัดอยู่ในหัว
“โอ๊ย!” เมื่อยันกายลุกขึ้นเธอก็รู้สึกเจ็บบริเวณศีรษะที่ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อย เธอมองสำรวจรอบกาย แววตาฉายความมึนงง เหตุใดรอบตัวของเธอถึงแปลกไปได้มากถึงเพียงนี้? ที่นี่ดูไม่เหมือนโรงพยาบาลแม้แต่น้อย แต่ราวกับเป็นบ้านในชนบทที่ไม่มีแม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้น แถมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่เธอสวมใส่ตอนนี้ยังดู...โบราณ
นี่ฉันตายแล้วหรอ...เธอหยิกแก้มตนเองหวังว่าจะให้ตื่นจากความฝันอันสมจริงนี้ แต่ทว่าความเจ็บปวดกับทำให้เธอเริ่มสติแจ่มชัดขึ้นแทน
“ท่านพ่อ! พี่หญิงฟื้นแล้ว!” เด็กชายอายุราวสิบขวบซึ่งเพิ่มจะโผล่เข้ามาภายในห้องรีบวิ่งกลับออกไปหาบิดาทันที “ท่านพ่อ ที่หญิงเพี้ยนไปแล้ว นางดึงแก้มตนเองจนยืดแบบนี้เลย” เขาไม่พูดเปล่าแต่ทำเลียนแบบท่าทางของพี่สาวตนเองที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ในบิดาดูด้วย
“อย่ามาเหลวไหล” บิดาตอบกลับอย่างไม่เชื่อ แววตาเขามีประกายแห่งความยินดีเมื่อทราบว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขานั้นฟื้นขึ้นหลังจากไม่ได้สติไปถึงสองวันเต็ม เขาเขกหัวบุตรชายคนเล็กไปหนึ่งทีก่อนจะรีบอุ่นข้าวต้ม เมื่อร้อนพอแล้วก็ยกถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้าไปให้บุตรี
ต้าเฟยลี่มองสองพ่อลูก พวกเขาทำท่าทางราวกับรู้จักเธอเป็นอย่างดี ตอนนี้ต้าเฟยลี่ได้แต่นั่งเงียบสังเกตพวกเขาอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ ร่างบางถอยห่างไปจนสุดเตียงเมื่อชายวัยกลางคนนั่งลงข้างเตียงเก่าที่เธอกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในตอนนี้ เธอมองถ้วยข้าวต้มที่มีเพียงแต่ข้าวและน้ำก่อนจะเงยหน้ามามองผู้ที่ถือถ้วยนั้นเอาไว้อีกครั้ง “พวกคุณเป็นใครหรอ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
สำเนียงภาษาที่แตกต่างออกไปทำให้ชายวัยกลางคนละเด็กชายงวยงง ถึงจะสามารถฟังออกแต่ก็รู้สึกแปลกไม่น้อย “ฮุ่ยชิว...เจ้าจำพวกเราไม่ได้หรือ” น้ำเสียงที่ถามออกมานั้นสั่นเครือเล็กน้อย
ต้าเฟยลี่มองเข้าไปภายในแววตาหม่นที่สั่นไหว เธอรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนไม่ดี เธอได้ยินว่าเด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมมคนนี้เรียกเขาว่าท่านพ่อ และยังเรียกเธอว่าพี่หญิง...ซ้ำพวกเขายังเรียกชื่อเธอว่าฮุ่ยชิว
เหตุใดถึงเหมือนกับเหตุการณ์ในนิยายที่เธอเพิ่งจะปาใส่หน้าแฟนเก่าไปขนาดนี่เล่า!
แม้เธอจะไม่ได้อ่านทวนเนื้อเรื่องมาสามปี แต่ด้วยความที่ว่าเธอเป็นคนพิมพ์ทุกประโยค ทั้งแค้นสมองน้อยนิดของตนเองเพื่อเขียนออกมาทำให้เธอพอที่จะจำเหตุการณ์คร่าวๆ ได้
ฮุ่ยชิวในนิยายนั้นเป็นสตรีที่น่าสงสารที่สุดในเรื่อง ขณะที่นางขึ้นเขาไปหาของป่า นางช่วยพระเอกเอาไว้จากกลุ่มคนร้ายชุดดำซึ่งหมายเอาชีวิตเขา ทำให้นางพลัดตกจากภูเขา หัวกระแทกเข้ากับก้อนหินจนความจำเสื่อมชั่วคราว ยังดีที่พี่ชายคนโตของนางมาช่วยเอาไว้ได้ทันจึงพากลับมาบ้าน และเมื่อนางรักษาตัวเกือบหายดีแล้วถึงได้พบเจอกับพระเอกอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ทำให้นางถูกพระเอกลงมือสังหารด้วยตนเอง ส่วนตอนจบก็พระเอกก็ครองคู่กับนางเอกอย่างมีความสุขหลังการตายของนางและตัวร้าย
เพียงแค่คิดต้าเฟยลี่ก็เสียวคอตนเองวาบ ตอนนี้เธอก่นด่าตนเองในใจแล้วที่แต่งเรื่องราวออกมาได้ไร้สาระ ทั้งยังทำร้ายตัวละครน่าสงสารผู้นี้มากจนเกินไป ฮุ่ยชิวไม่ใช่สตรีที่ร้ายกาจ นางเพียงแค่หลงกลของตัวร้ายและหน้ามืดตามัวเพราะความหึงหวงจนหักหลังพระเอกโดยไม่ได้ตั้งใจ นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่งที่รักพระเอกมาก นางไม่สมควรจะต้องตายเลยด้วยซ้ำ! ตอนเขียนเรื่องนั้นออกมา ต้าเฟยลี่ไม่คิดที่จะนึกถึงจิตใจของป๋ายฮุ่ยชิวให้ดี แต่ตอนนี้เธอมาเป็นนาง การมาคิดได้และนึกเสียใจภายหลังเช่นนี้คงไม่ทันเสียแล้ว
สามปีก่อนเธอเป็นเพียงนักหัดเขียนจึงลืมใส่ใจความละเอียดเล็กน้อยข้อนี้ไป หรือว่าเพราะสวรรค์เห็นความผิดพลาดในข้อนี้ของเธอ จึงให้เธอมาอยู่ในร่างของฮุ่ยชิวเพื่อเรียนรู้หรือ! โอ้ว ไม่นะ นี่เธอจะต้องตายแล้วตายอีกหรือไงกัน
สองพ่อลูกข้างเตียงมอง ‘ฮุ่ยชิว’ ซึ่งกำลังกุมศีรษะตนเอง บิดาของนางรีบส่งถ้วยข้าวต้มไปให้บุตรชายถือเอาไว้แทน ส่วนตัวเองก็รีบดูอาการของบุตรสาวทันที นางดูราวกับคนกำลังสับสน เมื่อมือสากลูบศีรษะปลอบนางอย่างอ่อนโยนทำให้สตรีที่ร่างกายสั่นเทาก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของนางมีหยาดน้ำใสเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ใช่ ตอนนี้เธอทั้งสับสน ทั้งเสียดายชีวิตเก่า เพราะชีวิตเก่าของเธอยังมีทั้งพ่อแม่และน้องสาว เธอไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะรู้หรือยังว่าเธอตายแล้ว แล้ววิญญาณทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตนเองเขียน!
แน่นอนว่าเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้คงจะไม่มีใครทราบ...
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยมองบุตรีด้วยความสงสาร ท่านหมอกล่าวว่าศีรษะของนางถูกกระแทกด้วยความรุนแรง ซึ่งอาจจะมีอาการย่ำแย่ที่สุดคือกระทบกระเทือนถึงความทรงจำ แม้จะอยากดึงบุตรีมาโอบกอดปลอบโยน แต่ก็เกรงว่านางจะตกใจ “ฮุ่ยชิว ไม่ต้องกังวล เจ้ามีพ่อ มีพี่ชาย พวกข้าจะปกป้องเจ้าเอง ทำใจให้สบายเถิด ถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก”
“ยังมีข้าด้วย” ป๋ายเฉาหลัวรีบเสนอตัวเอง
ต้าเฟยลี่ที่ตอนนี้กลายเป็นฮุ่ยชิวมองทั้งสองสลับกัน เธอจำได้ว่าอีกสักพักเจ้าเด็กที่เรียกเธอว่าพี่หญิงจะพูดออกมาประมาณว่า ‘พี่หญิงหัวกระแทกจนความจำเสื่อม’ แล้วก็เป็นอย่างที่เธอจำได้
“ท่านพ่อ พี่หญิงหัวกระแทกจนความจำเสื่อมจริงหรือ”
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยปราดตามองบุตรชายคนเล็กให้หยุดพูด
ถ้วยข้าวต้มที่มีแต่ข้าวผสมน้ำจนเยอะถูกยื่นมาให้ผู้ป่วยอีกครั้ง เธอเอื้อมมือไปรับ ก่อนจะลองคนดู พบว่าภายในถ้วยนั้นนอกจากข้าวและน้ำแล้วก็มีเพียงเนื้อชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองอีกครั้ง สายตาของป๋ายเฉาหลัวมองเนื้อในถ้วยของพี่หญิงแล้วก็รีบเช็ดน้ำลาย
“ข้าไม่อยากกินหรอกนะ พี่หญิงกินเลย”
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยเขกหัวบุตรชายไปอีกทีจนมือเล็กต้องลูบศีรษะเพราะความเจ็บ “ยามนี้พี่หญิงของเจ้าป่วยอยู่ให้นางกินก่อน รอพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมา โชคดีอาจจะมีเนื้อให้กิน”
“รู้แล้วขอรับ” เฉาหลัวแก้มป่อง แต่แววตาก็ยังเสียดายมากนัก
เมื่อมองเฉาหลัว ต้าเฟยลี่ก็นึกถึงน้องสาวของตนเองขึ้นมาทันที ท้องที่ว่างมานานทำให้เกิดเสียงดังประท้วง เธอรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย จึงต้องยอมกิน รสชาติข้าวต้มถ้วยนี้นั้นเหมือนมีเพียงเกลือเล็กน้อยปรุงรส เธอแทบจะไม่อยากกลืนลงไปแต่ก็ต้องจำใจกินจนหมดเพราะเห็นสายตาเป็นห่วงของผู้เป็นบิดาร่างนี้ เมื่อกินจนหมดแล้วเธอก็ส่งถ้วยเปล่าคืนให้
“เจ้านอนพักก่อนเถิด รักษาร่างกายให้แข็งแรง”
“ท่านพ่อเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ตอนนี้ต้าเฟยลี่ยังคงสับสน แต่เธอก็ไม่อยากให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับฮุ่ยชิวเป็นห่วง “คือข้า...ข้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเหมือนภาพเหตุการณ์บางอย่างหายไป ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลเลยนะเจ้าคะ ข้ายังจำพวกท่านได้”
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยยิ้มรับบุตรสาว “ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ข้าจะออกไปขายหมั่นโถวก่อน เฉาหลัวเจ้าอยู่ดูแลพี่ดีๆ เล่า”
“ขอรับ” เด็กชายรีบรับคำ
เมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว แม้เธอจะอยากนอนพักแต่ก็นอนไม่หลับ ต้าเฟยลี่พยายามนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอโดนรถชน ตอนนั้นเหมือนเธอจะได้ยินเสียงหลี่เสี่ยวหลงตะโกนเรียก...เธอนึกไปเรื่อย นึกถึงทุกคนทางนั้นที่เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยลา แม้จะน่าเสียดายเพียงใดแต่เธอก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ความจริงตอนนี้คือเธอกลายเป็น ‘ป๋ายฮุ่ยชิว’ แต่ว่าป๋ายฮุ่ยชิวคนนี้จะยอมไปตามบทของนิยายไหม? แน่นอนว่าไม่ ใครเล่าจะอยากจะตายเป็นครั้งที่สอง! หากตายครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนแล้ว
ครอบครัวสกุลป๋ายเป็นครอบครัวอบอุ่น ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้เธอขอใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวธรรมดาๆ ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องในวัง เรื่องวุ่นวายของการชิงอำนาจหรือชิงบัลลังก์ ก็ปล่อยให้พวกสกุลใหญ่ดำเนินเรื่องต่อไปก็แล้วกัน ป๋ายฮุ่ยชิวคนนี้จะไม่ขอยุ่งด้วย
แต่ก่อนอื่น เธอต้องหาทางเลี่ยงไม่ให้เจอพระเอกของเรื่องก่อน!