เหยียนหยงเล่อออกจากจวนตั้งแต่ปลายยามอิ๋น อาหารมื้อเช้าวันนี้จึงมีแค่สองแม่ลูกร่วมโต๊ะ หนิงเซียนอดที่จะอยากรู้ไม่ได้ จึงถามกับพ่อบ้านหลิวว่า “เขาไปที่ใดหรือ ไปนานไหม เหตุใดถึงต้องไปแต่เช้าเช่นนั้น” นางก็ไม่เข้าใจตนเองนัก ว่าทำไมถึงอยากรู้เรื่องเขาขนาดนี้
หลิวหร่านได้ยินคำถามนายหญิงก็ยิ้มกริ่ม “ไปล่าสัตว์ที่อุทยานหลวงนอกเมือง วันสองวันก็กลับขอรับ”
หนิงเซียนร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
หลังเรียนเสร็จเหยียนอันน้อยก็ว่าง หนิงเซียนมักหากิจกรรมสนุกๆ มาเล่นกับลูกทุกวัน วันนี้นางตั้งใจจะทำชิงช้าให้เขา หลิวหร่านเกณฑ์คนงานในจวนให้มาช่วยกันประกอบชิงช้า หนิงเซียนเห็นว่าเหมือนจะยุ่งยากเกินไป จึงบอกกับพ่อบ้านหลิวว่า “ไม่ต้องขึ้นโครงให้ยุ่งยากหรอก ผูกกับกิ่งไม้ใหญ่นี้ก็พอ”
นางแค่ต้องการไม้กระดานที่พอนั่งได้สักแผ่นและก็เชือกแข็งแรงสักเส้น
หลิวหร่านเป็นคนขึ้นไปผูกเชือกเอง พ่อบ้านหนุ่มใหญ่ถึงกับเหงื่อตกหน้าซีดเลยทีเดียว
ไม่นานชิงช้าก็เสร็จ เหยียนอันน้อยเห็นแล้วก็ปรบมือดีใจ ดวงตาเด็กน้อยแวววาวราวมีดาวนับล้าน
เพียงเขาชื่นชอบ คนเป็นแม่ก็พลอยสุขในหัวใจ
“เจ้าลูกหมูของแม่ เจ้าต้องนั่งเปิดงานนะ” หนิงเซียนจูงมือลูกชายไปที่ชิงช้า ชิงช้านี้ตั้งใจทำให้เขา ดังนั้นเขาต้องนั่งเปิดงานก่อนใครเพื่อน!
เหยียนอันส่ายหน้า “ข้าอยากนั่งพร้อมท่านแม่”
หลิวหร่านเห็นทั้งสองยื้อยุดกันอยู่นาน เขาจึงพูดเกลี้ยกล่อมนายหญิงว่า “ฮูหยิน นั่งกับนายน้อยเถอะขอรับ”
สุดท้ายหนิงเซียนก็ไม่อาจปฏิเสธ ชิงช้าใหญ่พอให้ผู้ใหญ่กับเด็กนั่งด้วยกันได้ หญิงสาวนั่งแล้วเขยิบที่ให้เจ้าลูกหมู แต่ใครจะไปคิดว่าทันทีที่เจ้าลูกหมูหย่อนก้นนั่งเชือกชิงช้าจะขาด
พรึ่บ!
สองแม่ลูกก้นจ้ำเบ้าเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น โชคดีที่เป็นพื้นหญ้า!
“พรืด!” บ่าวรับใช้ที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับกลั้นขำ ลี่จวินและหลิวหร่านรีบก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ร่างสั่นระริกไม่แพ้กันเลย
คราแรกหนิงเซียนตกใจ นางกลัวว่าลูกชายจะได้รับบาดเจ็บ แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าเหลอหลาของเขานางก็หัวเราะร่วน
เหยียนอันน้อยไม่เข้าใจว่าท่านแม่ขำทำไม จึงจ้องหน้าท่านแม่อย่างงุนงง
หนิงเซียนที่พยายามกลั้นขำจนหน้าแดง บอกกับลูกชายเสียงสั่นแกมหยอกล้อ “ต่อไปแม่จะให้เจ้ากินข้าวน้อยๆ แล้วนะ”
ดึกคืนนั้นหนิงเซียนนอนไม่หลับ นางกังวลว่า ‘เขาคนนั้น’ จะได้รับอันตราย ไม่รู้ความรู้ห่วงหานี้มาได้อย่างไร แล้วภาพประหลาดคล้ายภาพความทรงจำพวกนั้นอีก
เวลาล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว หญิงสาวยังคงนอนไม่หลับ นางที่นอนลืมตามองคานเพดานอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกเรือน หนิงเซียนลุกจากเตียงแล้วแง้มหน้าต่างดู เห็นพ่อบ้านหลิว โยว่เหนียนและคนแปลกหน้าอีกสองสามคนช่วยกันแบกแคร่ที่มีร่างหนึ่งนอนอยู่บนนั้นผ่านเรือนของนางไป
พวกเขากำลังไปเรือนว่านโตว
หนิงเซียนคว้าเสื้อคลุมมาสวมอย่างเร่งรีบและวิ่งไปที่เรือนว่านโตว มาถึงได้ครึ่งทางนางก็ต้องหยุดขาของตนเอง แล้วยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
โยว่เหนียนที่มาส่งเจ้านายเสร็จ กำลังจะกลับไปจัดการงานที่ค้างคาต่อ แต่บังเอิญเห็นฮูหยินยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดเขาก็ตกใจ “ฮูหยิน?”
หนิงเซียนได้สติ เอ่ยถามร้อนรน “โยว่เหนียน เขา...ได้รับบาดเจ็บหรือ ครั้งนี้ร้ายแรงมากหรือ” นางถามออกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เหมือนว่าเขาบาดเจ็บเช่นนี้อยู่บ่อยๆ
โยว่เหนียนตอบฉะฉาน “ขอรับ หากฮูหยินเป็นห่วงก็รีบไปดูอาการนายท่านเถอะ” พูดจบเขาก็ก้มศีรษะแล้วก็เดินหายไปในความมืด
ครั้งนี้เหยียนหยงเล่อพลาดท่าจึงบาดเจ็บสาหัส หนิงเซียนเป็นห่วงเขา นางจึงมาดูแลคอยอยู่ข้างกายเขาไม่ห่างไปไหน เหยียนอันรู้ว่าท่านพ่อได้รับบาดเจ็บ ท่านแม่คอยดูแลอยู่ เขาจึงทำตัวว่าง่ายไม่เซ้าซี้ท่านแม่มากนัก ช่วงบ่ายเด็กน้อยจึงไปนั่งแกว่งชิงช้าเล่นกับลี่จวิน
เหยียนหยงเล่อหลับไปถึงสองวัน ระหว่างนั้นบิดามารดาเลี้ยงและฮูหยินผู้เฒ่า รวมถึงญาติคนอื่นๆ ก็สลับหมุนเวียนกันมาเยี่ยมเยือน
หนิงเซียนจะคอยเช็ดตัวและป้อนยาให้เขา นางให้เหตุผลกับตนเองว่า ทำดีกับเขาเสียหน่อยจะเป็นไรไป เขาอาจเห็นความดีของนางและเปลี่ยนใจไว้ชีวิตนาง หากเป็นเช่นนั้น นางก็จะรู้สึกขอบคุณเขามาก
หญิงสาวพยายามป้อนยาต้มให้เขาด้วยความยากเย็น ยามักกระฉอกไหลออกปากเลอะเทอะไปหมด หนิงเซียนถอนหายใจไปซับมุมปากเขาไป
“ยาถ้วยหนึ่งท่านดื่มได้ไม่ถึงสามส่วนเลยด้วยซ้ำ...” หญิงสาวก้มมองถ้วยยาในมือ จู่ๆ ก็มีภาพประหลาดผุดเข้ามาในหัวอีกแล้ว เป็นภาพตัวนางเองกำลังยกถ้วยยาจรดริมฝีปาก จากนั้นก็ประกบปากป้อนยาให้...เหยียนหยงเล่อในภาพเขาไม่ได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้ แต่เขาคะยั้นคะยอที่จะให้นางป้อนยาด้วยปาก
หนิงเซียนยกถ้วยยาจรดริมฝีปากตนเอง ก่อนก้มลงประกบปากซีดขาวของชายที่ยังสลบไสลอยู่บนเตียง นางป้อนยาให้เขาจนหยดสุดท้าย กำลังจะผละออกแต่กลับถูกมือแข็งแรงกดท้ายทอยไว้ หนิงเซียนตกใจได้แต่เบิกตากว้าง
เหยียนหยงเล่อยังหลับตา แต่เขากลับกลืนกินริมฝีปากนางอย่างตะกละตะกลาม หนิงเซียนตัวสั่นระริกแทบขาดใจตาย
จวบจนพอใจ เขาจึงปล่อยนางเป็นอิสระพร้อมกับลืมตาขึ้น หนิงเซียนหอบหายใจแรง ใบหน้าหวานละมุนกลายเป็นสีชมพู เหยียนหยงเล่อรั้งคอนางลงมาอีกครั้ง จูบจนนางตัวสั่นระริกอีกครั้งถึงจะยอมปล่อย ทำเช่นนั้นย้ำๆ จนเขาอิ่มเอม
หนิงเซียนรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสของเขา หญิงสาวได้แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างค้นหาคำตอบ สุดท้ายนางก็ต้องกระโดดออกห่างเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าพูดว่า
“ยังไม่พออีกหรือ”
เหยียนหยงเล่อถูกลูกธนูปักทะลุหน้าอกข้างขวา เหมือนเขารู้ว่าจะต้องเจ็บหนักจึงเตรียมหยูกยาและหมอมากฝีมือเอาไว้
หนนี้เป็นเขาที่ประมาทเลินเล่อ บังคับม้าหลบลูกธนูไม่พ้น จึงเจ็บสาหัส ตอนแรกคิดว่าจะให้แค่เฉี่ยวแขนเล็กน้อย
เหยียนหยงเล่อพักรักษาตัวที่จวนร่วมเดือนแล้ว อาการดีขึ้นตามลำดับ หนิงเซียนเองก็ช่วยดูแลเขา นางรู้สึกว่านี่คือหน้าที่ของภรรยาที่สมควรต้องทำมิใช่หรือ
พักหลังภาพแปลกๆ มักผุดเข้ามาในหัวสมองจนตัวนางเริ่มสับสน ว่าในภาพนั้นใช่ตัวนางเองหรือไม่
ภาพส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนหลังนี้ ราวกับว่าภาพเหล่านั้นเป็นความทรงจำที่นางได้หลงลืมไปชั่วขณะ
นางรู้ว่าเหยี่ยนหยงเล่อชอบกินโจ๊กเห็ดหอม รู้มาจากภาพประหลาดเหล่านั้น เช้านี้จึงเข้าครัวเคี่ยวโจ๊กเองกับมือ นางตักโจ๊กร้อนๆ ใส่ชามสองชาม ที่เหลือครึ่งหม้อไว้ให้เจ้าลูกหมู
“ข้ายกมื้อเช้ามาให้” หนิงเซียนก้าวเข้าในห้องที่เรือนว่านโตวราวคุ้นชินพร้อมถาดอาหารในมือ นอกจากโจ๊กยังมีขนมหวานและผลไม้ที่เขาชอบ
เหยียนหยงเล่อขยับตัวนั่งพิ่งหัวเตียง สายตาจับจ้องร่างอรชรไม่วางตา แม้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขามั่นใจว่านางคือภรรยาของเขาอย่างแน่นอน
หนิงเซียนยื่นชามโจ๊กอุ่นๆ ให้เขา เพราะเห็นว่าเขาพอกินเองได้แล้ว แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมยื่นมือออกมารับเสียที เขาทำแต่เพียงจ้องหน้านางด้วยแววตาลึกซึ้ง ตอนนี้เหยียนหยงเล่อไม่ดึงหน้าใส่นางแล้ว
หนิงเซียนยืนทื่อราวท่อนไม้ จนเหยียนหยงเล่อกวักมือเรียกนางให้นั่งลงข้างเขา “ป้อนข้าสิ” เสียงแหบพร่าออกคำสั่ง
หญิงสาวขยับตัวนั่งลงข้างเขาอย่างว่าง่าย ทนสายตาลึกซึ้งนั้นไม่ไหวจึงต้องแสร้งก้มหน้ามือคนโจ๊ก คำว่า ‘ป้อน’ ทำให้นางนึกเหตุการณ์น่าไม่อายนั้นขึ้นมา ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ
“เซียนเอ๋อร์ ข้าหิวแล้วนะ” เหยียนหยงเล่อเร่งเร้าอีกครั้ง เห็นนางยังนิ่งไม่ไหวติง เขาก็บังคับเชยคางนางขึ้นแล้วก้มจุมพิตที่ริมฝีปากนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง
หนิงเซียนอ้าปากค้าง ไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรเขาก็ก้มหน้าลงมาอีกครั้ง จูบนางเหมือนวันนั้น จนตัวนางสั่นระริก มือน้อยที่ประคองชามก็สั่นไปด้วย พร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่กระหน่ำเต้นแรง
“ทะ...ท่านกินเองเถอะ!” หนิงเซียนวางชามโจ๊กไว้บนโต๊ะข้างเตียง รีบลุกขึ้นอย่างลนลาน หันหลังให้แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที
ชายหนุ่มยิ้มตามไล่หลัง นิสัยนางก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังแต่งงาน จะเขินอายอะไรนักหนา มากกว่าจูบก็ทำกันมาแล้ว
ตกดึก
เหยียนหยงเล่อยังไม่นอน เขานอนเยอะจนไม่รู้จะนอนอย่างไรแล้ว ในขณะที่อ่านตำราอยู่นั้น โยว่เหนียนก็เข้ามาขอพบ เพื่อรายงานเรื่องที่ให้ไปสืบ
โยว่เหนียน “มีคนเห็นหมิงหรูอยู่ที่หอคณิกาชายที่เจียงหนาน และดูเหมือนนางจะป่วย นางไปที่นั่นเพราะต้องการหาหมอท่านหนึ่ง ส่วนฮูหยิน สืบไม่ทราบจริงๆ ขอรับว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาเองก็แปลกใจเหลือเกิน ว่าเหยียนฮูหยินกลับมาได้อย่างไร หรือบางทีกระดูกในหลุมศพนั้นคงไม่ใช่ฮูหยิน
เหยียนหยงเล่อได้ฟังก็พยักหน้า “ให้คนตามดูหมิงหรูไว้” เพราะเขาไม่รู้เจตนาที่แน่ชัดของนางจึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
“นายท่าน! นายท่าน!” หลิวหร่านพรวดพราดเข้ามา ชายวัยกลางคนหอบแฮ่กแทบหายใจไม่ทัน
“มีอะไร!” เหยียนหยงเล่อขมวดคิ้ว
พ่อบ้านหลิวรอจนลมหายเป็นปกติก็รีบรายงานเสียงตื่นตระหนก “มะ...มีผู้ชายแอบปีนกำแพงเข้าจวนเราขอรับ บ่าวคิดว่า...คงไม่ใช่ชู้ฮูหยินหรอกกระมัง” หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็คงรู้สึกเสียใจ ทั้งที่มองนายหญิงดีขึ้นแล้วแท้ๆ
เหยียนหยงเล่อถลึงตาดุ หลิวหร่านถึงกับสะดุ้งแล้วยิ้มแหย สักพักชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มมุมปาก “ปล่อยให้มันเข้ามา!”
หนิงเซียนเล่านิทานให้เจ้าลูกหมูฟังไปแล้วสามเรื่อง ในที่สุดเด็กน้อยก็ง่วงนอน เขาหอบหมอนและผ้าเน่าเดินสะลึมสะลือกลับห้องไป ไม่ยอมค้างกับท่านแม่ เขาบอกว่าเสี่ยวอันโตแล้ว จะนอนกับท่านแม่ไม่ได้แล้ว หนิงเซียนได้ฟังแล้วอยากหัวเราะเหลือเกิน
ขณะที่หญิงสาวกำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงคล้ายมีคนโยนหินใส่หน้าต่าง ดังเช่นนั้นอยู่หลายครั้งจนนางต้องลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ตวัดขาลงจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างแล้วกระชากเปิดออก
หนิงเซียนเห็นว่าไม่มีอะไรจึงจะปิดหน้าต่าง แต่ทว่ากลับมีมือใครบางคนรั้งบานหน้าต่างเอาไว้ “น้องหรู”
หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ก้าวถอยหลังไปสองก้าว เมื่อเห็นชายแปลกหน้ายืนส่งยิ้มอวดฟันขาว ชายคนนั้นกำลังพยายามปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องนาง!
“เจ้าเป็นใคร!” หนิงเซียนตะโกนถาม
ชายแปลกหน้าขมวดคิ้ว ก่อนจะตีหน้าเศร้า “น้องหรู เหตุใดถึงไม่ไปหาพี่หานแล้ว พี่หานรอเจ้าข้างกำแพงทุกวันเลย” เขาพูดเสียงละห้อย
หนิงเซียนไม่เข้าใจ “น้องหรูคือใคร พูดอะไรข้าไม่เห็นจะเข้าใจ”
“น้องหรูลืมพี่หานไปแล้วหรือ” ชายคนนั้นเข้ามาในห้องของนางแล้ว เขาก้าวยาวๆ เข้ามาประชิดตัวพร้อมส่งสายตาแวววาว หญิงสาวเองก็กระถดถอยหลังหลายก้าวเช่นกัน กระทั่งเสียงกระชากประตูห้องดังขึ้น
แผ่นหลังหนิงเซียนปะทะเข้าอกแกร่งของเหยียนหยงเล่อ เมื่อเห็นว่าเป็นสามี สีหน้านางก็ซีดเผือดลงทันใด นางกลัวเขาเข้าใจผิดคิดว่านางนัดแนะชายชู้ให้มาหา
ชายแปลกหน้าคนนั้นหน้าซีดขาวตัวสั่นพั่บเมื่อเห็นเหยียนหยงเล่อ เขาย่อมกลัวเพราะรู้ตัวดีว่าตนกำลังตีท้ายครัวชาวบ้าน
“คือว่า...” หนิงเซียนอยากจะอธิบายเหลือเกิน แต่เห็นสีหน้าเขาแล้วนางก็อยากร้องไห้เช่นกัน
สีหน้าของเหยียนหยงเล่อราวอยากจะฆ่าคน เขาก้มถามภรรยาตัวน้อยว่า “จะให้ข้าฆ่ามันหรือไม่”
หนิงเซียนแอบสะดุ้งในใจ แต่ดวงตากลมโตกลับจ้องมองเขาอย่างห้าวหาญ ตอบเขาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “จะฆ่าหรือไม่ ข้าแล้วแต่ท่าน”
ตอนที่ 7 เหยียนอันฝันร้าย
เหยียนหยงเล่อให้คนมาลากตัวชายแปลกหน้าออกไป ชายคนนั้นมิวายยังร่ำร้องเรียกน้องหรูๆ ไม่หยุดปาก น้องหรูคือผู้ใดกัน หนิงเซียนคิดอย่างสงสัย
จู่ๆ แขนแข็งแรงก็รวบรัดเอวบางเข้ามากอด หนิงเซียนได้สติเหลือบมองหน้าเขาด้วยแววตาตื่นกลัว ตอนนี้เหลือนางและเขาในห้องเพียงสองคน นางรู้สึกได้เหมือนร่างตนเองจะหดเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ตัวขยายใหญ่ราวราชสีห์ที่พร้อมตะโบมกระต่ายน้อยเช่นนาง
“คือว่า...” หนิงเซียนไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรตอนนี้ นางไม่ต้องการแก้ตัวแต่ก็อยากอธิบาย แต่จะอธิบายอย่างไรดีเนี่ยสิคือปัญหา แค่เห็นสายตาเขานางก็ขาสั่นแล้ว
เหยียนหยงเล่อไม่ต้องการคำอธิบายใด เขาเหวี่ยงร่างน้อยไปที่โต๊ะตัวกลมแล้วกดแผ่นหลังบางแนบลงกับโต๊ะ หนิงเซียนตกใจและหน้าแดงก่ำ ท่วงท่านี้นางคิดไม่ดีเลยจริงๆ
ชายหนุ่มยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแนบตัวลงมา กระซิบที่ข้างใบหูเสียงแผ่ว “เซียนเอ๋อร์ของข้าเปิดหน้าต่างให้ชายแปลกหน้าเข้ามาในห้องเช่นนี้ สามีควรลงโทษเจ้าอย่างไรดี”
หนิงเซียนหลับตาปี๋ ภาพประหลาดผุดเข้ามาในหัวอีกแล้ว เป็นภาพร่วมรักในท่วงท่าอับอายของนางและเขา ในภาพนั้นนางครางสะอื้นน่าสงสาร ด่าทอเขาว่าเป็นบุรุษบ้ากาม!
หญิงสาวหน้าแดงราวจะคั้นเลือดออกมาได้ นางตอบเสียงตะกุกตะกัก “ขะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ชายผู้นั้นไม่ได้มาหาข้า เขามาหาน้องหรู”
เหยียนหยงเล่อครางอืมในลำคอ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอหญิงสาว หนิงเซียนฟังแล้วรู้สึกสยิวอย่างไรก็บอกไม่ถูก นางรู้สึกถึงอะไรแข็งๆ ทิ่มตำสะโพกตนเอง “ปล่อยข้าไปเถอะนะ หากข้าทำให้ท่านไม่พอใจ ท่านจะตีข้าก็ได้”
ชายหนุ่มได้ฟังแล้วก็ยืดตัวขึ้น หนิงเซียนรีบลนลานยืนตัวตรงจนน่าขำ ยืนสงบเสงี่ยมก้มหน้างุดมองเท้าตนเอง รอให้เขาตีนางเป็นการลงโทษ แต่ยืนเงียบอยู่นานสองนานชายคนนั้นก็ไม่ลงมือทำอะไรเสียที หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น ถามเขาอย่างโง่งม “ไม่ตีข้าหรือ”
เหยียนหยงเล่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่นางคิดว่าเขาจะตีนางจริงๆ งั้นหรือ ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำ แล้วตวัดร่างบางพาไปที่เตียง ร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อมกดข้อมือบางกับฟูกนุ่ม “ข้าจะตีเจ้า แต่ไม่ใช่ด้วยแส้”
เห็นสายตาแวววาวของเขาแล้ว หนิงเซียนก็เม้มปากเคอะเขิน ลึกในใจนางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ตีนางหรอก หญิงสาวในตอนนี้ไม่ได้หวาดกลัวเขาอีกต่อไป แต่ตั้งตารอให้เขาทำโทษด้วยการตีนางอย่างหนัก
ลมหายใจของเหยียนหยงเล่อเริ่มไม่มั่นคง กลิ่นกายหอมหวานทำให้เขาคลั่งไคล้ ก้มจุมพิตริมฝีปากแดงเรื่อของนาง บดเคล้านุ่มนวลอ่อนหวาน สอดเรียวลิ้นอุ่นชื้นสำรวจโพรงปากนุ่ม หนิงเซียนเองก็ตอบรับเขาด้วยความเต็มใจ
ร่างกายนี้ของนาง...เคยเป็นของเขามาก่อน
ความรู้สึกนางบอกเช่นนั้น
ไม่นานชุดของหนิงเซียนก็ถูกปาทิ้งลงพื้น อวดผิวขาวเนียนนุ่มน่าหลงใหล ดวงตาของชายหนุ่มเข้มขึ้น ก่อนก้มลงแตะจูบที่หน้าผากมน ไล่แตะจูบมาเรื่อยๆ จนถึงกลางอก
เหยียนหยงเล่อจูบย้ำๆ ที่ปานแดงบนเนินอกซ้ายของนาง ก่อนเข้าครอบงำยอดถันสีชมพูด้วยปากร้อนชื้น ฝ่ามือหนานวดคลึงเต้าทรวงอีกข้างอย่างเท่าเทียม
หนิงเซียนสะอื้นเรียกเขาเสียงหวาน “อืม...อาเล่อ”
ทั้งชีวิตมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เรียกเขาว่า ‘อาเล่อ’ นั่นคือท่านแม่และภรรยาของเขา
เหยียนหยงเล่อเลื่อนใบหน้าต่ำลง ไล่แตะจูบเรื่อยๆ ทุกซอกทุกมุมบนร่างกายนางไม่มีที่ใดที่ลิ้นเขาเลียไม่ถึง ชายหนุ่มลากลิ้นร้อนชื้นมาจนถึงเนินบุปผา
หนิงเซียนสะท้านจนตัวหดเกร็ง เผลอหนีบขาเข้าหากัน นางผงกหัวขึ้น เอามือปิดส่วนสงวนไว้ “ข้า...ข้า” นางอายเหลือเกิน
“แต่ก่อนข้าเลียทุกคืน เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ” คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวอับอาย
เหยียนหยงเล่อปัดมือนางออก ก่อนก้มหน้าลงไปแนบปากกับใจกลางบุปผาเร้นลับที่เขาคุ้นชิน
ร่างกายหนิงเซียนบิดเร่าคล้ายจะขาดใจร่อมรอ สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่น หน้าอกสะท้อนขึ้นลง ดวงตาปรือปรอยฉ่ำวาว “อาเล่อ...อาเล่อ!” นางเรียกชื่อเขาเสียงแหบหวาน เขาทรมานนางจนร่างกายกระตุกเกร็ง เสร็จสมด้วยลิ้นร้ายของเขา
เหยียนหยงเล่อรับรู้ว่านางเสร็จสมแล้ว ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น เจ็บหน่วงที่บาดแผลแต่ก็ฝืนทน เขาจัดการเสื้อผ้าของตนเอง มีเพียงชิ้นล่างเท่านั้นที่เปลือยเปล่าอวดความแข็งแรง
หนิงเซียนรู้สึกเหนื่อยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร นางนอนหอบอ้าปากน้อยๆ ปรือตามองเขา เห็นมือเขากำแท่งเนื้อแล้วขยับมือขึ้นลงอยู่สองสามที ก่อนขยับเข้ามาใกล้แล้ว เขากดสะโพกทีเดียวจมลึกเข้าไปอยู่ในกายนาง
“อ๊า...” หนิงเซียนครางเสียงหวาน นางพึ่งสุขสมเขาก็เร่งป้อนความสุขสมให้นางอีกครั้ง “อาเล่อ...เบาหน่อย...เบาหน่อย”
เหยียนหยงเล่อคล้ายคนเก็บกด เกือบปีที่เขาไม่ได้แนบชิดกับภรรยา หญิงอื่นเขาก็ไม่เคยคิดจะพาขึ้นเตียง พอได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งก็ราวกับสัตว์ป่า กระแทกกระทั้นร่างน้อยด้วยความรุนแรง สุดท้ายก็ระเบิดสายธารแห่งความสุขในกายนาง
หนิงเซียนหวีดร้องเสียงแหบแห้ง เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามกรอบหน้า เหยียนหยงเล่อทิ้งตัวทาบทับนาง ซุกใบหน้าซบกับอกอวบ หยอกล้อนางด้วยการใช้ปากดูดกลืนยอดถัน
หนิงเซียนเหนื่อยจะต่อต้าน แม้เขาจะรุนแรงราวสัตว์ป่าแต่นางกลับรู้สึก...ชอบ
“ข้าหนักนะ” หญิงสาวอึดอัดจนต้องร้องบอกเขา
เหยียนหยงเล่อเงยหน้ามองนาง สักพักแววตาก็คล้ายคนกระหาย หนิงเซียนถลึงตามองเขา เมื่อเขาเริ่มขยับสะโพกเบาๆ
ชายหนุ่มเห็นสีหน้านางก็หัวเราะหึในลำคอ “สามีจะลงโทษเจ้า ไม่ตีด้วยแส้แต่จะตีด้วยกระบองกลางกาย”
เหยียนหยงเล่อนอนค้างกับหนิงเซียน ปกติเขาก็นอนในห้องนี้กับนางอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หนิงเซียนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับเขา เนื้อตัวเปลือยเปล่า หลังจากผ่านการร่วมรักกันมาหลายรอบ นางก็ไม่เคอะเขินเขาอีกต่อไป
ฝ่ามือใหญ่ของเหยียนหยงเล่อกุมหน้าอกข้างซ้ายของหญิงสาวไว้ นิ้วหัวแม่มือไล้ตรงปานแดงแผ่วเบา
“อาเล่อ...” หนิงเซียนรู้สึกจั๊กจี้ จึงจับมือเขาให้หยุดอยู่นิ่งๆ
“หืม?” เหยียนหยงเล่อเลิกคิ้วมองนางอย่างกวนๆ
“ข้าง่วงแล้ว ท่านลูบอยู่เช่นนี้ข้าจะหลับลงได้อย่างไร”
“อ้อ” ชายหนุ่มแสร้งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนพลิกขึ้นคร่อมหญิงสาว หนิงเซียนถลึงตาจ้องเขา เหยียนหยงเล่อจ้องลึกในดวงตาสุกสกาวคู่งาม “ข้าดีใจ ที่ได้เจ้ากลับมา”
แม้หนิงเซียนจะงุนงงกับคำพูดของเขา แต่นางก็พูดตอบกลับไปว่า “ข้าก็เช่นกัน” ราวกับเป็นจิตใต้สำนึกของนาง
ชายหนุ่มยิ้มให้สาวงามใต้ร่าง ก้มจุมพิตนางอีกครั้ง สัมผัสอ่อนโยนชวนหัวใจเต้น หนิงเซียนหลับตาลง นางชอบสัมผัสจากเขา ไม่ว่าจะเป็นมือ เป็นปากหรือลิ้น อยากให้เขาสัมผัสนางเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
สิ่งนั้นของเขาที่สงบไปแล้วกลับมาผงาดชูชันอีกครั้ง เบียดเสียดอยู่ต้นขานาง หญิงสาวเอื้อมมือไปจับ แท่งเนื้อนั้นทั้งแข็งทั้งร้อน นางขยับมือขึ้นลงช้าๆ ได้ยินเสียงชายหนุ่มครางฮือในลำคอ
ขณะที่กำลังจะเข้าได้เข้าเข็มกันอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หนิงเซียนตกใจและรีบปล่อยมือจากเจ้าสิ่งนั้น ผลักอกชายตัวโตออกห่าง หากแต่เขาไม่ยอมกลับจูบนางอย่างดุดัน
ก๊อกๆ
“ท่านแม่ ท่านแม่” เสียงเหยียนอันน้อยเรียกท่านแม่อยู่หน้าห้อง
เสียงเรียกของลูกชายทำให้ไฟปรารถนาของหนุ่มสาวมอดดับทันที เหยียนหยงเล่อหงุดหงิดไม่น้อย เขาตวัดผ้าห่มที่คลุมร่างเขาและภรรยาออก เดินไปหยิบชุดคลุมบนพื้นมาสวมลวกๆ พอหันไปมองภรรยาเห็นว่านางกำลังควานหาเสื้อผ้าบนเตียงก็พูดว่า “เจ้านอนเถอะ ข้าจะจัดการเอง” ยังไม่ทันที่หนิงเซียนจะพูดอะไรเขาก็เดินไปที่ประตู นางจึงจำใจต้องซุกตัวในผ้าห่ม หากลูกมาเห็นภาพพวกนี้คงไม่ดีแน่
เมื่อเหยียนหยงเล่อเปิดประตูก็เห็นเสี่ยวอันยืนถือหมอนกับผ้าห่มอยู่หน้าห้อง เขาขมวดคิ้วจ้องหน้าลูกชายเขม็ง “เหตุใดถึงมาเคาะห้องดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้”
แม้เหยียนอันน้อยจะแปลกใจที่เห็นท่านพ่อ เพราะช่วงหลังท่านพ่อไม่ชอบอยู่เรือนหลัก ท่านพ่อชอบไปอยู่เรือนหลังน้อยว่านโตวและทิ้งท่านแม่นอนคนเดียว
เด็กน้อยตอบดวงตาใสซื่อ “ข้าฝันร้าย เลยจะมาขอนอนกับท่านแม่ขอรับ” เพราะท่านแม่เคยบอกไว้ว่า หากเขาอยากนอนกับท่านแม่ก็มาได้เลย ท่านแม่ยินดีต้อนรับ
เหยียนหยงเล่อนั่งลงตรงหน้าลูกชาย ลูบศีรษะเขาเบาๆ “เจ้าโตแล้วจะมาแย่งที่นอนแม่เจ้าได้อย่างไร”
“แต่ว่า...”
เหยียนหยงเล่อไม่รอให้ลูกชายพูด เขาเรียกชื่อลี่จวินอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่ลี่จวินจะเดินเข้ามาหาด้วยสภาพหัวฟู พี่เลี้ยงสาวยังสะลึมสะลือลืมตาไม่เต็มที่ หากเหยียนหยงเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจ “พาเสี่ยวอันกลับห้อง คืนนี้เจ้าก็นอนเป็นเพื่อนเขาหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ลี่จวินรับคำอย่างงัวเงีย ก่อนจูงมือนายน้อยกลับห้องไป ส่วนเด็กน้อยก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
เหยียนหยงเล่อกลับมาหนิงเซียนก็สวมชุดเรียบร้อยแล้ว พอเห็นหน้าเขานางก็รีบถามอย่างร้อนรน “เจ้าลูกหมูเป็นอะไร”
ชายหนุ่มนั่งลงข้างนาง “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ฝันร้าย ข้าปลอบนิดหน่อยเขาก็หายกลัวแล้ว”
หนิงเซียนร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปนอนเป็นเพื่อนลูก”
เหยียนหยงเล่อหนังตากระตุก “ลี่จวินนอนเป็นเพื่อนเสี่ยวอันแล้ว เจ้ารีบนอนเถอะ เมื่อครู่ยังบอกว่าง่วงไม่ใช่หรือ” เขาไม่รอให้นางได้พูดอะไรอีก ดันไหล่เล็กให้นอนราบลงไป หนิงเซียนก็ยอมโอนอ่อนแต่โดยดี
เหยียนหยงเล่อรีบดับตะเกียง ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด เขาเองก็สอดตัวในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ดึงนางเข้ามากอดแนบอก นานเท่าไรที่เขาไม่ได้กอดนางเช่นนี้ ร่างนุ่มนิ่มของภรรยาทำให้เขาตื่นตัวอีกแล้ว
หนิงเซียนยังไม่หลับ เจ้านั้นทิ่มตำหน้าขาของนางเช่นนี้จะหลับได้อย่างไร อีกทั้งมือของเขาก็ยังคอยลูบไล้วนเวียนอยู่ช่วงเอวและสะโพก หญิงสาวนึกย้อนถึงภาพประหลาดที่นางตะโกนใส่เขาว่าเป็นบุรุษบ้ากามได้เลย!
“...ได้หรือไม่” เหมือนเขารู้ว่านางยังไม่หลับจึงเอ่ยกระซิบเสียงแหบพร่า
หนิงเซียนจนปัญญานัก หากแต่ก็ยอมตามใจเขา “ครั้งสุดท้ายนะ หากมากกว่านั้นข้าไม่ไหวแล้ว”
“อืม...” เหยียนหยงเล่อยกขานางให้พาดเอวเขาไว้ เขาแกะสายรัดเอวจัดการเสื้อผ้าของนางอย่างช่ำชอง เมื่อทางสะดวก เขาก็ส่งตัวตนเข้าไป
หนิงเซียนซบหน้ากับอกแข็งแรง หอบหายใจแรง หน้าอกสะท้อนขึ้นลง ครั้งนี้เหยียนหยงเล่อไม่ได้กระแทกกระทั้นรุนแรง เขาเพียงขยับเข้าออกช้าๆ แต่ก็ทำให้นางรู้สึกดีไม่ต่างกัน
เมื่อใกล้ถึงจุดหมายเขาก็เร่งจังหวะขึ้น สองร่างชื้นเหงื่อครางเสียงแหบแห้งอย่างสุขสม
“นอนเถอะ” เหยียนหยงเล่อก้มบอกภรรยาตัวน้อยที่นอนซุกอยู่ในอ้อมกอด ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียทั้งที่ตัวตนของเขายังแช่นิ่งในกายนาง
เช้าวันต่อมา บ่าวไพร่ที่จวนต่างก็พูดถึงเรื่องเมื่อคืน พวกเขาลือกันว่านายท่านให้คนลากชายแปลกหน้าออกจากห้องไป โดยที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของชายคนนั้นเลยสักคน แต่ก็พูดต่อๆ กันไปว่า หากไม่พิการก็น่าจะถูกฝังดินไปแล้ว