มิถุนายน พ.ศ. 2555
เด็กชาย การันต์ วกุลทิพย์ อายุเก้าขวบกำลังเดินเล่นกับแม่ของเขาอยู่ริมชายหาด ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหนวดแมวเพราะมีความสุขยามที่ได้ออกมาวิ่งเล่นช่วงตะวันทอแสง
คลื่นลมยามเย็นพัดเข้าฝั่งกระทบกระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงชายคาบ้านดังกรุ๊งกริ๊ง สลับกับเสียงคลื่นที่สาดมาเป็นระลอก เด็กชายตัวน้อยวิ่งไล่ไปตามชายหาดเรียบ จนปูตัวเล็ก ๆ รีบถลาลงหลุมแทบไม่ทัน
“แม่ครับ ตรงนี้มีปูเสฉวนด้วย” เจ้าตัวเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาโชว์ให้แม่ดูด้วยความตื่นเต้นก่อนจะวางไว้บนมือ รอตัวปูค่อย ๆ คลานออกมาจากเปลือกโค้งมนลวดลายสวยงาม
รอยยิ้มของคนเป็นแม่เองพอจะโล่งใจไปบ้างที่เห็นลูกชายมีความสุข พลางนึกถึงคนที่อยู่แสนไกล คุณเมฆ อยากให้คุณได้พบลูกสักครั้ง จะเป็นไปได้ไหม
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ลูกชายตัวน้อยก็เหมือนกับพ่อของเขาไม่ผิดเพี้ยน ทั้งดวงตาสีน้ำเงินเข้มกับผมสีน้ำตาลอ่อนแล้วยังบุคลิกหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึก
ไม่กี่วันก่อนหมอกถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าไม่มีพ่อจนเจ้าตัวร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียน ขอร้องให้แม่พาพ่อมาที่โรงเรียนยกใหญ่ แต่เธอก็ได้แต่ปลอบใจและปิดบังลูกชายด้วยความจำใจ หวังว่าสักวันหนึ่งคนที่เป็นพ่อจะปรากฏตัวยืนอยู่ข้างกันได้
“พ่อของหมอกทำงานอยู่ที่ไกล ๆ งานลับ ๆ ที่บอกใครไม่ได้” เธอไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรจึงอ้างไปแบบนั้น
“แล้วพ่อจะเลิกงานตอนไหนครับ” น้ำตาคลอเบ้าตากลม ๆ มองหน้าแม่ของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“อีกไม่นานหรอกลูก เดี๋ยวพ่อก็มาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ลูกต้องเข้าใจใหม่นะว่า ลูกมีพ่อ ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่” เธอเช็ดน้ำตาให้เขาแล้วยิ้มให้ “ระหว่างนี้อยู่กับแม่ไปก่อนนะ แม่สัญญาว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุด”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเป็นแม่ อีกทั้งฉุกคิดได้ว่าถ้าพ่อจะมาก็คงมาตั้งนานแล้ว รออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป เด็กชายการันต์จึงสูดน้ำมูกแล้วยิ้มแป้น
“แม่ไม่ต้องเศร้านะ ผมจะไม่ร้องไห้แล้ว” เขายื่นมือมาแตะใบหน้าของเธอราวกับทำใจได้แล้ว
“อื้ม”
หลังจากนั้น หมอกไม่เคยถามถึงเรื่องพ่ออีกเลย แม้ว่าที่โรงเรียนจะถูกเพื่อนล้ออีกหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สนใจคิดว่าวันหนึ่งถ้าพ่อกลับมาหาเขาแล้ว เพื่อนพวกนี้จะเลิกล้อเขาไปเอง
มีนาคม พ.ศ. 2556
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“หมอก มานั่งตรงนี้สิ” แม่ของเขาเรียกเด็กชายตัวน้อยให้มานั่งใกล้ ๆ เธอกระแอมไอเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียว
ข้างเตียงมีถุงเกล็ดเลือดห้อยระโยงระยาง สีหน้าของหมอกกังวลกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป
“แม่ครับ เจ็บมากไหม” มือน้อย ๆ จับแขนของเธอเอาไว้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่กลั้นเอาไว้
“ไม่เจ็บเลย ไม่ต้องห่วงแม่นะ” เธอลูบศีรษะของลูกชายปลอบประโลม แม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยมีแรงแล้วก็ตาม
ช่วงเวลาที่ได้รับรู้ผลวินิจฉัยของหมอเรื่องอาการที่เธอเป็นอย่างเฉียบพลัน ทำให้ความกลัวก่อเกิดขึ้นมาในใจ
เธอรีบโทรหาเบอร์ที่ไม่เคยโทรมาก่อนด้วยความร้อนรน สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงเรื่องเดียว หากวันนี้เธอไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยลูกของเธอจะต้องมีคนดูแล แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็ตามว่ามีเด็กคนนี้เป็นลูก
กระนั้น เบอร์ที่ติดต่อไปกลับไม่เคยมีเสียงปลายทางตอบกลับมา เธอจึงเขียนจดหมายพร้อมแนบรูปของหมอกไปพร้อมกัน หวังว่าจะมีใครสักคนติดต่อกลับ
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากได้รับผลการวินิจฉัยไม่เพียงกี่วัน ร่างกายของเธอกลับทรุดลงไปมาก จนไม่อาจไปที่ไหนได้ ต้องให้เกล็ดเลือดเป็นการด่วน เพราะทั่วทั้งร่างกายมีรอยช้ำเป็นจ้ำขึ้นมาหลายแห่ง
ราวกับรู้ตัวว่าอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน เธอจึงพูดกับลูกชายตัวน้อยว่า “แม่ไม่สบาย คงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลไปสักพัก แต่เดี๋ยวพ่อจะมารับลูกไปอยู่ด้วยนะ”
“ผมไม่อยากไป ผมอยากอยู่กับแม่” เขาจับแขนของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“แต่ลูกต้องไปโรงเรียนนี่นา เลิกเรียนแล้วค่อยมาเยี่ยมแม่ก็ได้” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลเพราะรู้ว่าลูกชายต้องเป็นห่วง
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่กับแม่” หมอกส่ายหน้าไม่ยอมแล้วกอดร่างของเธอเอาไว้
“อื้ม ๆ แม่รู้ ๆ” มือข้างซ้ายที่ไม่ค่อยมีแรงลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา “หมอกไปขอกระดาษกับปากกาคุณพยาบาลมาให้แม่ได้ไหม”
หลังจากนั้น เธอจึงเขียนจดหมายขึ้นมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งไปที่บ้านหลังนั้น จ่าหน้าซองถึงสาธวี พชรกุล อีกฉบับจ่าหน้าซองถึงหมอก ใจความด้านในเล่าเรื่องพ่อของเขาอย่างละเอียดและขอโทษที่เธอไม่ได้อยู่กับเขาให้นานกว่านี้
ไม่กี่วันต่อมา
เสียงร้องไห้ของหมอกดังไปทั่ววอร์ดชั้นแปด คนไข้และญาติ รวมถึงพยาบาลหลายคนได้แต่มองดูด้วยความเวทนาสงสาร
“แม่ครับ! แม่อยู่ไหน” หมอกร้องเรียกหาแม่ของเขาเสียงสั่นเครือ กวาดตามองซ้ายขวาน้ำตาเอ่อล้น
“หมอก ไม่ร้องนะลูก” พยาบาลที่คอยดูแลแม่ของเขาโอบกอดหมอกเอาไว้ด้วยความสงสาร
ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หมอกพยายามดูแลแม่ของเขาทุกอย่างที่เด็กตัวน้อยพอจะทำให้ได้เพราะอยากให้แม่กลับมาแข็งแรงแล้วจะได้กลับบ้านหลังน้อยริมทะเลด้วยกัน
ใครต่อใครต่างคิดว่าอีกไม่นานเธอคงแข็งแรงขึ้น แต่โรคที่เธอเป็นอยู่กลับไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด ไม่ว่าจะให้เกล็ดเลือดไปมากเท่าใด ก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วจนร่างกายของเธอไม่อาจต่อสู้กับมันได้
จากนั้นไม่นาน พยาบาลได้อ่านจดหมายที่เธอเขียนเอาไว้ให้ลูกชาย
แม่ขอโทษนะลูก แม่รักษาสัญญาไม่ได้ หมอกอย่าโกรธแม่เลยนะ ไม่ว่าหมอกจะอยู่ที่ไหน แม่อยู่ข้าง ๆ หมอกเสมอ แม้ว่าหมอกจะมองไม่เห็นแม่ แต่แม่คอยมองดูหมอกจากที่ไกล ๆ
พ่อของหมอก นายสาธวี พชรกุล เบอร์โทร 069-xxxxxxx บ้านเลขที่ 23/33 หมู่ 1 XXXXXXX
แม้ว่าพ่อจะไม่เคยเห็นหน้าหมอกมาก่อน แต่แม่เชื่อว่าพ่อจะต้องดีใจที่ได้เจอหมอก เพราะฉะนั้น หมอกไม่ต้องกลัวอะไรนะลูก แม่รักหมอกมากนะ
หากเวลานี้ ยังไม่มีใครติดต่อกลับมา รบกวนผู้ที่อ่านจดหมายนี้ช่วยหมอกด้วยนะคะ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
“คุณพยาบาลครับ ขอยืมโทรศัพท์ได้ไหมครับ” หมอกปาดน้ำตาแล้วถามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์มาให้แล้วกดเบอร์ที่อยู่ในจดหมาย
เด็กชายรอคนปลายสายอย่างใจจดใจจ่อเพื่อจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของให้ให้คนที่ชื่อสาธวี พชรกุล ซึ่งเป็นชื่อที่เขาเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ชื่อของคนที่เป็นพ่อของเขา
ทว่า เสียงปลายสายที่รับกลับเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่รับสายด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดและโมโห
“นั่นใคร” เสียงแหลมตวาดใส่โทรศัพท์
“ผมชื่อหมอก ขอสายคนที่ชื่อสาธวีได้ไหมครับ” หมอกเอ่ยปากถาม
“เด็กที่ไหนโทรมาแกล้งอีกแล้ว พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรือไง” เธอโมโหพลางตัดสายทิ้ง
เด็กชายตัวน้อยมองหน้าพยาบาลด้วยความมึนงง แล้วกดเบอร์นั้นโทรไปใหม่อีกรอบ หากแต่ได้ยินเสียงของหญิงมีอายุรับสายแทน
“สวัสดีครับ ผมชื่อหมอก ขอสายคุณสาธวีได้ไหมครับ”
“สักครู่นะคะ” ปลายสายตอบเขาแล้วพูดกับอีกคนที่อยู่ไม่ไกลว่า “คุณผู้หญิง มีสายถึงคุณสาธวีค่ะ”
“ตัดสายทิ้งซะ แล้วก็บล็อกเบอร์ไปด้วย ถ้ายังโทรมาก่อกวนอีกแจ้งตำรวจจับไปเลย เรื่องแค่นี้ต้องถามฉันด้วยหรือไง”
หมอกได้ยินน้ำเสียงนั้นก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่รับสาย จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป ไม่ว่าจะลองโทรไปใหม่เท่าไหร่กลับไม่มีคนรับสาย
สุดท้ายแล้ว เด็กชายการันต์ วกุลทิพย์จึงไม่อาจได้เจอพ่ออย่างที่แม่ของเขาหวังไว้
ไม่มีใครติดต่อกลับมาหาเจ้าตัวน้อยที่กำลังโดดเดี่ยวสักคน จนในที่สุด เขาต้องเข้าไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า