ตอนที่ 4 ตามหาครอบครัวที่เหลืออยู่

1385 Words
หลังจากเข้ามาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้ง ชีวิตของหมอกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อถูกเด็กที่โตกว่าคอยรังแกทุกวี่วัน แต่หมอกไม่เคยคิดตอบโต้สิ่งใด “นี่แกคิดว่าเขาเป็นพ่อของแกงั้นเหรอ” เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งสบถใส่หมอกตอนที่เขาขอให้ช่วยติดต่อพ่อของตน “แต่แม่บอกว่าให้ติดต่อพ่อตามเบอร์นี้” เด็กน้อยยังคงไม่ยอมแพ้ทำตามคำสั่งเสียของแม่เป็นอย่างดี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาพ่อให้เจอเพราะมีเรื่องมากมายที่อยากถาม ทำไมพ่อถึงทิ้งพวกเราไป พ่อเคยคิดตามหาพวกเราไหม แม่รอพ่อกลับมาทุกวัน พ่อจะรู้บ้างหรือเปล่า “เฮอะ! เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว เลิกทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะสักที แกคิดว่าแกเป็นใครถึงกล้ามาแอบอ้างว่าเขาเป็นพ่อของแก” ผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้ายกฝ่ามือตบหน้าของหมอกอย่างแรงด้วยความกราดเกรี้ยว ตอนที่เขารับเด็กชายตัวน้อยเข้ามายังบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้งครั้งแรก คิดว่าจะได้เจอโชคดีบุญหล่นทับครั้งใหญ่ที่ได้ช่วยเหลือบุตรชายของตระกูลพชรกุล หนึ่งในสิบตระกูลผู้มั่งคั่งร่ำรวยของประเทศได้ ทว่า เมื่อลองติดต่อกลับไปแล้วกลับพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่ทางฝ่ายนั้นยืนยันนักหนาว่าตระกูลพชรกุลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอก ทั้งยังจะดำเนินคดีกับผู้อำนวยการอย่างถึงที่สุดหากไม่เลิกติดต่อเข้ามา “แต่ว่าพ่อ...” คำพูดของหมอกยังไม่จบประโยคดี ชายผู้นั้นก็ถอดเข็มขัดออกมาแล้วฟาดตามขาและลำตัวจนได้รอยแผลเป็นทางยาว แม้จะโดนถึงเพียงนั้น แต่หมอกกลับไม่ร้องออกมา ทั้งยังจ้องหน้าคนใจร้ายอย่างไม่เกรงกลัว ไม่เข้าใจว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนแบบนี้เต็มไปหมด มองไปทางไหนก็ไม่มีใครเหมือนแม่ของเขาสักคน “ยังจะกล้ามาจ้องหน้าฉันอีกเหรอ นี่ถ้าไม่เห็นว่าแกไม่มีที่ไป ฉันไม่รับแกเข้ามาหรอก” เขากดไหล่ของหมอกให้นั่งลงคุกเข่า “สำนึกไว้ซะว่าฉันช่วยแก กราบขอโทษฉันสิ” การช่วยเหลือหมอกจากความทุกข์ยากเป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่เขาทำเพื่อสั่งสมบารมีให้มีคนนับหน้าถือตาว่าเป็นผู้ใจบุญชอบช่วยเหลือเด็กยากไร้ ทั้งยังได้รับเงินสงเคราะห์จากรัฐบาลเพื่อมาบริหารจัดการและยักยอกไปใช้ส่วนตัวอย่างไร้สำนึก เด็ก ๆ ในบ้านเด็กกำพร้ามีชีวิตอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ แต่ไม่อาจมีปากเสียงขอร้องให้ใครช่วยเหลือได้ นั่นเพราะหน้ากากที่ผู้อำนวยการสวมอยู่บดบังความเป็นจริงและความน่ากลัวของเขา ข่มขู่ไม่ให้เด็กคนไหนปริปาก เรื่องราวของหมอกเข้าหูของเด็กหัวโจกที่อายุมากกว่าสี่ห้าปีกลุ่มหนึ่ง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกับผมสีน้ำตาลอ่อนทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ารักโดดเด่นกว่าคนอื่นกลายเป็นจุดที่ทำให้เขาถูกรังแกอย่างไม่มีเหตุผล เขาถูกเด็กเหล่านั้นฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่ทำร้ายร่างกาย “ทำไม” หมอกถามเด็กพวกนั้นสั้น ๆ ไม่เข้าใจว่ามีปัญหาอะไรกับเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำอะไรให้ไม่พอใจ “ก็ไม่ทำไม มีปัญหาเหรอ” หนึ่งในนั้นเลิกคิ้ว ทำท่าทางและสีหน้าหาเรื่อง เขาส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับปลงตกว่าที่แห่งนี้คงจะมีแต่คนแบบนี้ พลางลุกขึ้นยืนปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนดินออก คิดจะเดินหนีเพราะรู้สึกรำคาญ “นี่ คิดว่ามีพ่อเป็นคนรวยแล้วจะทำเมินพวกเราเหรอ” เสียงของเด็กอีกคนโพล่งขึ้นมาเพราะได้ยินผู้อำนวยการพูดกับเขา หากแต่เด็กอีกคนแย้งว่า “ไม่ใช่สักหน่อย ผอ.บอกว่ามันโกหก” “ใช่ ๆ ถ้าเป็นพ่อจริง ๆ ป่านนี้มารับกลับบ้านไปแล้ว” สายตาของคนพวกนั้นมองมาที่หมอก “หรือว่าจะพ่อจริง ๆ แต่เกลียดมันเพราะเป็นลูกเมียน้อยหรือเปล่า” หมอกหูผึ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กพวกนี้พูด “หมายความว่ายังไง” เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน จึงถามออกไปเพราะอยากรู้ความหมาย “สงสัยมันจะโง่ด้วยแหละ เลยไม่มีใครยอมรับ” เสียงหัวเราะดูถูกของเด็กกลุ่มนี้ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบในใจของหมอกที่กำลังงุนงงว่าเรื่องนี้มีอะไรน่าตลกขบขันนักหนา “ใช่ ๆ มีคนโง่ ๆ เป็นลูก พ่อแม่คงจะอายแย่” คนที่เป็นหัวโจกเอ่ยปากแล้วกระชากคอเสื้อของหมอกเข้ามาใกล้พูดต่ออีกว่า “แกมันลูกไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ หมาหัวเน่า” ถึงจะไม่เข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ แต่ประโยคหลังสุดเขารู้ความหมายเป็นอย่างดี “พวกแกก็ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่เหมือนกัน ถึงได้มาอยู่ที่นี่” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขาจ้องกลับเด็กพวกนั้น มองไล่เรียงทีละคนอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่ที่แม่จากไป รอยยิ้มหนวดแมวของหมอกเริ่มหายไปจนเวลานี้แทบกลายเป็นคนที่เฉยชาไปกับทุกสิ่ง ซึ่งนิสัยส่วนนี้เหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด ราวกับคำพูดที่ก่นด่าหมอกย้อนกลับเข้าตัวเอง คนเป็นหัวโจกก็ต่อยหมับเข้าแก้มข้างขวาของหมอกอย่างจังจนเด็กตัวน้อยกระเด็นล้มลงพื้นเลือดกบปาก ตี๊ด ตี๊ด เสียงออดบ้านเด็กกำพร้าบอกเวลาอาหารเย็นดังขึ้น จึงทำให้กลุ่มเด็กพวกนี้รีบวิ่งไปที่โรงอาหาร ทำให้หมอกรอดตัวไปได้อีกครั้งก่อนจะต้องโดนหมัดเมามากกว่านี้ แผลข้างในปากเจ็บเสียจนเจ้าตัวไม่นึกอยากกินอะไรจึงกลับเข้าห้องของตนเองแล้วนอนหลับไปทั้งอย่างนั้น วันแล้ววันเล่า ชีวิตของหมอกดำเนินวนเวียนซ้ำไปมาอย่างนี้ แววตาของเขาหม่นหมองขึ้นทุกวันแต่ในใจยังคงมีภารกิจหนึ่งอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ ความฉลาดของหมอกทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าเพื่อนที่อายุเท่ากันและเมื่อรู้ว่าใครมีนิสัยอย่างไรก็พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ช่วงสายวันหนึ่งที่ผอ.ไม่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า หมอกแสร้งทำทีเป็นไม่สบายเพื่อจะไม่ต้องออกมาข้างนอกแล้วฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนเผลอ แอบเข้าไปเก็บกุญแจสำรองห้องผอ.มาไว้กับตัวเอง ในห้องนั้นมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่ง แม้ว่าจดหมายที่แม่ของเขาเคยเขียนเบอร์โทรและที่อยู่ของพ่อเอาไว้รวมถึงรูปถ่ายของพ่อจะถูกผอ.ทำลายทิ้งไม่เหลือซาก หมอกยังคงจำรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างขึ้นใจ เขาแอบเข้ามาในห้องผอ.ตอนกลางคืนเพื่อค้นหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับนายสาธวี พชรกุลและตระกูลพชรกุล รูปถ่ายที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูแตกต่างจากภาพในรูปถ่ายที่เขาเคยเห็นเล็กน้อย เพราะกาลเวลาที่ล่วงเลยไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือดวงตาสีน้ำเงินเข้มและผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนตัวเขาเองทุกกระเบียดนิ้ว หลังจากเก็บข้อมูลได้มากขึ้น หมอกจึงวางแผนไปหาคนที่ชื่อว่าเป็นพ่อด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าการติดต่อทุกครั้งทางโทรศัพท์มักจะถูกปลายทางตัดสาย จดหมายที่ส่งไปยังบ้านเลขที่นั้นไม่มีใครตอบกลับมา หรือว่าพ่อจะเกลียดเขาอย่างที่พวกนั้นบอกจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอกันสักครั้ง เวลานี้เขาไม่ได้หวังว่าจะให้คนผู้นั้นยอมรับเขาเป็นลูก แต่หวังเพียงอย่างเดียวว่าคำพูดสุดท้ายของแม่จะถูกส่งต่อไปยังเขา แผนการตามหาพ่อที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้นขึ้น และช่วงวันที่เหมาะสมที่สุดคือวันทัศนศึกษาของบ้านเด็กกำพร้าสายรุ้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD