“ขึ้นรถไปกับเพื่อนแล้วค่ะคุณติ”
เด็กคนหนึ่งในร้านที่เห็นเหตุการณ์บอกเสียงอ่อย
จุติเลยยกโทรศัพท์กดโทร. หาแต่กลับติดต่อไม่ได้ ส่วนอีกคนทางนี้ก็งอแงจะกลับท่าเดียว จนเขาต้องตวาดเสียงดุใส่
“หยุดโวยวายได้แล้ว ขึ้นไปข้าวฟ่างที่ห้องข้างบนก่อนไป”
จุติกดวางสายที่เพียรโทร. หาญาติผู้น้อง แล้วจับข้อมือเล็ก ๆ ของอรนลินพาขึ้นไปที่ห้องส่วนตัว ถัดจากออฟฟิศที่ด้านบน
พอพามาถึง อรนลินก็รีบถดตัวหนี ราวกับเขาเป็นถ่านร้อน ๆ ก้อนใหญ่อย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว แถมตวาดแวดใส่เขาอีก
“ไปจัดการแฟนคุณนู่น ไม่ต้องมาสนใจฉัน”
“โธ่แม่คุณ ใครสนใจคุณไม่ทราบ” จุติร้องถามอย่างเหลืออด เขาช่วยแท้ ๆ ยังมาโวยวาย มาวีนใส่เขาอีก “เนี่ยอะนะ สาวของไอ้ดิน ผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูก ถุยเถอะครับ ถ้าไม่เพราะคุณไปต่อปากต่อคำกับริต้า มันก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้นมาหรอก รู้ตัวเอาไว้ด้วย”
คนฟังตาลุกวาบ ด้วยความโกรธที่ถูกอีกฝ่ายพูดใส่ความตนเอง“แฟนคุณนั่นแหล่ะเริ่มก่อน”
“ไอ้ดินมันรู้หรือเปล่าว่าคู่หมั้นมันไม่ธรรมดาน่ะ”
“ใช่ ฉันไม่ธรรมดา แล้วก็รู้สึกว่าที่คุณกำลังพูดอยู่เนี่ย เหมือนกับอิจฉาพี่ดินนะ”
จุติยกมือขึ้นท้าวเอว ร้องเหอะก่อนจะทวนคำพูดเมื่อครู่
“อิจฉาได้ดินเนี่ยนะ จะบอกอะไรให้รู้ไว้เถอะหนู อย่างหนูเนี่ย” พูดค้าง พร้อมกวาดสายตามองเรือนร่างของเธอขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างดูถูก “ไม่ได้ครึ่งของผู้หญิงของผมหรอกครับ”
“ใครหนู”
ชายหนุ่มแกล้งกวาดสายตามองเสื้อที่ขาดจนแทบปิดทรวงงามไม่มิด “อือ ไม่หนูจริง ๆ ด้วย”
“โรคจิต!”
จุติเลยแกล้งเดินเข้ามาพร้อมหน้าตาหื่นใส่ ให้สมกับคำบริภาษ “เพิ่งรู้หรือจ๊ะว่าโรคจิต” แล้วยื่นใบหน้าหล่อคมเข้ามาใกล้อย่างต้องการยั่วยุ
“อย่านะ ไอ้บ้า วิตถาร”
อรนลินร้องห้ามด้วยความกลัว แล้วฟาดมือใส่ใบหน้าคมคาย ทั้ง ๆ ที่จุติยังไม่ได้แตะต้องเธอแม้เพียงปลายขน
เมื่อสิ้นเสียงฝ่ามือกระทบเนื้ออย่างจัง ก็พบว่ามีคนโดนตบหน้าหันหนึ่งอัตรา
อรนลินค้างมือไว้กลางอากาศ ตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นรอยริ้วแดงเป็นปื้น ห้ารอยบนใบหน้าเจ้าของผับ
“ขะ ขอโทษ”
หญิงสาวหัวไวรีบออกปาก แต่จุติเหมือนขาดการควบคุมตัวเอง นึกอยากสั่งสอนเด็กไม่รู้จักโตให้รู้จักกลัว
จึงตรงเข้าไปคว้าร่างนุ่มเข้ามาตวัดกอด พร้อมกับแกล้งซุกใบหน้าลงหา ขบเม้มที่ปากสีชมพูอ่อนอย่างต้องการทำโทษ
คนถูกกระทำไม่อยู่นิ่ง ดิ้นรนทุบข่วน แต่จุติก็ยังสามารถดักเธอได้ทุกทาง ตวัดมือไพล่หลังด้วยมือข้างเดียวของเขา อีกมือแกล้งลงน้ำหนักที่สะโพกกลมใต้เนื้อผ้านุ่มลื่น จนร่างเล็กร้องห้ามเสียงสั่นด้วยความกลัว “อย่านะ”
“คุณได้หย่าแน่ ถ้าเปลี่ยนจากไอ้ดินมาเป็นผม”
เสียงหวานร้องห้ามอีกครั้ง “หยุด”
แต่จุติปิดปากทับทันที แล้วดูดดึงลิ้นร้อนที่หวานจนปลุกความต้องการซ่อนลึก จนร่ำ ๆ จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ เลยตัดใจลงน้ำหนักอีกครั้ง แล้วออกแรงดันหญิงสาวให้ออกห่างจากตนไปเสีย ไม่อย่างนั้น เขาได้เป็นพญาเทครัว เอาว่าที่เมียของเพื่อนแน่ ๆ คืนนี้
“แต่งตัวให้เรียบร้อย จะไปส่ง”
พูดจบจุติหันหลัง เพื่อออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก แต่ออกเดินเพียงแค่สองก้าว ก็รู้สึกปวดตึงที่หัวแปล้บขึ้นทันที
พอหันกลับไปมอง ก็เห็นคนฤทธิ์มากส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาให้เขา
จุติก้มมองวัตถุที่อีกฝ่ายใช้เขวี้ยงจนโดนหัวเขาอย่างจัง ยกมือคลำตรงตำแหน่งที่โดน มีเลือดซึมติดมือออกมาเล็กน้อยแต่เลือดบนใบหน้าและในกายกลับพุ่งระดับจนระงับไม่อยู่แล้ว วินาทีนี้
“ไม่ยอมเลิกใช่ไหม”
จุติพุ่งเข้าหาคนที่ยืนหอบหายใจด้วยแรงโทสะ ปล้ำถอดชุดออกจนหมดในนาทีถัดมา แล้วสายตาก็พร่าด้วยความต้องการทางเพศปนโทสะ
อรนลินหน้าซีดเมื่อเห็นแววตาของเขา ได้แต่ร้องว่า “ไม่นะ”
“สายไปแล้วน้องหนู”
สายไปแล้วจริง ๆ เพราะจุติสติขาด เมื่อถูกหญิงสาวทำร้ายร่างกายเขาราวกับไม่ยอมเลิกรา
ใบหน้าหล่อคมก้มลงหาคนก่อเรื่อง มือไม้ดึงรั้งปลุกเร้าจนความต้องการลุกแล่นพล่านไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
อรนลินพลิกตัวออกจากอ้อมแขนอบอุ่นอย่างที่ผิดหวังในตัวเองถึงที่สุด มันไม่ใช่การข่มขืนเสียทีเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแทบจะเรียกว่าสมยอมก็ยังได้ แล้วรีบแต่งตัวออกจากห้องนั้นไปเสีย ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน หลังจากผละออกจากเธอไปได้ไม่นานนี่เอง
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ด้านหน้าก้มศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม อรนลินหลบตาอีกฝ่าย เอ่ยขอด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่น “ช่วยเรียกแท็กซี่ให้หน่อยค่ะ”
ไม่นานเธอได้รถตามที่ต้องการ บอกคนขับให้พาตรงกลับที่พัก เพื่อเก็บเสื้อผ้าข้าวของ จนเรียบร้อยเตรียมจะลงไปเช็คเอาท์ ลากกระเป๋ามากดลิฟต์ เพื่อลงไปที่ด้านล่าง ก็เจอเข้ากับคนที่ทำให้เธอรู้สึกอัปยศอดสูที่สุดในชีวิต
เขาพูดขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกจนสุด “เราต้องคุยกัน”
อรนลินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วบอก “ฉันไม่คุย”
คนอยากคุย อยากต่อรอง ได้ฟังคำตอบก็ตาวาวด้วยความไม่พอใจ “จะคุยกันก่อนดี ๆ หรือจะให้ผมไปบอกไอ้ดินเรื่องเมื่อคืนนี้”
อรนลินตวัดตาลงมามองที่เขา แล้วถามกลับว่า “มายุ่งอะไรด้วยกับเรื่องของฉันกับพี่ดิน”
จุติเดินหน้าเข้าหาพร้อมกับพูดใส่หน้ามาว่า “มันไม่มีเรื่องของฉันอีกแล้วอรนลิน ตอนนี้มันมีแต่เรื่องของ ‘เรา’ ”
“ไม่มีคำว่า ‘เรา’ ฉันจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น”
“ระยำเถอะ!” จุติสบถอย่างหยาบคาย จนคนฟังสะดุ้งตกใจตามไปด้วย “อย่าคิดว่าผมชอบคุณมากจนต้องมาตามง้อนะ แต่ที่มาคุยเพราะไม่อยากสวมเขาให้เพื่อนของผมต่างหาก”
อรนลินได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็กัดปากด้วยความเจ็บใจ เขาพูดเหมือนเธอเป็นตัวไร้ค่า
“เรื่องระหว่าง ‘เรา’ มันจะไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว มันสำเร็จแล้วแม่คุณ”
หญิงสาวหยิบสายกระเป๋าที่คล้องกับไหล่ออก แล้วเดินตรงไปหาเขา ตวัดมันใส่ใบหน้ากวนประสาทนั่นทั้งใบ พร้อมด่าทออย่างดุเดือด “แล้วทำกับฉันแบบนั้นได้ยังไง ถ้าไม่เพราะคุณ ฉันก็จะได้หมั้นกับพี่ดิน แต่งงานกับเขาไปแล้ว คุณมันสารเลวข่มขืนผู้หญิง รังแกคนไม่มีทางสู้”
จุติยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกระหน่ำใส่ได้ตามแรงอารมณ์ ถามคำถาม ที่ถ้าเทียบกับมวยก็เป็นหมัดอย่างดีที่ทำเอาคนฟังทั้งเจ็บและจุกทันทีที่ได้ยิน
“แล้วคุณกับแม่ภูมิใจนักหรือที่ได้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักน่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ไอ้ดินมันมีคนที่รักอยู่ในใจ อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้”
“คุณถึงได้มาพรากฉันออกมาจากพี่ดินอย่างนั้นหรือ”
“อย่าผูกกันมันคนละเรื่อง มาคุยเรื่องของ ‘เรา’ ให้เคลียร์ก่อน” จุติหน้าตาเคร่งเครียดเล็กน้อย “คุณไปบอกยกเลิกงานหมั้นไอ้ดินซะ แล้วอีกสักพัก ผมจะให้ผู้ใหญ่ไปคุยเรื่องของ ‘เรา’ ”
อรนลินตวัดเสียงใส่ทันที “ไม่มีทาง”
“หรือจะให้ผมไปคุยกับไอ้คุณดินเอง คุณเลือกเอานะ”
มองอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธและเกลียดอย่างที่สุด “ฉันจะไม่ยกเลิกงานหมั้นกับพี่ดิน”
“อยากลองดีกับผมก็เอาสิ”
สายตาสองคู่มองตอบกัน ห้ำหั่นใส่กัน อย่างชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร หากแต่ภายในกลับเริ่มรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดระหว่างกันขึ้นมาบ้างแล้ว