1 จุดเริ่มต้น
อรนลินก้มมองมือตัวเองขณะฟังมารดาคุยกับคุณสารินี เรื่องที่จะให้เธอหมั้นหมายกับบุตรชายของท่าน ที่ชื่อ ณัฏฐ์
ทั้ง ๆ ที่เธอยังเรียนไม่จบ แม้ผู้ใหญ่จะตกลงกันไว้ว่าจะรอก็ตามทีเถอะ แต่หากถึงวันนั้นแล้ว เธอก็ยังมีความคิดต่อต้าน ว่าอยากออกหางานทำแบบเพื่อนคนอื่น มากกว่าจะต้องไปแต่งงาน เพื่อไปเป็นภรรยาของใคร
เพราะเธอยังไม่พร้อม
เธอไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว ไม่พร้อมสำหรับชีวิตคู่
แต่มารดาคงไม่ยอม เพราะท่านขีดชีวิตทุกอย่างของเธอเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว
คู่หมายของเธอเป็นบุตรชายคนเดียวของคุณสารินีและกำหนดงานหมั้นของเธอจะมีขึ้นในปลายปีนี้
หลังจากที่ผู้ใหญ่ได้ตกลงกันแล้ว เธอจึงต้องมีกิจวัตรเพิ่มขึ้นในตารางชีวิตที่แสนจะน่าเบื่อก็คือ เธอต้องไปหาว่าที่คู่หมั้นทุกวันตามคำสั่งของมารดา หากรู้ว่าณัฏฐ์กลับมาที่บ้านริมชายหาด แม่บ้านของที่นั่นจะโทร. มารายงานเสมอ และเธอต้องถ่อสังขารไปหาเขา
ณัฏฐ์เองก็ดูมีท่าทีไม่ต่างจากเธอนัก เธอเดาเอาว่าเขาคงไม่ได้อยากหมั้นเหมือนกับเธอ
ทุกคราวที่ไปหา ณัฏฐ์จะต้อนรับแบบแกน ๆ คล้ายทำไปตามมารยาทเพียงเท่านั้น แต่คราวนี้ดูแปลกกว่าที่เคย เพราะพอลงจากรถได้ไม่ถึงอึดใจ เธอก็เห็นว่าที่คู่หมั้นของเธอ ยืนรอ เขาดูยิ้มแย้ม กระตือรือร้นจนไม่เหมือนคนเดิมเลยสักนิด
ณัฏฐ์พาเธอเดินไป หยอกล้อ คุยเล่นกันไป จนถึงสระว่ายน้ำที่หันหน้าออกสู่ทะเลภายในรั้วบ้านของเขา
เขาดูแปลกไปจริง ๆ นะ
อรนลินรู้สึกเช่นนั้น เพราะทุกทีที่มา ก็จะเห็นเขาทำงานอยู่แต่ในห้องเสมอและมีท่าทีเฉยชากว่านี้
แต่นี่อะไร ว่าที่คู่หมั้นของเธอกำลังแสดงละครฉากใหญ่ตบตาใครบางคนอยู่
อรนลินนั่งคุยกับว่าที่คู่หมั้นเพียงครู่เดียว หญิงสาวหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่อยู่ในชุดรัดรูป เสื้อสายเดี่ยวและกางเกงขาสั้นมาก ๆ จนเกือบปิดอะไรไม่มิด เดินเลยไปมองทะเลตรงหาดเบื้องหน้า
“ปานทิพย์”
เสียงณัฏฐ์ร้องเรียกดังจนเธอเองยังตกใจ
“มานี่” เขาเรียกพร้อมกวาดสายตามองชุดบนตัวเธอด้วยแววตาเหยียดหยัน “นี่หนูดีว่าที่คู่หมั้นของฉัน”
อรนลินยิ้มทักทายให้อย่างสุภาพ รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างจากทั้งคู่ คิดอย่างซุกซนว่าต้องมีอะไรแน่นอนกับทั้งสองคนตรงหน้า แอบลุ้นอยู่ในใจไม่ได้ว่าขอให้มีทีเถอะ เธอจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับคนที่เธอ...ไม่ได้รัก
ณัฏฐ์ถามอย่างวางตัว “มื้อเย็นตั้งโต๊ะแล้วยัง”
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้าพร้อมรับคำเบาๆ ณัฏฐ์จึงหันมาพูดจาอ่อนหวานกับเธอต่อ
เขา “ไปครับหนูดี วันนี้ป้าเนียนทำอาหารเอาใจหนูดีน่าดูเลย พี่ชักอิจฉาแล้วสิ แกชอบบ่นบ่อย ๆ ด้วยนะ ว่าอยากให้พี่พาหนูดีมากินข้าวที่นี่ทุกมื้อเลย”
อรนลินตีเผียะที่ต้นแขนณัฏฐ์ทันที เธออยากร่วมแสดงละครฉากนี้กับเขาด้วย ณัฏฐ์เองจึงคว้าหมับที่มือของเธอขึ้นไปจูบ อรนลินไม่ได้อายเท่าไรหรอก แต่ก็จึงทำท่าเอียงไปแบบนั้นเอง อดหน้าแดงไม่ได้ เพราะไม่เคยทำตัวแก่นเช่นนี้มาก่อน
พอเห็นปฏิกิริยาดังนั้นแล้วก็ยิ่งมั่นใจ
เป็นอย่างที่คิดไม่ผิดแน่
“ไปครับ”
ณัฏฐ์บอก แล้วฉุดแขนของเธอให้ลุกขึ้น ตามเขาบ้าน โดยมีหญิงสาวสวยจัดคนนั้นตามมาห่างๆ
อรนลินคิดอยู่ในใจ ว่าหากณัฏฐ์ลงเอยกับสาวสวยที่ชื่อ
‘ปานทิพย์’
เธอก็จะรอดและหลุดพ้นจากการคลุมถุงชนครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
กลับถึงบ้าน อรนลินล้มตัวลงนอน พยายามจะให้หลับเพื่อให้ผ่านไปอีกวันอย่างไร้ความหมาย ช่วงบ่ายว่าที่คู่หมั้นของเธอมาปรากฏตัวปุบปับ
ทำเอาแม่ของเธอยิ้มแฉ่ง หุบไม่ลงไปหลายนาที
ณัฏฐ์ออกปากชวนเธอให้ไปบ้านกินมื้อค่ำด้วยกันที่บ้านของเขา แล้วเดี๋ยวจะพามาส่งหลังจากนั้น แม่แทบจะอุ้มเธอให้ขึ้นรถมากับเขาตอนนั้นเลยก็ว่าได้
ณัฏฐ์ขับรถเข้ามาจอด แล้วเดินลิ่ว ๆ ตรงไปที่สระ เหมือนร้อนใจอะไรสักอย่าง แต่ด้วยมารยาท เขาหันกลับมายืนรอเธอเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าพาเธอมาด้วย แล้วถึงเดินเข้าไปพร้อมกัน
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากสระทันทีที่เธอและณัฏฐ์มาถึง
“กว่าจะกลับได้นะครับคุณณัฏฐ์หายไปไหนมาทั้งวัน ปล่อยให้เพื่อนรออยู่บ้านจนเซ็ง”
“ดูจากสีหน้านายแล้วไม่น่าเซ็งนะ” ณัฏฐ์ย้อนแล้วแนะนำทางนั้นให้รู้จักกันกับเธอ “หนูดีครับ นี่เพื่อนพี่ชื่อจุติ”
อรนลินยกมือไหว้อย่างรู้มารยาททางสังคมดี ชายคนนั้นพาตัวเองขึ้นมาจากสระ เขารับไหว้เธอแล้วจึงหันไปช่วยดึงหญิงสาวสวยจัดคนในสระขึ้นมาบ้าง ส่งผ้าเช็ดตัวให้กันแล้วค่อยหันมาคุยกับเธอ
“ขออนุญาตให้คุณณัฏฐ์ดื่มกับพี่หน่อยนะครับหนูดี”
อรนลินรู้สึกตงิดใจกับวาจาของชายตรงหน้า แม้เธอจะอายุน้อยสุดในนี้ แต่เธอก็รู้พื้นฐานของอารมณ์มนุษย์ดีไม่แพ้พวกที่อายุมากกว่า
ชายคนตรงหน้าที่เป็นเพื่อนของณัฏฐ์กำลังแขวะเธอ
จึงหันไปมองทางว่าที่คู่หมั้นแล้วพูดด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หนูดีเป็นแค่ว่าที่คู่หมั้นนะคะไม่ใช่เจ้าชีวิต อยากเที่ยว อยากดื่มก็ได้ทั้งนั้นค่ะ หนูดีแฟร์ ๆ อยู่แล้ว”
เพื่อนของณัฏฐ์นิ่งไป ท่าทางคล้ายไม่พอใจเธออย่างไรอย่างนั้น เธอพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
ณัฏฐ์ทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึมครึมลงด้วยการถามขึ้นว่า
“ป้าเนียนยังอยู่ไหม”
“เมื่อตอนเที่ยงได้ยินแกบ่นปวดหลัง เห็นเข้าห้องไปนอนเหยียดหลังอยู่มั้ง” จุติเป็นคนตอบ ณัฏฐ์บอกไปทางคนที่ยืนตัวเปียกด้วยสายตาไม่ใคร่จะพอใจนัก
“ไปช่วยเตรียมอาหารหน่อยปาน”
จุติเลยพยักหน้าแล้วอาสา “เดี๋ยวติช่วย”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวกูจัดการเอง” ณัฏฐ์บอกเสียงแข็ง ส่งสายตาบีบบังคับให้ทำตามที่เขาสั่ง จนปานทิพย์หน้าเจื่อน หันไปบอกจุติว่า “ไม่เป็นไรหรอกติ เดี๋ยวติรอชิมฝีมือปานอยู่นี่แหละ”
ณัฏฐ์ไม่รีรอเดินนำเข้าบ้านไปก่อน หญิงสาวคนนั้นจึงค่อยๆเดินตามไป
อรนลินยืนมองเหตุการณ์อย่างอารมณ์ดี
ศึกชิงนางแหง ๆ เลยแบบนี้ เธอจะเกาะขอบจอรอดูจนจบเลยละ ยิ้มสวยอยู่ภายในใจว่าขอเชียร์ให้ณัฏฐ์ชนะเถอะ เพราะเธอหมั่นไส้นายจุติอะไรนี่เหลือจะทนจริง ๆ คนอะไรหน้าตาก็พอดูได้หรอกนะ แต่วางมาด ขี้เก๊กชะมัด
ชายคนที่เป็นเพื่อนของณัฏฐ์เงียบเอาแต่นั่งมองเธอ
จนอรนลินอึดอัด
เพราะอีกฝ่ายเอนตัวพิงพนักมองมาทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองนั้นเปลือยอกอยู่ ยังดีที่ท่อนล่างของเขามีผ้าเช็คตัวสีน้ำเงินเข้มปิดเอาไว้กันอุจาดสายตา
แต่ก็เถอะ...ผู้ชายอะไรไร้มารยาท จนเธอนึกรังเกียจ
และนานโขทีเดียวกว่าที่ณัฏฐ์จะกลับออกมา หลังจากปล่อยให้เธออยู่กับผู้ชายในชุดว่ายน้ำตามลำพัง
ไม่เคยสักครั้งที่คนง่ายๆสบายๆอย่างอรนลินจะอึดอัดกับการอยู่ร่วมกับใคร
ก่อนกลับอรนลินแอบภาวนาอยู่ภายในใจว่าขออย่าให้เธอได้เจอะเจอกับเขาอีกเลย
‘นายอะไรนั่นน่ะ...อ้อ นายจุติ ขออย่าให้ต้องเจอกับเขาอีกเลย รู้สึกไม่ถูกชะตาเลยแม้แต่น้อย’
“ใช่จ้ะข้าวฟ่าง งานเลื่อนเข้ามาอีก”
“บ้า ป่องเปิ่งอะไร ตลกละ เคนะ ไว้เดี๋ยวเจอกันที่งานเลย”
“อือ คิดถึงเหมือนกัน”
อรนลินวางสายแล้วนั่งอมยิ้มคนเดียวที่ระเบียงบ้าน พอดีที่มารดาเดินเข้ามาสมทบ จึงยิ้มน่ารักส่งให้ ก่อนเอ่ยปากขออนุญาต
“คุณแม่คะ หนูดีจะไปงานวันเกิดข้าวฟ่างนะคะ”
อรทัยเงียบไปเป็นนาน แล้วถึงได้ถามออกไปว่า “ที่ไหนคะลูก”
พอได้ยินชื่อโรงแรม ที่ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร คนเป็นแม่ก็หน้านิ่วทันที บอกกลับไปว่า “แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลย เมื่อคืนแม่ฝันว่ามีคนมาตัดนิ้วก้อยของแม่”
อรนลินยิ้มแล้วลุกขึ้นมาบีบนวดไหล่มารดา “หูย คุณแม่น่ะ เอาเรื่องฝันมาอ้างอีกแล้ว เนี่ย ๆ เพราะคุณแม่คิดมากก็เลยเก็บเอาไปฝันหรอกคะ ไม่ได้เกี่ยวกับหนูดีเลย” พูดจบ หอมแก้มมารดาอย่างประจบแล้วอ้อนเสียงหวานอีกที
“ให้หนูดีไปเถอะนะคะ เพื่อน ๆ บอกว่าจะฉลองให้หนูดีด้วย ที่ได้หมั้นเป็นคนแรกในกลุ่มเลยน่ะ” คนลูกพูดแบบติดตลก ถึงอย่างนั้นก็ดูไม่ได้ยินดีนักในน้ำเสียง
แต่คนเป็นแม่ไม่ทันได้สังเกตอาการ ทำเพียงถอนลมหายใจ สุดท้ายก็พยักหน้า อนุญาตให้ไปในที่สุด แต่ในใจก็อดพะวักพะวงไม่ได้ รู้สึกแปลก ๆ โหวง ๆ ชอบกลนัก เหมือนกับจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตนและบุตรสาวอย่างนั้นแหละ แต่แล้วก็ปลอบใจตัวเอง ว่าคงคิดมากเกินไปอย่างที่บุตรสาวออกปากท้วงนั่นเอง