“ฉันพร้อมคุย ‘เรื่องนั้น’ แล้ว”
จุติมองคู่สนทนาด้วยสายตาหมิ่น ๆ เขานัดแม่นี่สามรอบ กว่าที่อีกฝ่ายจะตอบตกลงออกมาพบเขาได้ ก่อนจะเอนหลังพิงพนัก แล้วเริ่มต้นเกริ่น ‘เรื่องนั้น’ ด้วยท่วงท่าหยั่งเชิง
“ปานท้องแล้ว”
พอพูดออกไปแล้วก็ลอบมองท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะมีอาการเป็นเช่นไร
หญิงสาวเบื้องหน้าที่เป็นคู่สนทนาของจุติ คือว่าที่คู่หมั้นของณัฏฐ์ เพื่อนรักของเขาเอง ที่จุติพอรู้มาว่าเป็นการจัดการของผู้ใหญ่ และณัฏฐ์เองก็ไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย กับการหมั้นหมายในครั้งนี้ แถมยังมีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรกับปานทิพย์นั่นอีก
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เขามาคุยในวันนี้
เขาอยากรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี่จะทำเช่นไรมากกว่า
อรนลินนิ่งไปครู่ ย้อนถามเสียงราบเรียบ “กับใครหรือคะ”
“แหม่ ผมมาคุยกับคุณขนาดนี้ ไม่น่าเดาให้ยากเลยนะว่าปานท้องกับใคร ซื่อแท้วะ” ไม่วายเหน็บในตอนท้ายประโยคอีกด้วย
คอมมอนเซนส์มันต้องมีสิ ก็ถ้าปานทิพย์ท้องกับคนอื่นที่ไม่ใช่ว่าที่คู่หมั้นของเธอ เขาจะมาบอกเพื่ออะไร
จุติส่งเสียง ‘หึ’ อย่างหมิ่น ๆ อีกครั้ง
เว้นเสียแต่ยัยนี่จะแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ ทำหน้าหนา ปั้นหน้าแบ๊ว รั้นจะหมั้นกับณัฏฐ์ให้ได้
อรนลินถึงกับคอแข็งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเขา ก่อนจะถามต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด แววตาใสเต้นระริกอย่างถูกอกถูกใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้
“พี่ดินอย่างนั้นหรือคะ”
จุติตอบทั้งยังเน้นคำพูดตนเอง “ใช่ครับ ปานท้องกับ ‘ไอ้ดิน’ ”
อรนลินบอกเขาอย่างไม่ใคร่ชอบใจนัก “กรุณาพูดจาให้ดี ๆ ด้วยค่ะ ไอ้ อี วะ โว้ย กรุณาช่วยระงับเอาไว้ไปคุยกับคนอื่น”
จุติพยักหน้างึกงัก เบ้ปากยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ “แล้วที่เราเคยคุยกันเอาไว้”
“คุณแม่ของฉันท่านคงไม่ยอม” เธอบอกเขาไปตามความจริง
จุติขึ้นเสียงกร้าว เพราะเขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน เกิดยัยนี่หน้าหนามาขวางทางรักระหว่างเพื่อนทั้งสองของเขาขึ้นมา จะยุ่งไปกันใหญ่ ทางที่ดีเขาต้องจับยัยตุ๊กตาหน้าจิ้มลิ้มนี่ ถอนหมั้นกับไอ้ดินก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“ผมไม่ได้หมั้นกับแม่คุณนี่”
อรนลินคอแข็ง เชิดตรงขึ้นอีกครั้ง สวนกลับทันควัน “กรุณาพูดจาให้เกียรติคุณแม่ของฉันด้วยค่ะ”
จุติคร้านจะต่อคำ เลยรีบสรุป เพื่อเข้าประเด็น “เอาล่ะ เข้าประเด็นเลยแล้วกันนะ ผมต้องการให้คุณถอนหมั้นกับไอ้…” คนพูดอ้าปากเรียกชื่อเพื่อนอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเปลี่ยนคำนำหน้า เมื่อดวงตาคู่งามหรี่ลงอย่างกับแมวตัวน้อยจ้องตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว “ผมหมายถึงคุณดินนั่นแหละ”
ก่อนจะเงียบไปครู่ กล่าวเสริมต่อ “แล้วหลังจากนั้นผมจะให้พ่อผมไปคุยกับแม่ เอ้ย! ต้องเรียกว่าคุณแม่ไหมครับคุณ”
อรนลินไม่ใส่ใจกับการล้อเลียนของเขา “แล้วจะให้ฉันบอกคุณแม่ว่ายังไง”
“เด็กน้อย” จุติยิ้มเยาะ เรียกคนตรงหน้าอย่างดูแคลนมากกว่าจะเอ็นดู จนอรนลินต้องถลึงตาใส่
“ก็บอกไปตามจริงว่านายดินมันทำผู้หญิงท้อง และคุณไม่ต้องการแต่งงานกับมัน แต่อยากแต่งกับผมแทน” จุติเน้นท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มกวนประสาทใส่เธอ
อรนลินนิ่งไป ก่อนพึมพำคล้ายพูดกับตนเองมากกว่าจะคุยกับเขา
“ตามจริงแล้ว ฉันไม่ต้องแต่งกับใครเลยก็ได้นี่นา”
จุติบอกเสียงเยาะ “ได้ข่าวว่างานเตรียมไว้หมดแล้วนี่”
คนไม่อยากแต่งงานบอกอย่างใจป้ำ “เตรียมได้ก็ยกเลิกได้แค่งานหมั้นแค่นั่นเองค่ะ”
“เอาเถอะ ตอนนี้คุณไปถอนหมั้นไอ้คุณดินก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
จุติเรียกเพื่อนว่าไอ้อย่างลืมตัว รีบตัดบทบอกแต่เพียงเท่านั้น
เขาไม่ค่อยอยากเชื่อคนตรงหน้าสักเท่าไร เกิดตุกติกขึ้นมา คนที่จะมีปัญหานั่นก็ไม่พ้น ‘ณัฏฐ์’ และ ‘ปานทิพย์’
คนรักเพื่อนอย่างเขาคงทนไม่ได้เป็นแน่
อรนลินเองก็จนต่อหนทาง เมื่อไม่เห็นว่าอะไรมันดีไปกว่าที่เขาพูดอีกแล้ว จึงรับปากจะนำคำเหล่านั้นไปคุยกับมารดาของเธอ ก่อนแยกย้ายกันไป
กลับถึงบ้านแล้วก็เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่ผิด เมื่อเข้าไปบอกมารดาว่าขอยกเลิกงานหมั้นกับณัฏฐ์ เพราะณัฏฐ์มีคนที่เขารักอยู่แล้ว และเธอไม่อยากทำลายชีวิตคู่ของใคร แต่ท่านมีอาการไม่ยินยอมท่าเดียว อรนลินได้แต่หลบหน้าท่าน เข้าห้องเพื่อ
เจ็ดวันผ่านไป
รถหรูขับเข้ามาภายในบ้านริมหาดของอรนลินและมารดา ตอนเกือบจะสิบโมงเช้าอยู่ไม่ถึงห้านาทีดี้ด้วยซ้ำ
“แม่เจ้าโว้ย บ้านช่องไม่กิ๊กก๊อกนะเว้ย พ่อคิดว่าแกจะคว้าผู้หญิงในผับมาทำเมียเสียอีก” ชายวัยเฉียดหกสิบ อดีตพ่อค้าเนื้อหมูเนื้อไก่ในตลาดสดมีชื่อ ที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของกิจการโรงเลี้ยงสัตว์มูลค่าหลายร้อยล้าน ทั้งยังควบตำแหน่งเจ้าพ่อเงินกู้คนดังของจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บอกกับบุตรชายทันทีที่ลงจากรถหรูนำเข้า สั่งเข้ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
จตุรงค์สำรวจทั่วบ้านที่มีอาณาเขตติดชายทะเลด้วยสายตาถูกอกถูกใจไม่น้อย ไม่เสียแรงที่มาด้วยตัวเอง
เด็กสาวคนหนึ่งที่มองแล้วน่าจะเป็นเด็กรับใช้ในบ้านเดิน เข้ามารับพร้อมทักทาย “คุณจตุรงค์และคุณจุติหรือเปล่าคะ คุณท่านเรียนเชิญที่ห้องรับแขกค่ะ”
“ไปสิ ไปเลย” จตุรงค์บอกด้วยรอยยิ้มถูกใจ กระชับเสื้อคลุมเดินตามอย่างไม่รีบไม่ร้อน มือล้วงกระเป๋ามองบรรยากาศบ้านของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสายตาชื่นชมถูกใจ
จนมาถึงห้องที่ถูกเรียกว่าห้องรับแขก ก็พบหญิงสาวสองคนในนั้น นั่งรออยู่แล้ว คนที่ดูมีอายุมากกว่า แม้จะเอ่ยวาจาเชื้อเชิญ แต่ท่าทีดูถือเนื้อถือตัว ใบหน้าไม่อยากต้อนรับแขกเท่าไรนัก
“เชิญค่ะ”