บทที่-4-วินาทีที่พบกัน
กึก !
ทันทีที่เข้ามาในห้องรับแขก หญิงสาวเจ้าของบ้านต้องยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาจับจ้องอย่างไม่กระพริบตา
ในห้องรับแขกมีผู้หญิงยืนอยู่สามคน ทุกคนต่างหันหน้ามามองดูเธอเขม็ง
“…..” เพลงพิชชา
หญิงสาวทั้งสามคนสวยสดราวดอกไม้แรกแย้ม แต่คนเดียวที่ทำให้ใจกระตุกและเหมือนคนเป็นพี่ชายราวกับแกะ ก็คือ คนกลาง
“ไม่น่าเชื่อ นี่คือลูกสาวพี่รัชจริง ๆ เหรอ” พึมพำกับตัวเอง พลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วเรือนร่างกายงามอย่างไม่วางตา
สุพรรณษามองผู้หญิงตรงหน้านิ่ง ๆ ออร่าเจิดจรัสมันเปล่งแสงออกมาให้เธอแสบตา จนต้องกระพริบตาปริบ ๆ ต้องรีบเรียกสติกลับคืน
“ป้าออคะ นี่เหรอคะ ที่ป้าออบอกว่า เป็นลูกสาวของพี่รัช…” ถามคนเป็นแม่บ้านเสียงแผ่วเบา แต่อรทัยก้ได้ยินอย่างชัดเจน
“ใช่ค่ะคุณพิช หนูชื่ออะไร บอกคุณพิชไปสิจ๊ะ” ป้าอรทัยบอกกับสุพรรณษา
“เอ่อ สวัสดีค่ะ หนูชื่อ สุพรรณษา ใจกลาง ชื่อเล่น สุ เป็นลูกสาวของ…เอ่อ.. ไพรัชและแม่สุนีย์ค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จสรรพโดยละเว้นคำว่าพ่อ เพลงพิชชาก็อึ้งไปอีกครั้ง
“ไหน ขอดูหลักฐานหน่อยได้ไหม ว่าเธอเป็นลูกพี่รัชจริง ๆ ไม่ได้แอบอ้าง เธอต้องเข้าใจนะ เพราะ เอกทองขาว เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีฐานะร่ำรวย มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก มันเป็นไปไม่ได้ ว่าจะมีคนแทรกเข้ามาท่ามกลางคนของฉัน” เพลงพิชชาพูด
สาวจากแดนที่ราบสูงเองก็เข้าใจ หญิงสาวจึงยื่นเอกสาร รวมทั้งใบมรณะของพ่อและแม่ไปให้คนเป็นอา เมื่อรับมาดู นักธุรกิจสาวสวยผู้มีอิทธิพลก็อึ้งไปอีกรอบ
เพราะทุกอย่างที่เห็น บ่งบอกว่า หญิงสาวมีชื่อว่าสุพรรณษาคนนี้เป็นหลานของเธอจริง ๆ แม้จะไม่เกี่ยวพันด้านสายเลือด ทว่า ตามกฎหมายนั้นเกี่ยวพันเต็ม ๆ
แน่ล่ะ เรื่องมรดก ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับเช่นกัน
“นี่ พี่รัชเสียแล้วงั้นเหรอ…”
“ใช่ค่ะ เขาเสียแล้ว…” ไม่เรียกว่าพ่อ และไม่บอกว่าเสียไปด้วยสาเหตุอะไร แต่ดูเหมือนคนเป็นอาจะรู้และเข้าใจได้ดี จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องผู้หญิงสินะ”
“ค่ะ” สั้น ๆ แต่ได้ใจความ
“งั้น …เอกสารพวกนี้ ก็แสดงว่า เธอคือหลานสาวของฉัน…” มองหน้าหลานนอกไส้นิ่ง ๆ
“ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกของกับแม่สุนีย์ ซึ่งก็คือ เป็นหลานของคุณอาเพลงพิชชา” เสียงเรียบเหมือนกัน แม้จะตื่นเต้นที่ได้พบคนเป็นอา ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยที่ได้รู้ว่าเธอนั้นมีญาติกับเขาอยู่บ้าง
แต่เห็นท่าทีแปลก ๆ ของคุณอาคนสวย สุพรรณษาก็ชักจะเคือง ๆ ในใจ จึงตอบเสียงเย็น ๆ ไปให้
“…..” เมื่อเจอคำตอบของหลานคนใหม่ นักธุรกิจสาว ผู้ฉลาดและรอบคอบจึงจัดการโทรไปหาทนายของตนอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล พี่พจน์ คืออย่างนี้นะคะ พิชต้องการให้พี่พจน์พาสุพรรณษาไปตรวจ DNA ค่ะ…” ไม่มีน้ำ เอาแต่เนื้อ ๆ จนหลานสาวคนใหม่ต้องมองหน้ากับเพื่อนอย่างอึ้ง ๆ เพราะดูแล้วคงเรื่องนี้คงงานหนักจริง ๆ
“ลูกสาวของคุณไพรัชเหรอครับ” ทนายเองยังอึ้ง ก็ใครจะไปคิดล่ะ ว่าจะได้พบจริง ๆ เพราะเรื่องนี้ เขาตามมาตั้งนาน ตั้งแต่คุณไพรัชหายออกจากบ้าน หลังจากผ่านไปครบหนึ่งปี ซึ่งคุณหญิงสง่า ผู้เป็นมารดาตามนิตินัย หรือ แม่บุญธรรมของไพรัช ได้เกิดล้มป่วยลง อันเนื่องมาจากตรอมใจคิดถึงลูกชายเพียงคนเดียว แม้จะเป็นเพียงลูกบุญธรรม ก็รักดุจลูกในไส้ มีอะไรทูนหัวทูนเกล้าให้
เมื่อลูกชายอันเป็นสุดที่รักมาตัดสายสัมพันธ์ คนเป็นแม่จึงทุกข์ใจอย่างที่สุด จนถึงขั้นล้มป่วย กินไม่ได้ ร่างกายซูบผอม
ท่านเหม หรือ รัฐมนตรีเหมันต์ในขณะนั้น สงสารภริยาคู่ชีวิตเป็นที่สุด จึงสั่งการไปที่บอดี้การ์ดของท่านให้ตามหาคุณไพรัช ทว่า กลับไม่พบแม้แต่เงา
เขาเองก็เป็นเด็กในบ้าน ที่ท่านเหมเมตตาอุปการะ จนกระทั่งเรียนจบกฎหมาย จึงตามหาด้วยคน ซึ่งเวลาก็ผ่านมาถึงยี่สิบปีแล้ว เพิ่งจะได้ข่าวในวันนี้ ใครบ้างจะไม่ช็อค !
“ใช่เลย พี่พจน์ช่วยพาสุพรรณษาเขาไปตรวจแทนพิชด้วยนะคะ พิชมีประชุมบ่าย เดี๋ยวไม่ทันค่ะ” แม้อยากจะไปด้วย แต่งานนี้ ทิ้งไม่ได้ เพราะเป็นโครงการระดับพันล้าน หากไม่ให้ความสำคัญ แล้วคู่ค้าจะเชื่อและไว้ใจได้ยังไง
“ได้ครับ ผมพาไปเอง” ทนายรูปหล่อก้มศีรษะเล็กน้อย แม้เขาจะเป็นเด็กในบ้าน แต่คุณเพลงพิชชากลับเรียกเขาว่าพี่ทุกคำ ทั้งที่ความจริงมันไม่จำเป็นเลย
คนที่เกิดมาพร้อมยศศักดิ์ และอำนาจบารมี ไม่จำเป็นสักนิดที่จะต้องมาเอ่ยขอร้องเขา เพราะแค่สั่งมา เขาก็พร้อมจะทำตามทุกข้ออยู่แล้ว
แต่เพราะคุณหนูเพลงพิชชา เธอมีน้ำใจอันดีงาม จึงแสดงออกทั้งกาย วาจา และใจ ทำให้คนอย่างเขา รักและเทิดทูนเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะ” วางสายไปแล้ว ก็หันหน้ามาหาหลานหมาด ๆ พลางพิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เธอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดี๋ยวพี่พจน์จะพาเธอไปตรวจ DNA ว่าเป็นลูกสาวของพี่รัชจริง ๆ แล้วตอนเย็น ฉันกลับมาจากบริษัทแล้วค่อยคุยกัน” เอ่ยจบก็หันหน้าไปหาป้าแม่บ้าน
“ป้าออคะ ป้าออให้เด็กไปจัดห้องให้ทีนะคะ แล้วให้สุพรรณษาและเพื่อนไปพักรอพี่พจน์ค่ะ”
“ได้ค่ะคุณพิช” พอแม่บ้านวัยดึกรับคำสั่งแล้ว ขาเรียวสวยก็ก้าวออกจากห้องรับแขก จากนั้นสั่งเด็กรับใช้ให้ขึ้นไปเอาของและกระเป๋าที่ห้องนอนมาให้ เมื่อมาถึงรถแล้วคนขับก็เปิดประตูรอ หญิงสาวจึงเข้าไปนั่งรออย่างใช้ความคิดไตร่ตรองเงียบ ๆ
หลังจากเจ้าของบ้านไปทำงานแล้ว สามสาวจึงได้อยู่ในห้องนอนที่หรูหรา เพราะข้างของเครื่องใช้มีแต่ราคาแพงเว่อร์ จนแทบไม่กล้านั่ง ไม่กล้าที่จะนอน กลัวว่าจะเป็นรอย แล้วอาจจะได้เสียตังค์
ซึ่งทั้งสามต่างก็กรอบเหลือเกิน หลังจากเสร็จจากงานของแม่สุนีย์ สามสาวจึงปรึกษาหารือกัน ตอนแรกสุพรรณษาไม่อยากมากรุงเทพฯสักเท่าไหร่ แต่เพราะหมูบ้านข้าง ๆ เกิดเหตุสลดขึ้น
คนร้ายได้ย้อนกลับมาฆ่าและข่มขืนหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับพวกเธอ แถมเจ้าหน้าที่ยังตามจับตัวคนร้ายไม่ได้อีกด้วย แล้วพวกเธอจะอยู่ทำไม ในเมื่อมันน่ากลัวขนาดนี้
เม็ดทรายและจอมขวัญจึงพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่อย่างขอคำปรึกษา และพ่อแม่ก็อนุญาติให้ทั้งสองไปกรุงเทพฯเป็นเพื่อนสุพรรณ เพื่อที่จะหลีกหนีคนชั่ว ถ้าตำรวจตามจับคนร้ายได้แล้วก็ค่อยกลับมา
“ไอ้สุ มึงจะเอาไง” ถามความคิดของเพื่อนรัก
“…กูจะไปตรวจก่อน เพราะมาคิด ๆ ดูแล้ว กูว่าเขาก็รวยมาก ถ้าเขาจ้างนักสืบไปสืบดู ว่าใครที่ฆ่าแม่กู กูว่ามันน่าจะดี” มั่นใจที่สุด แม้จะเพิ่งได้เจอกันก็ตาม
“เอางั้นเหรอ” เม็ดทรายถามย้ำ
“อื้อ เอาแบบนี้แหละ” เอาเป็นว่าชัดเจนแล้ว
“งั้นก็เอาอย่างที่มึงว่าล่ะกัน” วันนี้ทั้งวันที่ทนายพจน์ได้นำหลานสาวคนใหม่ของเพลงพิชชาไปตรวจ DNA ก่อนจะกลับมาตั้งหลักที่บ้าน เพื่อรอการกลับมาของคนเป็นอาสาว
ในห้องรับแขก สามสาวต่างก็รอคอยคนเป็นเจ้าของบ้านอย่างใจจดใจจ่อ ความจริงเวลาก็ไม่ได้ค่ำอะไรมากมายนัก เพราะแค่ทุ่มกว่า ๆ แค่นั้น แต่พวกเธอใจร้อน อยากรู้เรื่องราวไว ๆ จึงเริ่มอยู่ไม่สุข
“ไมนานมาจังเลยวะ” เม็ดทรายระงับความตื่นเต้นกดดันเอาไว้แทบไม่อยู่
“นั่นดิ กูรอจนมือมีแต่เหงื่อแล้วนี่ กูอยากพูดอยากบอก อยากรู้เรื่องไว ๆ ไม่อยากทรมานไปมากกว่านี้” หลานสาวหมาด ๆ พูดเสียงเคร่งเครียด
“กูก็ใจร้อนเหมือนมึง” จอมขวัญชะเง้อชะแง้คอยาว
“เฮ้อ!!” สามสาวถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“น้าพิชพูดอะไรนะครับ” เสียงผู้ชายดังมาจากทางหน้าบ้าน สามสาวต่างก็หูผึ่ง
“น้าบอกว่า จะมีคนมาอยู่ด้วย ทองจะต้องมาทำความรู้จักเขานะ” เสียงของเพลงพิชชา
“ไม่อ่ะ ผมไม่อยากรู้จัก” หลานชายไม่ยอม
“แต่เราจะต้องยอม ไม่อย่างนั้น น้าจะอายัดบัตรเครดิตของเราทุกใบ” น้าสาวยื่นคำขาด ทำให้คนเป็นหลานชะงัก ก่อนจะโอดครวญขึ้นมา
“โธ่น้าพิชครับ อย่าใจร้ายกับผมได้ไหมครับ ผมเป็นหลานของน้านะครับ” ง้องแง๊งใส่น้าสาว
“ก็หลานไง แต่จะมาทำกิริยาดูถูกคนอื่นมันไม่ได้ใช่ปะ ถ้าหากวันหนึ่ง ที่ทองตกอับ แล้วมีคนมาพูดแบบนี้ใส่หน้า ทองจะรู้สึกยังไง” เพลงพิชชาเตือนสติคนเป็นหลานในไส้ สามสาวที่ได้ยินต่างก็ใจฟูขึ้นมาหน่อย ที่เจ้าของบ้านไม่ Bully คนอื่น
“…..” หลานชายเงียบไป
“ว่าไง”
“ก็ได้ครับ รู้จักก็ได้” เสียงอ่อย ๆ
“ดี” ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก ก็พบว่า คนที่พูดถึงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะ” สามสาวยกมือไหว้
“อืม เอาล่ะ ทุกคนแนะนำตัวหน่อยสิ” เจ้าของบ้านพูดเสียงเรียบ
“หนูสุพรรณษา ใจกลาง หรือ สุค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ
“จอมขวัญ หรือขวัญค่ะ”
“เม็ดทรายค่ะ ชื่อเล่นทรายค่ะ” นอบน้อมได้น่ารักมาก
“อืม นี่ทองธนา หรือทอง หลานชายคนเดียวของฉัน ทองอายุได้สิบเก้าปี คงเท่ากับพวกเธอ” เพลงพิชชาพูด
“ใช่ค่ะ พวกเราอายุสิบเก้าแล้ว”
“ถ้างั้น เรามาคุยกันหน่อยดีไหม ถึงเรื่องราวทุกอย่าง ว่าทำไมหลายปีมานี้ฉันถึงไม่สามารถหาข่าวคราวของพี่รัชและพี่นีย์ได้เลย” เพลงพิชชาอยากรู้มาก จะได้หายข้องใจสักที
“เรื่องก่อนที่หนูจะโตหนูไม่รู้นะคะ แต่ที่หนูจะเล่า คือตอนที่พอจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว คือว่า…เขาชอบกินเหล้า และก็เป็นหนี้ร้านค้าบ่อย ๆ รวมทั้งติดผู้หญิง ทำให้ทะเลาะกับแม่บ่อย ๆ รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย แม่จึงหอบหนูหนี ย้ายที่อยู่มาเรื่อย ๆ แต่เขาก็ตามเจอทุกครั้ง จนกระทั่ง ครั้งล่าสุด เมื่อสองปีก่อน เขาได้เสียชีวิตลง จากการถูกยิง” สุพรรณหยุดเล่า เพื่อปรับระดับการหายใจ เพราะเรื่องราวอันต่อจากนี้ มันหนักหนาและย่ำแย่ที่สุด
“ส่วนแม่ เมื่ออาทิตย์ก่อน แม่ถูกนักโทษแหกคุกแทงและข่มขืน แม่ไม่อาจจะทนพิษบาดแผลต่อไปได้ จึงเสียชีวิต…หนูจึงมาหาคุณอาค่ะ ฮึก ฮือ” ถ้อยคำอันน่าสลดใจทำให้ทุกคนในห้องต่างก็นิ่งงัน เม็ดทรายและจอมขวัญน้ำตาซึม ทว่า สุพรรณษาได้ปล่อยโฮลั่นห้องรับแขก เนื่องจากความเสียใจที่ยังไม่มีวันจางหาย