2

1320 Words
“เลยแบ่งมาให้พี่ไม่สบายใจด้วย ว่างั้น?” ถามล้อๆ กีรนาเลยแกล้งมุ่ยหน้าใส่เธอ “พี่เหนือชอบพูดเล่นเรื่อยเลย แต่กีชอบนะที่พี่เหนือไม่โกรธกีแบบแม่...ขอบคุณมากนะคะพี่เหนือ” หญิงสาวอ่อนวัยกว่ามองเธอด้วยสายตารักและเทิดทูน ไม่ต่างจากที่มองมารดาของตน ซึ่งปภาณิณก็พยายามบอกตัวเองว่าเธอนั้นรักกีรนาดั่งน้องแท้ๆเช่นกัน จึงยิ้มตอบให้อีกฝ่ายไป เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเลยชวนให้ไปพักผ่อน “ดึกมากแล้วน้องกี ไปนอนเถอะไป” “โอเคค่ะ ตอนนี้กีสบายใจแล้ว กีจะได้นอนหลับสนิทเสียที” ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างที่ไม่ให้มีอะไรมาปิดบังซ่อนเร้น ปภาณิณจึงถือโอกาสถามอีกเรื่อง “กี” “คะพี่เหนือ” “ได้ข่าวพี่กวินบ้างไหม” กีรนาส่ายหน้าเป็นคำตอบ จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเข้าห้องไปเสียแล้วจึงเดินเท้าเบาๆไปดูบิดาในห้องด้านล่างที่จัดเอาไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะ ในนั้นประกอบด้วยเตียงผู้ป่วยพร้อมที่นอนลม ทั้งยังมีเครื่องดูดเสมหะและเตียงนอนของคนที่จ้างมาให้ดูแลท่านด้วย หญิงวัยสามสิบปลายๆนอนตะแคงหันหลังให้บนที่นอนข้างๆเตียงนายจรัส เมื่อเห็นว่าท่านกำลังหลับอยู่ จึงเดินเข้ามามองใกล้ๆก่อนก้มลงกอดเบาๆ ซบหน้าลงตรงอกที่เคยแข็งแกร่งที่ซึ่งบัดนี้เหลือแต่กระดูกเพราะกล้ามเนื้อฝ่อลีบลงไปโขทีเดียว “พ่อคะ เหนือจนปัญญาแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี” ว่าจบพร้อมกับน้ำตาที่อัดอั้นมานานไหลอาบลงจนซึมไปถึงเสื้อนอนของคนที่ยังคงนอนนิ่งเงียบบนเตียง ปภาณิณร้องไห้เงียบๆอยู่อีกครู่จึงผละออก ปาดน้ำตาทิ้ง ยืนมองท่านก่อนจากไปเงียบๆเหมือนตอนที่เข้ามา คล้อยหลังประตูที่ปิดลง หยาดน้ำซึมออกจากหางตาของชายที่เคยเป็นผู้นำครอบครัวแล้วทิ้งตัวลงกับหมอนหนุนเฉกเช่นเดียวกับบุตรสาวของตนพร้อมแรงกระเพื่อมที่ทรวงอกอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน เสียงพูดจาร้อนรนทั้งยังฟังดูวุ่นวายดังมาจากทางด้านหน้าของตัวบ้าน ปภาณิณที่เพิ่งนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงลืมตาตื่นขึ้น แล้วเปิดประตูเดินออกไปดู พบแสงสีแดงวูบวาบบนหลังคายานพาหนะขนาดใหญ่ที่จอดนิ่งรออยู่ จึงสาวเท้าเร็วๆออกไปดู พบบิดานอนอยู่บนเตียงรถเข็นที่มีเจ้าหน้าที่นำขึ้นรถพอดี หญิงสาวใจหายวาบ เรียกเสียงตื่นตระหนก “คุณพ่อ!” เธอจะตามขึ้นรถไปด้วย แต่ถูกมือใครบางคนรั้งเอาไว้ก่อน จึงหันไปมอง ค่อยพบว่าเป็นนางจันทร์เพ็ญนั่นเอง “คุณพ่อเป็นอะไรคะคุณน้า” “ชีพจรตก น้าเห็นหน้าแกซีดๆเมื่อเช้าเลยให้อมรลองวัดความดันให้” เล่าอย่างพยายามระงับอาการตื่นๆของตนเองเช่นกัน แล้วว่าต่อ “น้าจะตามไปดูเอง หนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วค่อยตามไปทีหลัง” “แต่...” เธออยากไปด้วยตอนนี้ “ไปเถอะลูก ไปทั้งอย่างนี้คงไม่เหมาะ ถึงโรง’บาลแล้วก็หมดห่วง หมอออกเก่งกันทั้งนั้น” หญิงสาวก้มมองตนเองในชุดนอน แล้วนิ่งไปอย่างที่คิดอะไรไม่ออก มองตามมารดาเลี้ยงที่ไปพร้อมรถที่ขับลับรั้วบ้านแล้ว ก่อนลำดับความคิดตนเองใหม่ ตั้งใจกลับไปยังห้องนอนเพื่อเตรียมตัวไปดูอาการของพ่อ “พี่เหนือ” เสียงเรียกตื่นๆของกีรนานั่นเอง เธอหันไปมอง ทางนั้นก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ถามเสียงสั่น “คุณพ่อเป็นอะไรคะ” “พี่ไม่รู้ เห็นคุณน้าบอกว่าเมื่อเช้าคุณพ่อความดันตก” บอกไปเท่าที่รู้พลางถามอีกฝ่าย “แล้วกีออกไปไหนมาแต่เช้า” “ไปตลาดค่ะ เพิ่งกลับมานี่เอง ได้ยินน้าหยาดพูดอยู่หน้าบ้านเลยวิ่งเข้ามาดู” “พี่จะไปดูพ่อ” “กีไปด้วยค่ะ” สองสาวแยกย้ายกันเข้าห้องของตนเอง ปภาณิณไม่มีแก่ใจนอนอีกต่อไป แม้ว่าเพิ่งได้หลับไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น บัดนี้ความง่วงปลิวหายไปแล้วเมื่อเห็นบิดาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ทั้งยังไม่รู้ว่าอาการของท่านเป็นไปอย่างไรแล้วบ้าง ไม่นานจากนั้น กีรนาติดรถไปโรงพยาบาลที่บิดารักษาตัวอยู่ด้วยกันกับเธอ พบนางจันทร์เพ็ญนั่งก้มหน้าเงียบๆที่เก้าอี้สำหรับญาติที่หน้าห้องของไอซียู “คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ” ถามขณะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างตัวที่ติดกับคู่สมรสของบิดา “หมอบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด” “แล้วต้องใช้เงินเยอะไหมคะคุณแม่” เป็นกีรนาที่ถามขึ้นแทบจะทันที ปภาณิณฉุนวูบหนึ่งเมื่อได้ยินคำถาม ชีวิตของบิดาทั้งคน ต่อให้ต้องใช้เงินเป็นร้อยๆพันๆล้านเธอก็จะหามาให้จงได้ จันทร์เพ็ญท่าจะมองออกเลยหันไปเอ็ดบุตรสาวของตน “ถามอะไรแบบนั้นยัยกี แกนี่” “ก็กีแค่อยากรู้นี่คะ” ปภาณิณระงับโทสะในอกบอกด้วยสีหน้าเย็นชา “ประกันคุณพ่อมีจ้ะน้องกี” “น้าลืมบอก ตัวแทนเขามาเยี่ยมเมื่อกี๊แล้วก็ว่าค่ารักษาของจรัสเกินวงเงินประกันแล้วล่ะลูก” ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไป เพราะก่อนหน้าบิดาของเธอเป็นประเภทที่ต่อต้านการทำประกันทุกรูปแบบ พอมีคนรู้จักแนะนำก็ทำไปอย่างแกนๆชนิดเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลแบบค่าเบี้ยไม่แพงมาก เหมือนทำไปเพื่อตัดรำคาญ ท่านคิดเสมอว่าตัวเองแข็งแรงและด้วยว่าตนเองไม่เคยเจ็บป่วยหนักๆมาก่อนจึงไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น แล้วพอเกิดทรุดท่านก็เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ไม่แปลกที่วงเงินที่ทำเอาไว้จะหมดลง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เงินเหนือพอมีในบัญชีอยู่บ้าง” บอกไปอย่างนั้น เพราะเธอมีอยู่จริงแต่จะพอค่ารักษาพยาบาลของบิดามากน้อยขนาดไหนคงต้องดูกันอีกทีหนึ่ง นางจันทร์เพ็ญอ้ำอึ้งอึดใจแล้วถึงตัดสินใจเอ่ยปากขึ้น “หนูเหนือ” “คะคุณน้า” “คือ น้าเอาบ้านไปจำนอง แล้วก็ขาดส่งมาจนครบกำหนดเขาแล้วด้วย” “คุณน้าเอาไปจำนองที่แบงค์ไหนหรือคะ” ปภาณิณได้ยินเสียงตนเองถามเบาหวิวออกไป ทั้งในใจยังภาวนาขอให้เป็นคนละที่กับที่ไปกู้มาใช้ในธุรกิจจนต้องบากหน้าไปขอร้องให้เขายืดเวลาใช้หนี้ออกไป “ไม่ใช่แบงก์หรอกลูก เป็นพวกนอนแบงก์น่ะ” เสียงตอบนั่น ทำเอาหญิงสาวใจวูบไหว ภาวนาในใจซ้ำๆ ด้วยว่าไม่อยากได้ยินคำตอบ “มาระยะหลังนี้ พ่อหนูเขาเครดิตไม่ค่อยดี” เธอรู้ว่าบิดาเคยนำบ้านเข้าธนาคารมาแล้วหลายครั้ง ก่อนล้มป่วยนี่ก็รีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้ กู้แหล่งการเงินที่หนึ่งเพื่อนำไปใช้หนี้ให้อีกที่ เป็นแบบนี้จนกลายเป็นดินพอกหางหมูในที่สุด แต่ตอนนี้สิ่งที่ปภาณิณขอร้องในใจเงียบๆ คือ ขออย่าให้เป็นเจ้าหนี้เดียวกับเขาคนนั้นก็พอ “น้าเอาไปจำนองกับ...” แต่แล้วพอนางจันทร์เพ็ญเอ่ยชื่อพวกนอนแบงค์ที่ว่านั่นออกมา หัวใจของเธอก็ล่วงลงสู่พื้นอีกครั้ง ความเครียดจู่โจมเธออีกคราและคราวนี้ทำท่าจะหนักกว่าเดิมเสียด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD