ปภาณิณขับรถกลับท่ามกลางความมืดยาวนานเกือบหกชั่วโมงติดกันจากสถานที่ที่พฤกษ์ใช้พำนักอยู่มายังบ้านของบิดาในย่านชานเมืองติดมหานครด้วยหัวใจห่อเหี่ยวแห้งแล้งสิ้นดี
ตอนนี้สมองของเธอแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว เพราะมีทั้งปัญหาที่บริษัทรับตกแต่งภายใน และบริษัททำเฟอร์นิเจอร์ นี่ยังไม่รวมปัญหาในบ้านอีกที่ตีกันจนไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงจุดไหนก่อน
ปภาณิณเป็นบุตรสาวคนเดียวของพ่อจรัสและแม่กมล หลังจากที่ท่านหย่าร้างกันไม่นาน แม่ของเธอหอบกระเป๋าหนีหายออกไปจากบ้าน ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ประถมสามแล้วเลยพอรู้อะไรอยู่บ้าง จำได้ติดตากับภาพที่แม่หอบกระเป๋าเสื้อผ้าของท่านเดินจากไป ส่วนพ่อนั้นแต่งงานใหม่ทันทีกับผู้หญิงที่ชื่อจันทร์เพ็ญ
จันทร์เพ็ญเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อสมัยเรียนวิทยาลัยมาด้วยกัน
พ่อของเธอเป็นถึงผู้จัดการสาขาโรงงานเฟอร์นิเจอร์มีชื่อแห่งหนึ่งแล้วตอนนั้น และท่านก็ลาออกมาตั้งบริษัทของตนเอง โดยมีจันทร์เพ็ญคอยดูแลบ้านและลูกๆ
ทั้งสองไม่มีลูกด้วยกันอีก เพราะอายุที่มากและไม่เห็นความจำเป็นในการผลิตทายาทออกมาเพิ่ม ซึ่งแต่เดิมจันทร์เพ็ญเองมีลูกติดสองคนเป็นชายคนหญิงคน
ลูกชายของหล่อนอายุมากกว่าปภาณิณหกปีชื่อกวิน
ส่วนลูกสาวอายุน้อยกว่าสามปีชื่อกีรนา
และปภาณิณว่าครอบครัวของเธอนั้น ไม่เหมือนในนิยายหรือละครทั่วไปที่สมาชิกในบ้านจะอิจฉาริษยาต่อกัน ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันดี มีความจริงใจต่อกัน จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ต้องยกความดีให้ท่านทั้งคู่ที่บ่มเพาะกล้าพันธุ์ของตนอย่างเคร่งครัดเอาใจใส่ และปภาณิณไม่เคยคิดว่าตนเองมีปมด้อยใดๆ ที่พ่อแม่ของเธอนั้นต้องหย่าร้างกัน เพราะมีจันทร์เพ็ญ พี่ชายอย่างกวิน และน้องสาวอย่างกีรนามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายจนสมบูรณ์พูนพร้อมครบถ้วนดีทุกอย่าง
จนเมื่อไม่กี่ปีนี่เองที่เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ตอนนั้นเธอเรียนจบมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และทำงานช่วยพ่อได้ไม่กี่ปี กีรนาเองก็เรียนระดับอุดมศึกษาปีสุดท้ายพอดี
พ่อของเธอล้มป่วยลงจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก คราวแรกท่านยังพอทรงตัวบนเตียงและพูดคุยได้บ้างแต่ไม่ชัด จู่ๆอาการกลับทรุดลงกลายเป็นว่าตอนนี้ท่านนอนนิ่งแต่บนเตียงทำได้เพียงกระพริบตาและส่งเสียงอืออาเท่านั้นเอง
จันทร์เพ็ญผู้ที่เคยเป็นแต่แม่บ้าน ดูแลลูกๆอย่างพวกเธอมาตลอด ต้องออกมาช่วยบริหารงานในบริษัท จากนั้นก็เริ่มขาดทุนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ที่บัญชีติดลบแดงเทือกอย่างต่อเนื่อง
คิดมาถึงตรงนี้ให้ปวดหัวจี้ดขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อบรรเทาความเครียด ไม่นานจากนั้นถึงได้จอดรถลงยังบริเวณบ้านในเวลาต่อมา
มองไปเบื้องหน้าเห็นไฟในบ้านดับหมดแล้วเพราะเป็นเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ทั้งเม็ดฝนยังโปรยปรายลงมาไม่ทิ้งระยะ นั่งเหม่อพร้อมใช้ความคิดครู่ใหญ่ แล้วถึงคว้ากระเป๋าที่เบาะด้านข้างเข้าบ้าน หญิงสาวตรงไปหยิบน้ำรินใส่แก้วก่อนยกขึ้นดื่ม
ไฟที่ปิดเอาไว้สว่างจ้าขึ้นพร้อมเสียงทักทาย
“ไปไหนมาคะพี่เหนือ กลับเอาป่านนี้”
ปภาณิณฝืนยิ้มไม่ตอบอะไรแล้วถามกลับ
“ไม่นอนอีกหรือเรา กี่โมงแล้วเนี่ย”
“จะตีสองแล้วค่ะ”
“วันนี้คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนทุกวัน” กีรนาว่าจบเม้มปากแน่น ทั้งดวงตาดูแดงเรื่อขึ้นเรื่อย จนเธอต้องออกปากถามด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรหรือเปล่าน้องกี”
หญิงสาวอ่อนวัยกว่านิ่งไป ก่อนที่ตาจะแดงขึ้นอีกแล้วสะอื้นฮึกฮักจนตัวโยนในที่สุด ปภาณิณวางแก้วในมือลงแล้วเดินเข้ามาโอบหลัง กอดเบาๆอย่างต้องการปลอบโยน เสียงเรียกชื่อของเธอดังเครือฟังไม่ชัดนัก
“พี่เหนือคะ”
“เป็นอะไรน้องกี ไหนบอกพี่สิ”
“กี กีขอโทษค่ะ”
“เรื่องอะไรกัน หยุดร้องก่อนแล้วเล่ามา”
กีรนาสะอึกสะอื้นดังขึ้น ก่อนยกมือป้ายน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายไม่ขาด แล้วรวบรวมสติได้ในที่สุด บอกสลับเสียงฮึกๆฮักๆไปพลาง
“กี...กี...กีโกงเงินบริษัทค่ะพี่เหนือ”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ปภาณิณถอนใจเฮือกทีเดียว เมื่อเจ้าตัวออกปากยอมรับแล้ว เรื่องนี้เธอรู้มานานตั้งแต่กีรนาเรียนจบมาใหม่ก็ออกมาช่วยงานที่แผนกบัญชีตามสาขาที่ตนเองเล่าเรียนมาแล้วก็เริ่มยักยอกเงินเข้าบัญชีของตนเอง เธอรู้เพราะตรวจสอบทุกแผนกด้วยตนเองอยู่เสมอแต่เพราะเห็นว่าเป็นกีรนา จึงได้แต่รอเวลาให้คนอ่อนวัยกว่าสารภาพออกมาเอง มั่นใจว่าเจ้าตัวน่าจะมีเหตุผลที่พอฟังขึ้นมาสารภาพ กีรนาร้องไห้อีกยกใหญ่แล้วบอกเสียงติดสะอึกสะอื้นว่า
“กีเอาไปเล่นหุ้นค่ะ แล้วมันก็...ก็” พูดมาขนาดนี้ใครฟังก็คงเดาออก แต่ปภาณิณไม่คิดจะสานต่อให้กีรนาต้องเจ็บช้ำจนเกินไป
แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆสารภาพออกมาเรื่อย “กีเคยได้ แล้วกีก็คิดว่ามันจะได้อย่างที่เคย แต่มัน...มันก็”
ไม่ต้องเดาหรอก ร้องไห้แบบนี้ไม่มีทางเอาชนะตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน ปภาณิณตัดบทในทันที “เอาเถอะกี พี่เข้าใจแล้วล่ะ”
คนตั้งใจมาสารภาพบาปชะงักเสียงสะอื้น ถามพร้อมรอลุ้นคำตอบ
“พี่เหนือไม่โกรธกีใช่ไหมคะ”
ปภาณิณไม่ใช่นางฟ้าจิตใจงดงามเท่าใดนักเธอรู้ตัวเองดี และแน่นอนว่าเธอโกรธมากตอนที่รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่มีวุฒิภาวะมากกว่าและอะไรหลายๆอย่างค้ำคอเธออยู่ เธอจะลงไปนอนดิ้นพราดๆ หรือตรงไปจิกผมของกีรนากระชากตบไม่ได้ แม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม จึงได้แต่ข่มอารมณ์ดำมืดนั่นเอาไว้บอกเสียงสงบ
“พี่จะโกรธทำไมกัน”
เพราะตอนนี้เธอไร้อารมณ์โกรธแบบนั้นแล้ว แต่ถ้าเป็นเมื่อตอนที่รู้เรื่องใหม่ๆก็ไม่แน่
“ก็กีบอกแม่แล้ว แม่โกรธกีแทบตาย ตีกีหยิกกีด้วย หยิกจนแขนเขียวหมดเลยค่ะ” น้องสาวต่างบุพการีอวดแขนที่ถูกทำร้ายให้ดู
“แม่บอกอีกว่าอย่าให้พี่เหนือรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
สมควรแล้วล่ะ แค่นั้นยังน้อยไป ปภาณิณมองแขนที่อีกฝ่ายส่งให้ดู แล้วเตือนสติตัวเองว่าให้หยุดความคิดหยาบช้ากับน้องอย่างกีรนาเสียที
“ทำไมถึงเล่าให้พี่ฟังไม่ได้ล่ะ”
ถามพร้อมกับอยากรู้ใจของนางจันทร์เพ็ญไปด้วยว่าเหตุใดจึงไม่อยากให้เธอรู้เรื่องนี้ ในเมื่อเธอก็เป็นสมาชิกในบ้าน และเป็นเสาหลักสำคัญคนหนึ่งอีกด้วย
“ไม่รู้สิคะ แต่กีไม่อยากเก็บเรื่องนี้เอาไว้อีกแล้ว กีอึดอัด กีไม่สบายใจค่ะ”
“เลยแบ่งมาให้พี่ไม่สบายใจด้วย ว่างั้น?” ถามล้อๆ