1

1279 Words
ปภาณิณขับรถกลับท่ามกลางความมืดยาวนานเกือบหกชั่วโมงติดกันจากสถานที่ที่พฤกษ์ใช้พำนักอยู่มายังบ้านของบิดาในย่านชานเมืองติดมหานครด้วยหัวใจห่อเหี่ยวแห้งแล้งสิ้นดี ตอนนี้สมองของเธอแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว เพราะมีทั้งปัญหาที่บริษัทรับตกแต่งภายใน และบริษัททำเฟอร์นิเจอร์ นี่ยังไม่รวมปัญหาในบ้านอีกที่ตีกันจนไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงจุดไหนก่อน ปภาณิณเป็นบุตรสาวคนเดียวของพ่อจรัสและแม่กมล หลังจากที่ท่านหย่าร้างกันไม่นาน แม่ของเธอหอบกระเป๋าหนีหายออกไปจากบ้าน ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ประถมสามแล้วเลยพอรู้อะไรอยู่บ้าง จำได้ติดตากับภาพที่แม่หอบกระเป๋าเสื้อผ้าของท่านเดินจากไป ส่วนพ่อนั้นแต่งงานใหม่ทันทีกับผู้หญิงที่ชื่อจันทร์เพ็ญ จันทร์เพ็ญเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อสมัยเรียนวิทยาลัยมาด้วยกัน พ่อของเธอเป็นถึงผู้จัดการสาขาโรงงานเฟอร์นิเจอร์มีชื่อแห่งหนึ่งแล้วตอนนั้น และท่านก็ลาออกมาตั้งบริษัทของตนเอง โดยมีจันทร์เพ็ญคอยดูแลบ้านและลูกๆ ทั้งสองไม่มีลูกด้วยกันอีก เพราะอายุที่มากและไม่เห็นความจำเป็นในการผลิตทายาทออกมาเพิ่ม ซึ่งแต่เดิมจันทร์เพ็ญเองมีลูกติดสองคนเป็นชายคนหญิงคน ลูกชายของหล่อนอายุมากกว่าปภาณิณหกปีชื่อกวิน ส่วนลูกสาวอายุน้อยกว่าสามปีชื่อกีรนา และปภาณิณว่าครอบครัวของเธอนั้น ไม่เหมือนในนิยายหรือละครทั่วไปที่สมาชิกในบ้านจะอิจฉาริษยาต่อกัน ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันดี มีความจริงใจต่อกัน จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ต้องยกความดีให้ท่านทั้งคู่ที่บ่มเพาะกล้าพันธุ์ของตนอย่างเคร่งครัดเอาใจใส่ และปภาณิณไม่เคยคิดว่าตนเองมีปมด้อยใดๆ ที่พ่อแม่ของเธอนั้นต้องหย่าร้างกัน เพราะมีจันทร์เพ็ญ พี่ชายอย่างกวิน และน้องสาวอย่างกีรนามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายจนสมบูรณ์พูนพร้อมครบถ้วนดีทุกอย่าง จนเมื่อไม่กี่ปีนี่เองที่เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ตอนนั้นเธอเรียนจบมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และทำงานช่วยพ่อได้ไม่กี่ปี กีรนาเองก็เรียนระดับอุดมศึกษาปีสุดท้ายพอดี พ่อของเธอล้มป่วยลงจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก คราวแรกท่านยังพอทรงตัวบนเตียงและพูดคุยได้บ้างแต่ไม่ชัด จู่ๆอาการกลับทรุดลงกลายเป็นว่าตอนนี้ท่านนอนนิ่งแต่บนเตียงทำได้เพียงกระพริบตาและส่งเสียงอืออาเท่านั้นเอง จันทร์เพ็ญผู้ที่เคยเป็นแต่แม่บ้าน ดูแลลูกๆอย่างพวกเธอมาตลอด ต้องออกมาช่วยบริหารงานในบริษัท จากนั้นก็เริ่มขาดทุนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ที่บัญชีติดลบแดงเทือกอย่างต่อเนื่อง คิดมาถึงตรงนี้ให้ปวดหัวจี้ดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อบรรเทาความเครียด ไม่นานจากนั้นถึงได้จอดรถลงยังบริเวณบ้านในเวลาต่อมา มองไปเบื้องหน้าเห็นไฟในบ้านดับหมดแล้วเพราะเป็นเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ทั้งเม็ดฝนยังโปรยปรายลงมาไม่ทิ้งระยะ นั่งเหม่อพร้อมใช้ความคิดครู่ใหญ่ แล้วถึงคว้ากระเป๋าที่เบาะด้านข้างเข้าบ้าน หญิงสาวตรงไปหยิบน้ำรินใส่แก้วก่อนยกขึ้นดื่ม ไฟที่ปิดเอาไว้สว่างจ้าขึ้นพร้อมเสียงทักทาย “ไปไหนมาคะพี่เหนือ กลับเอาป่านนี้” ปภาณิณฝืนยิ้มไม่ตอบอะไรแล้วถามกลับ “ไม่นอนอีกหรือเรา กี่โมงแล้วเนี่ย” “จะตีสองแล้วค่ะ” “วันนี้คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง” “ก็เหมือนทุกวัน” กีรนาว่าจบเม้มปากแน่น ทั้งดวงตาดูแดงเรื่อขึ้นเรื่อย จนเธอต้องออกปากถามด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือเปล่าน้องกี” หญิงสาวอ่อนวัยกว่านิ่งไป ก่อนที่ตาจะแดงขึ้นอีกแล้วสะอื้นฮึกฮักจนตัวโยนในที่สุด ปภาณิณวางแก้วในมือลงแล้วเดินเข้ามาโอบหลัง กอดเบาๆอย่างต้องการปลอบโยน เสียงเรียกชื่อของเธอดังเครือฟังไม่ชัดนัก “พี่เหนือคะ” “เป็นอะไรน้องกี ไหนบอกพี่สิ” “กี กีขอโทษค่ะ” “เรื่องอะไรกัน หยุดร้องก่อนแล้วเล่ามา” กีรนาสะอึกสะอื้นดังขึ้น ก่อนยกมือป้ายน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายไม่ขาด แล้วรวบรวมสติได้ในที่สุด บอกสลับเสียงฮึกๆฮักๆไปพลาง “กี...กี...กีโกงเงินบริษัทค่ะพี่เหนือ” ได้ยินแบบนั้นแล้ว ปภาณิณถอนใจเฮือกทีเดียว เมื่อเจ้าตัวออกปากยอมรับแล้ว เรื่องนี้เธอรู้มานานตั้งแต่กีรนาเรียนจบมาใหม่ก็ออกมาช่วยงานที่แผนกบัญชีตามสาขาที่ตนเองเล่าเรียนมาแล้วก็เริ่มยักยอกเงินเข้าบัญชีของตนเอง เธอรู้เพราะตรวจสอบทุกแผนกด้วยตนเองอยู่เสมอแต่เพราะเห็นว่าเป็นกีรนา จึงได้แต่รอเวลาให้คนอ่อนวัยกว่าสารภาพออกมาเอง มั่นใจว่าเจ้าตัวน่าจะมีเหตุผลที่พอฟังขึ้นมาสารภาพ กีรนาร้องไห้อีกยกใหญ่แล้วบอกเสียงติดสะอึกสะอื้นว่า “กีเอาไปเล่นหุ้นค่ะ แล้วมันก็...ก็” พูดมาขนาดนี้ใครฟังก็คงเดาออก แต่ปภาณิณไม่คิดจะสานต่อให้กีรนาต้องเจ็บช้ำจนเกินไป แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆสารภาพออกมาเรื่อย “กีเคยได้ แล้วกีก็คิดว่ามันจะได้อย่างที่เคย แต่มัน...มันก็” ไม่ต้องเดาหรอก ร้องไห้แบบนี้ไม่มีทางเอาชนะตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน ปภาณิณตัดบทในทันที “เอาเถอะกี พี่เข้าใจแล้วล่ะ” คนตั้งใจมาสารภาพบาปชะงักเสียงสะอื้น ถามพร้อมรอลุ้นคำตอบ “พี่เหนือไม่โกรธกีใช่ไหมคะ” ปภาณิณไม่ใช่นางฟ้าจิตใจงดงามเท่าใดนักเธอรู้ตัวเองดี และแน่นอนว่าเธอโกรธมากตอนที่รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่มีวุฒิภาวะมากกว่าและอะไรหลายๆอย่างค้ำคอเธออยู่ เธอจะลงไปนอนดิ้นพราดๆ หรือตรงไปจิกผมของกีรนากระชากตบไม่ได้ แม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม จึงได้แต่ข่มอารมณ์ดำมืดนั่นเอาไว้บอกเสียงสงบ “พี่จะโกรธทำไมกัน” เพราะตอนนี้เธอไร้อารมณ์โกรธแบบนั้นแล้ว แต่ถ้าเป็นเมื่อตอนที่รู้เรื่องใหม่ๆก็ไม่แน่ “ก็กีบอกแม่แล้ว แม่โกรธกีแทบตาย ตีกีหยิกกีด้วย หยิกจนแขนเขียวหมดเลยค่ะ” น้องสาวต่างบุพการีอวดแขนที่ถูกทำร้ายให้ดู “แม่บอกอีกว่าอย่าให้พี่เหนือรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” สมควรแล้วล่ะ แค่นั้นยังน้อยไป ปภาณิณมองแขนที่อีกฝ่ายส่งให้ดู แล้วเตือนสติตัวเองว่าให้หยุดความคิดหยาบช้ากับน้องอย่างกีรนาเสียที “ทำไมถึงเล่าให้พี่ฟังไม่ได้ล่ะ” ถามพร้อมกับอยากรู้ใจของนางจันทร์เพ็ญไปด้วยว่าเหตุใดจึงไม่อยากให้เธอรู้เรื่องนี้ ในเมื่อเธอก็เป็นสมาชิกในบ้าน และเป็นเสาหลักสำคัญคนหนึ่งอีกด้วย “ไม่รู้สิคะ แต่กีไม่อยากเก็บเรื่องนี้เอาไว้อีกแล้ว กีอึดอัด กีไม่สบายใจค่ะ” “เลยแบ่งมาให้พี่ไม่สบายใจด้วย ว่างั้น?” ถามล้อๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD