“ผลประกอบการของ Chill Cash Company โตมาร่วมปีที่ห้านี้แล้วค่ะ และมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง”
“คงเพราะได้คนเก่งอย่างหนูอัยย์มาบริหาร” กรรมการบริษัทดูมีอายุคนหนึ่งเอ่ยปากชม หญิงสาวผู้ถูกเอ่ยถึงจึงรีบออกตัวทันที
“ไม่ใช่เพราะอัยย์หรอกค่ะ ขอยกเครดิตทั้งหมดให้คุณพฤกษ์นะคะที่เห็นว่าอัยย์พอจะบริหารงานนี้ได้”
เสียงสนทนาหลังจบการประชุมดังคลอเสียงหัวเราะแห่งความปีติสุขอยู่ร่วมชั่วโมง ก่อนที่อัญญาและพฤกษ์จะควงแขนกันออกมาแล้วตรงสู่ห้องทำงานส่วนตัวที่หัวมุมบนตึกสูงระฟ้า สาขาใหญ่ใจกลางมหานครนั่นเอง
“สมกันจังเลยเนอะ” เสียงกระซิบของคนที่แอบมองชายหล่อหญิงงามว่าขึ้น
“อิจฉาคุณอัยย์ ไม่รู้ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้สวย รวย เก่ง แถมยังคว้าหัวใจชายในฝันของฉันไปครองอีกแน่ะ”
“แกต้องทำบุญแบบคุณอัยย์กี่เท่าถึงจะได้แบบนั้น ห๊ะนังต๋อย”
หญิงสาวผู้ถูกแขวะชี้หน้าแล้วว่า“ทำงานไป แล้วแชร์เดือนนี้ห้ามเบี้ยวอีกล่ะ”
เสียงสนทนาของพนักงานสาวในเครือ Chill Cash Company เงียบลงไปแล้วก่อนวกไปเรื่องเงินๆทองๆของตนเอง และทันทีที่ประตูห้องทำงานปิดลง อัญญาก็เดินเข้าไปสวมกอดร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่จับจูงมือกันออกมายังห้องทำงานพร้อมซุกซบงึมงำกับอกแข็งแกร่ง
“ขอบคุณนะคะพี่พฤกษ์ที่ช่วยอัยย์ทุกเรื่องเลยน่ะ”
แล้วสูดลมหายใจแหงนหน้าฝืนยิ้มบอกเสียงใสราวแก้วเนื้อดี
“รักพี่พฤกษ์ที่สุดเลยค่ะ”
“ไหนล่ะรางวัล” พฤกษ์ถามพร้อมเอียงแก้มให้ ก่อนพองผนังปากด้านในจนป่องอย่างรอคอย อัญญายกมือขึ้นผลักอกเขาออกเบาๆใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้บ่น ทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่พฤกษ์
“ทำตัวเจ้าชู้อีกแล้วนะคะ”
“อ้าว ไม่ให้เจ้าชู้กับคู่หมั้น จะให้ไปทำกับใครล่ะครับ” ว่าหยอกเย้า พอนึกได้เลยถามขึ้นอีกเรื่อง
“แล้วฤกษ์แต่งงานนี่เราจะเอายังไงแน่น้องอัยย์”
ได้ยินเขาเอ่ยปากเรื่องแต่งงาน อัญญาหน้าเรียบถามขรึมๆ
“พี่พฤกษ์ว่ายังไงดีคะ”
“สิ้นปีนี้เลยไหม” พฤกษ์ถามยิ้มๆ เรียกสายตาค้อนขวับจากหญิงสาวได้ในทันที อัญญานิ่งไปอย่างคิดหาคำมาตอบไม่ถูก
พอดีกับที่มีเสียงร้องเรียกที่ด้านนอกของห้องก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกด้วยแรงกระชากพร้อมหญิงสาวคนมาใหม่ที่ยืนหอบหายใจหนักๆ ด้วยว่าเธอรีบร้อนมาที่ห้องนี้ โดยแอบหลบพนักงานสองสาวที่ลุกออกไปไหนกันไม่รู้เข้ามาจนสำเร็จ ครั้งที่รอคราวก่อนเธอมองสำรวจไว้หมดแล้ว ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาพบพฤกษ์พรวดพราดแบบนี้ด้วยซ้ำ
อัญญามองหญิงสาวคนนั้นก่อนหันมาสบตากับพฤกษ์ถามด้วยสีหน้างุนงง
“ใครหรือคะพี่พฤกษ์”
“ดิฉันแจ้งเธอแล้วนะคะว่าให้รอที่ด้านนอกก่อน ไม่คิดว่าคุณคนนี้จะเสียมารยาทบุกเข้ามา”
เสียงพนักงานหญิงสาวที่เฝ้าอยู่บอกด้วยใบหน้าซีดเผือดเพราะเมื่อครู่ลุกออกไปรับสายสนทนาจากทางบ้านที่ในห้องน้ำ ส่วนอีกคนไปรับเอกสารที่ฝ่ายบุคคล เท่ากับว่าพวกเธอบกพร่องในหน้าที่ แล้วเมื่อเห็นว่าพฤกษ์มีแววตาก้าวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ยิ่งให้เสียวสันหลังวาบในบัดดล
ผู้หญิงคนนี้ก็ช่างกระไร เมื่อพอจำได้พอเลาๆว่าคราวก่อนมานั่งรอเจ้านายของเธออยู่ครึ่งค่อนวัน ขนาดคุณพฤกษ์ปฏิเสธไม่ให้พบยังจะดื้ออยู่รออยู่อีก
“ให้คนมาเอาตัวออกไป แล้วแจ้งความข้อหาบุกรุก”
พฤกษ์สั่งพนักงานของตนด้วยน้ำเสียงเข้มงวด หญิงสาวคนที่ถูกพฤกษ์เอาจริงได้แต่ยืนนิ่งจ้องหน้าเขา เจ้าหล่อนเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดเผือดก่อนว่าขึ้น
“ขอเวลาให้ดิฉันได้คุยกับคุณสักห้านาทีได้ไหมคะ”
หลังออกปากขอ ปภาณิณถูกพามานั่งรอที่ห้องประชุมเล็กภายในชั้นนั้น ที่ในนี้มีเก้าอี้เพียงหกตัวกับโต๊ะประชุมใหญ่วางที่กลางห้อง ทั้งยังมีน้ำตกจำลองเล็กๆอีก เบื้องหน้าของห้องเป็นกระจกสีชาที่มีตึกสูงต่ำลดหลั่นกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไรนักเป็นเสมือนวิวของตึกนี้ ยังสำรวจไม่ทันถ้วนทั่วดี ประตูห้องถูกกระชากเปิดออก พร้อมเสียงเดินหนักแน่นมั่นคง พฤกษ์ยืนที่อีกฝั่งโต๊ะกอดอกมองมาแล้วถามเสียงดุดัน
“คุยธุระของคุณมา”
“เหนือ” เธอแทนชื่อตัวเองแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ รีบเปลี่ยนคำแทนตัวเองใหม่ “ดิฉันเพิ่งรู้” บอกด้วยเสียงอันสั่นเทา “ว่านอกจากบริษัทแล้ว บ้านก็ยังเอาไปแลกกับเงินของคุณด้วย”
พฤกษ์ไม่พูดอะไร เธอจึงเอ่ยถามในสิ่งที่คั่งค้างคาใจ
“ทำไมถึงปล่อยให้กู้ล่ะคะ ในเมื่อพ่อของดิฉันเครดิตไม่ได้”
“เราไม่ได้สนใจเครดิตของลูกค้า ดอกเบี้ยต่างหากที่เราสน”
“ฉันแค่ข้องใจว่าทำไมถึงปล่อยกู้ให้ท่านง่ายๆ หรือที่แท้คุณยังฝังใจกับเรื่องเมื่อสิบปีก่อน” หญิงสาวคาดเดาด้วยสีหน้าไม่สบายใจเท่าไรนัก
“ผมเป็นคนไม่มีอดีต” พฤกษ์ว่าเสียงเยาะ “ยิ่งอดีตไม่ดียิ่งไม่มีอะไรให้ฝังลงไปในใจ”
บอกมาแบบนั้นแล้วก็ให้เงียบไปทั้งห้อง เป็นพฤกษ์ที่เอ่ยขึ้นมาอีกประโยค
“อันที่จริงผมก็ออกจะข้องใจกับพฤติกรรมของคุณอยู่เหมือนกันนะ”
ปภาณิณมองนิ่ง เมื่อเขาเอ่ยขึ้นแบบนั้น และพฤกษ์ไม่รอเธอถามออกมาให้มากความ เขาว่าต่อในทันที
“ว่าที่แท้แล้วใครที่ฝังใจกับเรื่องเมื่อสิบปีก่อนกันแน่”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ก็โพล่งขึ้นในทันที “ฉันไม่ได้...”
เขาโบกมือปัดคงเพราะคร้านจะฟังคำตอบของเธอแล้วตัดบทอย่างที่รู้ว่าตนเองเป็นต่อ
“อยากให้ช่วยใช่ไหม หวังว่าคุณคงจำข้อเสนอที่ผมบอกเอาไว้ได้นะ”
“ไม่มีทาง” ปภาณิณตอบเสียงขุ่นพร้อมแววตาที่กระด้างขึ้น
“ก็แล้วแต่นะ ผมไม่ได้บังคับคุณนี่ เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องเป็นความสมัครใจมากกว่าจะต้องมานั่งบังคับข่มขู่กัน” เขาบอกพร้อมยักไหล่อย่างไม่แคร์
“ฉันไม่อับจนหนทาง ทำเรื่องสกปรกแบบนั้นแน่”