ห้าปีผ่านไป
เสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา
“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว
“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน
“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร
“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เป็นไรหรอก ตอนเจ้างอนช่างน่ารักจริง ๆ ฟางหรง ได้ยินข้าไหม”
ทางด้านหนึ่ง ซิ่วอิงและหนิงเหอเห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกรอกตา เอียนกับการหยอกล้อของพวกเขาจริง ๆ ยิ่งสองปีให้หลังนี้ ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน
“ท่านพี่ ไปที่ลานพิธีเถอะ” หนิงเหอคล้องแขนซิ่วอิงแล้วเดินไปข้างในหมู่บ้าน
“เฮ้อ!” ซิ่วอิงได้แต่ถอนหายใจ เดินตามน้องสาวไปแต่โดยดี ครั้นจะห้ามไม่ให้เสิ่นชิวกับฟางหรงแสดงอาการออกนอกหน้ามากไปก็คงไม่เป็นผล ทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดแล้วว่าทั้งสองสนิทสนมกันมากเพียงใด
ช่วงสายของวัน หมู่บ้านแห่งนี้ได้จัดพิธีอัญเชิญจิตวิญญาณ สำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่อายุครบสิบห้า ลู่ฟางหรงและหนิงเหอเข้าร่วมพิธีด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะลู่ฟางหรง ผู้เป็นบุตรสาวของผู้นำหมู่บ้าน นางจะได้รับการสืบทอดจิตวิญญาณอันสูงส่งให้สมเกียรติ
แต่เดิมทีที่เสิ่นชิวเข้ามา เขารู้สึกได้ว่าผู้คนที่นี่ดูแตกต่างจากคนทั่วไปที่เขาเคยพบเจอ วิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกลับ คล้ายกับมีบางอย่างซ่อนอยู่ จนกระทั่งเขาได้เห็นพิธีอัญเชิญจิตวิญญาณ
วันนั้นลู่ฟางหรงยืนข้างเขาแล้วบอกให้เขาตั้งใจดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นางอยากให้เขาตื่นตะลึงจึงไม่ได้เล่าเรื่องราวใด ๆ ให้เขาฟังล่วงหน้า แล้วก็เป็นดังเช่นที่นางคาดไว้ เสิ่นชิวอ้างปากค้าง ดวงตาจ้องไปที่ใจกลางลานพิธีอย่างใจจดใจจ่อ
เสิ่นชิวมองเห็นร่างโปร่งแสงของสัตว์ตัวหนึ่งกำลังลอยลงมาจากท้องฟ้า มันวิ่งช้า ๆ ไปที่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางลานพิธี พอจ้องมองดี ๆ แล้ว จึงได้รู้ว่าสัตว์เรืองแสงสีครามคือกวางตัวหนึ่ง ลู่ฟางหรงจึงได้บอกความลับหมู่บ้านให้เขาฟังในเวลานั้น
นางและคนในหมู่บ้านคือเผ่าพันธุ์กวางนำทาง ร่างโปร่งแสงของกวางเรืองแสงสีครามที่เขาเห็นคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณทุกคนในหมู่บ้าน เมื่ออายุครบสิบห้า พวกเขาจะจัดพิธีรวมวิญญาณให้เป็นอันหนึ่งเดียวกัน หากแต่นางไม่บอกว่าจิตวิญญาณเผ่าพันธุ์นางนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดเพราะถือเป็นความลับที่แม้แต่คนรักนอกเผ่าพันธุ์นางก็บอกไม่ได้
ในวันนี้ ลู่ฟางหรงได้เข้าร่วมพิธีครั้งใหญ่ เสิ่นชิวมองตามนางตาไม่กระพริบ จนเห็นกวางตัวหนึ่งปรากฏร่างขึ้น จิตวิญญาณกวางของนางแตกต่างจากคนอื่น ๆ กวางทองเดินเข้าหานางอย่างช้า ๆ ก่อนที่แสงสีทองจะหายวับไป ดวงตาของฟางหรงกลายเป็นสีทองแวบหนึ่ง หน้าผากของนางมีแต้มสีทองประดับอยู่ตรงกลาง
หลังจากเสร็จพิธี เสิ่นชิวเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับลู่ฟางหรงและหนิงเหอ จากนี้ทั้งคู่มีหน้าที่สำคัญของเผ่าพันธุ์ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะฟางหรง
“ทีนี้ข้าก็มีคนช่วยงานเพิ่มขึ้นแล้วสิ ฟางหรง หนิงเหอ” ซิ่วอิงกอดคอทั้งสองคนอย่างหมั่นไส้ ตอนที่นางเข้าพิธีเมื่อสองปีก่อน งานของนางก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังต้องคอยดูแลลู่ฟางหรงกับหนิงเหอไม่ให้เล่นซนจนเกินไป นางแทบไม่ได้หยุดพักเลยตั้งแต่นั้น
“เอ๋ ให้หนิงเหอคอยช่วยเจ้าก็แล้วกันนะ วันนี้ข้าขอตัวก่อน” ลู่ฟางหรงพูดจบก็ยกแขนข้างขวาของซิ่วอิงขึ้นแล้วรีบคว้ามือของเสิ่นชิว พากันวิ่งไปนอกหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
“ฟางหรง!” หนิงเหอพยายามเรียกลูกพี่ลูกน้องของนาง
“หยุดเลยหนิงเหอ ข้าไม่ยอมปล่อยเจ้าไปไหนหรอก วันนี้เจ้าต้องอยู่ช่วยงานข้า” ซิ่วอิงดึงผมเปียข้างหนึ่งของหนิงเหอ นางได้แต่ยิ้มแห้งให้พี่สาว
ไม่กี่วันต่อมา ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในลานบ้าน ผู้ดูแลหมู่บ้านรีบเดินมาหาพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาสั่นกลัว เสิ่นชิวแปลกใจไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้
“ท่านผู้นำ ข้าได้ข่าวจากหมู่บ้านตอนใต้ เผ่าของเรามีคนหายไปทีละคน ไม่รู้ชะตากรรมขอรับ”
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าไปสืบให้รู้ความ ข้าจะรีบแจ้งเตือนคนในหมู่บ้านให้ระวังตัว” บิดาของลู่ฟางหรงมองหน้าบุตรสาว
นับตั้งแต่วันนั้นมา คนในหมู่บ้านก็ไม่ออกไปที่ใดอีก ผู้ดูแลหมู่บ้านที่ถูกส่งออกไปหาข่าวคราว ทยอยกลับมารายงานอยู่เรื่อย ๆ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมากกว่าเดิม พยายามหาทางที่จะปกป้องคนในหมู่บ้านตนเอง และช่วยเหลือเผ่าพันธุ์เดียวกันในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่แยกตัวออกไป
แม่เฒ่าคล้ายได้รับนิมิต นางเห็นลางร้ายคืบคลานเข้ามาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ ภาพของเสิ่นชิวโชกเลือดท่ามกลางศพอื่น ๆ ในหมู่บ้านปรากฏขึ้น นางรีบมาเตือนผู้นำให้เสริมกำลังป้องกันหมู่บ้าน แต่ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิวจึงยืนโดดเดี่ยวเนื้อตัวเปื้อนเลือด
ในที่สุด ผู้นำก็เรียกทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน เพื่อแจ้งข่าวสำคัญที่สุดในชีวิต
“พวกเจ้าคงพอจะรู้มาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องที่อยู่นอกหมู่บ้านของเรา เจ้ามนุษย์ที่ชั่วร้ายกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ รู้ความลับของจิตวิญญาณเราแล้ว พวกมันกำลังมาล่าเอาชีวิตพวกเรา ข้าพยายามจะช่วยเหลือพวกพ้องของเราให้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ซ่อนตัวจากนักล่าทั้งหลายได้ พวกเจ้าแต่ละคนแยกย้ายทำหน้าที่ของตนเองเถิด” ผู้นำกล่าวจบก็เรียกเสิ่นชิวไปพบเพื่อพูดคุยกันเพียงลำพัง
“เสิ่นชิว เจ้ารู้หรือไม่ ทำไมคนพวกนั้นถึงตามล่าเรา” เขาถามเสิ่นชิว “จิตวิญญาณกวางนำทางคือของวิเศษที่สามารถตามหาดวงจิตของคนที่ตายไปแล้วกลับมาได้ คนพวกนั้นฆ่าเราเพื่อช่วยคนของตนเองโดยไม่สนใจความเป็นความตายของเรา”
“ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นเล่า ชีวิตของทุกคนมีค่าเท่ากันไม่ใช่หรือ” เสิ่นชิวไม่เข้าใจมองหน้าเขาด้วยความสับสน
“จิตใจคนซับซ้อน ข้าไม่อาจเข้าใจได้ ข้าฝากเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่ ปกป้องฟางหรงด้วยชีวิต นางคือผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์ จะให้นางเป็นอะไรไปไม่ได้ รับปากข้าได้หรือไม่”
“ขอรับ” เสิ่นชิวรับปากเขาโดยไม่มีข้อแม้