ตอนที่ 7 นิมิตของแม่เฒ่า

1422 Words
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย “โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย “นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดาย ตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อ ตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา แต่ก็ไร้วี่แวว แล้วก็เข้าใจไปเองว่าพลังของนางคงไม่เพียงพอ ด้วยความคิดถึงเพื่อนตัวเดียวของนาง หยางซือซือจึงตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นอีกครั้ง และแล้ววันหนึ่งนางก็ได้เห็นเจ้ากระต่ายเวทตัวเดิมกระโดดไปมาอยู่ข้างใต้ต้นดอกท้อ นับแต่นั้นมา หยางซือซือจึงเลิกเกียจคร้านคอยฝึกบำเพ็ญตบะเซียนอยู่เรื่อย ๆ แล้วใช้เวลาว่างมานั่งเล่นกับกระต่ายเวท กลายเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ข้างกันตลอดเวลา “กระต่ายน้อย เจ้าสงสัยหรือไม่ว่ามนุษย์หายไปที่ใด อย่าว่าแต่มนุษย์เลย สัตว์ป่าสักตัวข้าก็ไม่เห็น กี่หมื่นปีมาแล้วนะที่ข้าอยู่กับเจ้าสองคนน่ะ ว่าแต่เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ ข้าพูดคนเดียวจนเมื่อยแล้วนะ นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางซือซืออุ้มกระต่ายเวทขึ้นมาพร้อมจ้องหน้ามัน แต่กระต่ายเวทกลับดูนิ่งไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “เฮ้อ!” หยางซือซือถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะนอนลงบนพื้นหญ้าสีเขียวนุ่ม ๆ แล้วเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กระต่ายเวทจึงกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของนาง ขดตัวอยู่ข้าง ๆ แล้วนอนหลับไปพร้อมกัน หมู่บ้านของเสิ่นชิว ข่าวร้ายเริ่มแพร่ไปทุกทาง ผู้คนกำลังต้องการล่าจิตวิญญาณกวางนำทางกันอย่างบ้าคลั่ง ข่าวที่ว่าคนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เพราะเผ่าพันธุ์นี้รู้เข้าถึงหูของผู้มีอำนาจ ผู้ใดสูญเสียคนรัก เพื่อนพ้อง พี่น้อง อยากให้คนเหล่านั้นกลับคืนชีพก็จ้างนักล่าจากทั่วสารทิศ ออกตามหากวางนำทางกันทั้งวันทั้งคืน แม่เฒ่าเห็นนิมิตที่ชัดเจนอีกครั้ง เรื่องในอดีตของเสิ่นชิวก่อนจะมาอยู่ในหมู่บ้าน นางจึงโน้มน้าวผู้นำให้รับรู้สิ่งที่นางเห็น “ท่านเห็นเช่นนั้นจริงหรือ แม่เฒ่า” เขาเอ่ยปากถามให้แน่ใจ ไม่คิดว่าเสิ่นชิวจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวร้าย ๆ เพราะข่าวการสังหารเผ่าพันธุ์เริ่มต้นขึ้นนอกหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเสิ่นชิวเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่รู้ว่าลู่ฟางหรง ซิ่วอิง หนิงเหอแอบฟังอยู่อีกฝั่งของบ้าน “ท่านต้องเชื่อข้า ไม่เช่นนั้นแล้ว หมู่บ้านของเราจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตของบุตรสาวท่าน” แม่เฒ่ายื่นคำขาด นางจำเป็นต้องปกป้องคนที่อยู่ในหมู่บ้าน หากปัญหาเกิดจากเสิ่นชิว ก็ต้องไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนักล่าจะรู้ว่าทุกคนกำลังหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน ผู้นำหน้าซีด ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ชีวิตของบุตรสาวนอกจากจะสำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว นางยังเป็นคนสำคัญของเผ่าพันธุ์กวางนำทางอีกด้วย ครั้นแม่เฒ่าเห็นว่าผู้นำไม่รู้จะทำเช่นไร นางจึงเดินดุ่ม ๆ ไปหาเสิ่นชิว สีหน้าขึงขังแววตาจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยไม่สนใจคำห้ามปราบของผู้นำที่ขอเวลาคิดแก้ไขสถานการณ์สักชั่วครู่ “เสิ่นชิว ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้าหรืออะไร เพียงแต่เจ้าช่วยทำเพื่อคนในหมู่บ้านได้หรือไม่ ข้าเห็นในนิมิต ข้ารู้เรื่องในอดีตของเจ้าหมดแล้ว” แม่เฒ่าพูดกับเสิ่นชิวไปตรง ๆ “ท่านหมายถึงเรื่องใดหรือ” เสิ่นชิวไม่เข้าใจว่านางพูดเรื่องอะไร เรื่องในอดีตของเขาเรื่องไหนที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้ “เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร คำพูดที่ผู้คนเคยเรียกเจ้า สิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าและ... แม่ของเจ้า” คำพูดของนางขาดช่วงไป นางแค่เพียงต้องการให้เขารู้ว่านางหมายถึงอะไร ไม่ได้อยากให้เขานึกถึงช่วงเวลาอันเจ็บปวดของมารดา “ข้าเห็นนิมิต ตัวของเจ้าโชกเลือดสีแดงฉาน ยืนอยู่ท่ามกลางศพของคนในหมู่บ้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าต้องออกไปจากหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น...” นางหยุดพูดไปพลางมองหน้าเขา “แต่ว่า...” ไม่ทันที่เขาได้พูดจบ ชายผู้หนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในหมู่บ้าน เนื้อตัวของเขาเปื้อนเลือดจนแทบดูไม่ออกว่าเขาพบเจอเรื่องใดมา “ท่านผู้นำ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เขาตะโกนบอกตั้งแต่ยังวิ่งไม่ถึงบ้าน “นักล่ากำลังบุกเข้ามา!” ดวงตาของเขาสั่นไหวตัวสั่นระริก “ปกป้องอาณาเขตเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน” เขาถืออาวุธเตรียมพร้อมสู้กลับหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แม้จะไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านที่อยู่มาหลายร้อยปีจะถูกนักล่าบุกเข้ามา “เสิ่นชิว ข้าขอร้อง รีบไปจากที่นี่ซะ” แม่เฒ่าอ้อนวอนเขา เสิ่นชิวนึกโทษตัวเองอีกครั้งว่าเป็นต้นเหตุหายนะของผู้คนในหมู่บ้าน “เฮอะ ข้านี่มันตัวนำพาหายนะจริง ๆ ข้าเกิดมาทำไมกันนะ ทำไมไปที่ใดถึงได้มีแต่คนตายรอบตัวข้า” เขาพูดพึมพำอยู่คนเดียว ลู่ฟางหรงเดินมากุมมือเขาไว้แน่น นางสบตาเขาราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง “ฟางหรง เจ้าถอยมานี่” ผู้นำเรียกนางกลับมาหาเขา “ท่านพ่อ ห้าปีที่ผ่านมา หมู่บ้านของเราก็อยู่กันอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือ ฝีมือทุกอย่างเป็นเพราะมนุษย์ชั่วช้าพวกนั้น เสิ่นชิวไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ทำไมท่านต้องผลักไสเขาด้วย” ลู่ฟางหรงต่อต้านบิดาและแม่เฒ่า “ฟางหรง ครั้งนี้เจ้าอย่าขัดคำสั่งข้าได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะต่อต้าน เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าชีวิตเจ้าสำคัญกว่าใครในที่นี้” เขาตวาดเสียงดังใส่นาง สีหน้าจริงจัง “ท่านพ่อ...” บิดาของนางไม่รอช้าสั่งให้ซิ่วอิง หนิงเหอพาตัวฟางหรงไปซ่อนไว้ที่ลับท้ายหมู่บ้าน แล้วเดินมาหาเสิ่นชิว เมื่อได้เห็นสายตาเลื่อนลอยของเสิ่นชิว เขาก็รู้สึกสงสารเสิ่นชิวขึ้นมาอีกครั้ง “เสิ่นชิว เจ้าหลบไปอยู่สถานที่ห่างไกลจากที่นี่สักพักเถิด เงินถุงนี้ข้าให้เจ้าเอาไว้ใช้จ่าย หากไม่พอก็กลับมา ข้าจะเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เพียงแต่เวลานี้ หวังว่าเจ้ายังคงจำสัญญาได้” “ขอรับ หากทำเช่นนั้นแล้วนางจะปลอดภัย ข้าจะไปโดยไม่ย้อนกลับมาที่นี่อีก ข้าขอบคุณท่านผู้นำที่เลี้ยงดูข้า” เสิ่นชิวบอกลาเขาก่อนจะหันหลังเดินไปเก็บของในบ้านเพื่อเตรียมออกจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD