กลับมา ณ ยุคปัจจุบัน
เสียงไซเรนของรถฉุกเฉินดังมาจากทางถนนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของคนร่ำรวยแห่งหนึ่งในเมืองเฉิงตู ถึงแม้ว่าเสียงไซเรนนั้นจะดังแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้มีคนให้ความสนใจ เพราะว่าชีวิตของคนในเมืองส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กันสักเท่าไรนัก เนื่องจากใครจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา การใช้ชีวิตของคนที่นี่คล้ายกับต่างคนต่างอยู่นั่นเอง
เมื่อรถฉุกเฉินมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่รีบเอารถเข็นเตียงผู้ป่วยพร้อมอุปกรณ์ลงมา ก่อนจะสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในบ้าน ไม่นานคนกลุ่มนี้ก็เข็นคนป่วยซึ่งเป็นผู้หญิงวัยทำงานคนหนึ่งออกมา หากมองดูไกล ๆ ก็คงจะไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะตาย แต่ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างก็รู้ว่าอาการของเธอทรุดหนักแล้ว ไม่แน่ว่าจะรักษาลมหายใจของเธอได้อีกนานสักแค่ไหน
หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่า ‘เฉินชิวเยว่’ เธอเป็นคนร่ำรวย ความร่ำรวยของเธอนั้นถึงขนาดว่า ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย แม้ว่าจะนอนอยู่บ้านแบบไม่ต้องทำก็มีเงินใช้ไปตลอดชีวิต เพียงแค่เงินรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่เธอมีก็มากมายก่ายกองแล้ว ทว่าต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้อยู่ดี
เนื่องจากเฉินชิวเยว่ป่วยด้วยโรงมะเร็งในสมองมาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาเธอใช้เงินไปมากมายในการรักษาตัว แม้ว่าจะผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกไปแล้วและต่อให้ทำคีโมมาหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดอาการของเธอก็ไม่ได้ดีขึ้น
แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอาการป่วยของตนเองเลย อีกทั้งเธอยังได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพราะเธอรู้ตัวดีว่าอย่างไรก็ต้องมีวันนี้จึงได้เธอจัดการยกมรดกทั้งหมดให้หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่ชาย สาเหตุที่เธอทำอย่างนั้นก็เป็นเพราะว่าเธอเองไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีสามี ที่ผ่านมาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด จะมีก็แต่พี่ชายที่ยังคอยไปมาหาสู่กัน และเธอเองก็รักหลานชายคนนี้มาก
“ฮัลโหลคุณเฉินคะ ตอนนี้คุณผู้หญิงอาการทรุดหนัก ป้าเรียกรถพยาบาลให้มารับแล้วค่ะ” แม่บ้านโทรไปรายงานพี่ชายของเฉินชิวเยว่เกี่ยวกับอาการป่วยของเธอด้วยน้ำเสียงร้อนรน
‘ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลไหนครับ เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้’ เฉินเหว่ยถิงพี่ชายของเฉินชิวเยว่ถามกลับมาในสายด้วยน้ำเสียงกังวลใจไม่ต่างกัน
“โรงพยาบาลเฉิงตูค่ะ เดี๋ยวป้าจะขึ้นรถไปกับคุณผู้หญิงด้วย คุณเฉินรีบตามไปที่โรงพยาบาลนะคะ” แม่บ้านตอบกลับ
‘ครับ ๆ ผมจะรีบไป แล้วเจอกันนะครับ’ เฉินเหว่ยถิงพูดจบก็วางสาย
แม่บ้านของเฉินชิวเยว่มีชื่อว่าหลี่เซียวชุน ป้าหลี่ทำงานกับเฉินชิวเยว่มาหลายปีแล้ว หล่อนรักเจ้านายคนนี้เสียยิ่งกว่าอะไร ยิ่งมาเห็นว่าเจ้านายป่วยเป็นมะเร็ง ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ป้าหลี่ไม่ได้ทำหน้าที่แม่บ้านเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยดูแลสุขภาพร่างกายนายสาวด้วย
วันนี้ที่อาการของเจ้านายทรุดหนัก ป้าหลี่เองก็หวั่นใจไม่น้อย กลัวว่าเจ้านายจะเป็นอะไรไป เมื่อเช้าที่ป้าหลี่มาทำงานตามปกติ ก็รีบเข้าไปปลุกเฉินชิวเยว่เพื่อให้ตื่นมากินข้าวกินยา แต่ทว่าปลุกยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ตื่น หล่อนจึงได้เขย่าตัวเธอหลายครั้ง ซึ่งผลตอบรับก็เหมือนเดิม ราวกับว่าเฉินซิวเยว่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ยังดีที่เมื่อเอามืออังจมูกตรวจดูลมหายใจแล้ว ปรากฏว่าเธอยังหายใจอยู่ จึงได้รีบเรียกรถฉุกเฉินมาทันทีเพื่อนำส่งเธอไปที่โรงพยาบาล
เมื่อเจ้าหน้าที่เข็นร่างของผู้ป่วยขึ้นรถไปแล้ว ป้าหลี่จึงได้รีบปิดประตูบ้านลงกลอนให้เรียบร้อย แล้วรีบตามขึ้นไปบนรถฉุกเฉิน
ตลอดทางทางก็นั่งจับมือของผู้เป็นนายไว้แน่น พลางพูดกับคนที่นอนไร้สติว่า “ไม่เป็นไรนะคะคุณเฉิน ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว คุณต้องปลอดภัยนะคะ”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เฉินชิวเยว่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน พอเข้าไปข้างในญาติที่มาด้วยก็ถูกกันไว้ให้รอข้างนอก ตามกฎของโรงพยาบาล ซึ่งเวลานี้พี่ชายและครอบครัวของเขาก็มาถึงพอดี
ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นป้าหลี่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขาก็รีบเดินเข้าไปถามอย่างกังวลใจ
“ป้าหลี่ ชิวเยว่เป็นยังไงบ้างครับ” เฉินเหว่ยถิงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจเหมือนกัน ทันทีที่รู้ข่าวเขารีบออกมาในใจนั้นภาวนาว่าของให้น้องปลอดภัย
“ป้าก็ไม่รู้ค่ะ ตอนนี้เจ้าหน้าที่นำคุณผู้หญิงเข้าไปข้างในแล้วค่ะคุณเฉิน” ป้าหลี่ตอบกลับ เนื่องจากหล่อนเองก็กำลังรอเหมือนกัน
เฉินเหว่ยถิงร้อนใจมาก เขารีบไปส่องที่ช่องว่างระหว่างบานประตูกระจก เผื่อว่าจะเห็นน้องสาวบ้างแต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงเดินกลับมาหาภรรยาและลูกด้วยอาการร้อนรน
ตอนนี้ทุกคนทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแต่รอให้หมอช่วยชีวิตของเธอให้ได้เท่านั้น เวลานี้ชายหนุ่มเป็นห่วงน้องสาวมากเพราะพวกเขามีกันแค่สองพี่น้องเท่านั้น หากเฉินชิวเยว่ต้องมาจากไปแบบนี้ เขาเองก็คงจะเสียใจมากแทบจะขาดใจเหมือนกัน
“คุณพ่อ อาชิวเยว่ไม่สบายเหรอครับ วันนี้ก็มาโรงพยาบาลอีกแล้ว” เฉินเสี่ยวเป่าลูกชายของเฉินเหว่ยถิงถามขึ้น นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่อาชิวเยว่มาที่โรงพยาบาล เด็กน้อยในวันที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้แต่ถาม แต่หารู้ไม่ว่าอาชิวเยว่ที่รักเขาสุดหัวใจนั้น ใกล้จะจากเขาไปอยู่ในที่ไกลแสนไกลเต็มทีแล้ว
“เสี่ยวเป่า ฟังพ่อนะลูก ตอนนี้อาชิวเยว่ของเราไม่สบาย พวกเรามาเอาใจช่วยอาชิวเยว่กันไหม อาของลูกจะได้หายเร็ว ๆ” เฉินเหว่ยถิงพูดกับลูกชายตัวน้อยของตน
“ครับ เสี่ยวเป่าจะเอาใจช่วยอาชิวเยว่เอง” เฉินเสี่ยวเป่ารับคำอย่างแข็งขัน และนั่งลงเงียบ ๆ ทว่าสายตาของเด็กน้อยนั้นมองไปยังประตูห้องฉุกเฉินตลอดเวลา
เวลาผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมง ก็ยังไม่มีหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินเพื่อบอกอาการของเฉินชิวเยว่ ตอนนี้พ่อกับแม่ที่อยู่บ้านนอกเมืองก็มาถึงแล้ว ซึ่งทุกคนต่างก็รอคอยเพื่อให้หมอมาแจ้งข่าวอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งหมดมีสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด และตัวของเฉินเหว่ยถิงยังคงเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นด้วยความร้อนใจ
ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออก พร้อมกับมีหมอผู้ชายในชุดกาวน์คนหนึ่งเดินออกมาและตรงมาที่ทุกคน
“ผมขอคุยกับญาติผู้ป่วยได้ไหมครับ รบกวนไปที่ห้องทำงานของผมจะสะดวกกว่า เชิญครับ” หมอเกา หมอเจ้าของไข้ของเฉินชิวเยว่พูดขึ้นก่อนที่จะมองไปที่เฉินเหว่ยถิงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะดูแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้ที่สุด
“ครับ ผมไปเอง พ่อกับแม่รออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะมาแจ้งข่าว” เฉินเหว่ยถิงพูดขึ้นก่อนจะเดินตามหมอเกาไปทันที
เฉินเหว่ยถิงนั่งอยู่ฝั่งข้ามกับหมอก่อนที่หมอเกาจะเอาเอกสารมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพี่ชายของคนป่วย พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการป่วยของเฉินชิวเยว่ให้เขาฟัง
“คืออย่างนี้นะครับ หมอต้องขอแจ้งญาติก่อนเพื่อให้ญาติได้ทำใจ” หมอเกาเริ่มประโยกแรกอย่างไม่อ้อมค้อม เนื่องจากเขารักษาคนป่วยรายนี้มานานหลายปีแล้ว จึงรู้ว่านี่คงถึงเวลาสุดยื้อของเธอแล้ว
“ได้ครับคุณหมอ ผมทำใจได้” เฉินเหว่ยถิงตอบกลับอย่างที่เตรียมใจมาพอสมควร ถึงแม้ว่าต่อหน้าหมอเขาจะมีท่าทีที่เข้มแข็ง ทว่าภายในใจเขากลับทรมานที่ไม่สามารถจะหาคำไหนมาอธิบายได้ ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่รัก น้องที่คลานตามกันมา แต่ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เพราะตนเองนั้นยังมีหน้าที่ดูแลครอบครัวและพ่อแม่อีก
“อาการของคุณเฉินตอนนี้อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว หมอต้องเสียใจด้วยที่ไม่สามารถรักษาเธอให้หายได้ หมอทำได้เพียงประคับประคองไปจนกว่าเธอจะจากไปด้วยตัวเองครับ” หมอเกาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะหมอเองก็มีความเจ็บปวดไม่ต่างกันที่เห็นคนไข้ต้องจากไป
“ครับ ผมเข้าใจ ครอบครัวผมเองก็ทำใจมาระยะหนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มตอบตามตรง ซึ่งมันเป็นอย่างที่เขาพูด ไม่ว่าจะตัวเขาเอง หรือพ่อกับแม่ รวมถึงภรรยาและลูกชาย ต่างก็รู้ว่าเฉินชิวเยว่ป่วยมาหลายปี อีกทั้งยังป่วยเป็นโรคมะเร็งที่มีโอกาสในการรอดน้อยมาก ทุกคนจึงได้ทำใจไว้แล้วสำหรับการจากลาชั่วนิรันดร์