บทที่ 1 เว่ยอ้ายเหมย
เสียงน้ำไหลเบา ๆ ของแม่น้ำ กล่อมให้คนที่กำลังเอนหลังอยู่บนโขดหินนั้นเคลิบเคลิ้ม สาวน้อยคนหนึ่งกำลังเอนกายบนโขดหินอย่างสบายใจโดยท่าทางของเธอนั้นไม่สำรวมเลยสักนิดเดียว เท้าสองข้างหย่อนลงมาจากโขดหิน ส่วนมือข้างหนึ่งถือถุงขนมและมืออีกข้างก็หยิบขนมออกมากินอย่างสบายใจ บางครั้งก็หันไปหยิบก้อนหินมาโยนลงไปในน้ำ
ถึงแม้ว่าจะมีใครหลายคนจะคอยเตือนเธอเรื่องนี้ว่า การนอนกินไม่ใช่กิริยาที่ดีนักแต่เธอกลับไม่สนใจ อีกทั้งยังสวนกลับด้วยว่าเธออยากจะทำตัวยังไงมันก็เรื่องของเธอ ทำไมคนอื่นจะต้องมายุ่งด้วย
“อ้ายเหม่ย อาหารเย็นเสร็จแล้ว” เสียงพี่สะใภ้ตะโกนเรียกมาจากริมแม่น้ำเพื่อบอกน้องสามีว่าอาหารเสร็จแล้ว
ทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่สะใภ้เรียกตนเองให้ไปกินข้าว เด็กสาวที่กำลังเอนกายหย่อนขาอยู่บนโขดหินอย่างสบายใจก็เด้งตัวลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะพ่นลมออกทางจมูกเล็กน้อย เมื่อนึกได้ว่ากับข้าววันนี้ก็คงจะเป็นผัดผักหรือไม่ก็ผักดองอีกตามเคย
“น่าเบื่อที่สุด กับข้าวมีแต่แบบเดิม ๆ” เธอบ่นเบาๆ เธอยัดขนมชิ้นสุดท้ายใส่ปากแล้วตะโกนออกไป
“เดี๋ยวฉันตามไป” จากนั้นเธอก็กระโดดลงจากโขดหิน ก่อนจะรีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งตามพี่สะใภ้ของตนไปตามทางเพื่อกลับบ้าน
ชาวบ้านที่มาตักน้ำบริเวณนี้พอเห็นพฤติกรรมของเด็กสาวต่างก็ส่ายหัวอย่างเอือมระอา จะว่าไปก็น่าสงสารบ้านรองเว่ยไม่น้อย ที่มีลูกสาวไม่เอาไหนอย่างนี้
เว่ยอ้ายเหม่ยเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านรองเว่ย อายุสิบสามปี หากมองเพียงรูปร่างหน้าตาก็ถือว่าเธอเป็นเด็กสาวที่สะสวยและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดมีผู้ใหญ่หมู่บ้านอื่นเดินผ่านมาและรู้จักเธออย่างผิวเผินแล้วละก็ ไม่ว่ารายใดก็ต้องชมว่าเธอสวย น่ารักอย่างแน่นอน แต่ผิดกับชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่รู้จักเธอดี ทุกคนต่างก็พากันส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจให้กับเธอทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนบ้านใหญ่เว่ยหรือบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงกัน
บ้านเว่ยแบ่งออกเป็นสองบ้าน บ้านใหญ่จะปกครองโดยคุณปู่เว่ยและจะส่งต่อให้ลุงใหญ่ นอกนั้นก็จะมีปู่ ย่า ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ แล้วก็ลูก ๆ ของเขา ส่วนบ้านรองเว่ยก็จะเป็นบ้านของเว่ยอ้ายเหม่ย ซึ่งสมาชิกในครอบครัวจะมีพ่อ แม่ เว่ยอ้ายเหม่ย พี่ชายสองคนและพี่สะใภ้อีกสองคน แล้วก็ยังมีหลานชายกับหลานสาวอีกสองคน
เว่ยอ้ายเหม่ยเป็นหญิงสาวที่ขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานบ้านและเอาเปรียบทุกคนในบ้านอยู่เสมอ วันทั้งวันไม่ยอมอยู่ติดบ้านเพราะเธอไม่อยากทำงาน ส่วนมากก็จะออกไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำ บางวันก็เดินเข้าไปในเมืองแม้จะไม่ได้นั่งเกวียนเพราะไม่มีเงินก็ตาม แต่เด็กสาวก็มีความพยายามที่จะเดินเท้าไปแทน เกิดวันไหนฟ้ามืดหรือหิมะตกแล้วทำให้ต้องอยู่บ้าน เด็กสาวก็จะนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร มีทำแค่สองสามอย่างคือลุกขึ้นมากินข้าว กินข้าว แล้วก็นอนต่อ
“อ้ายเหม่ย ไปไหนมาจนมืดค่ำ ไม่รู้จักกลับบ้าน นี่คงไปเที่ยวเล่นจนลืมเวลาอีกแล้วสินะ” หลี่ฟางเจียวพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวตัวดี เพิ่งจะเดินตามพี่สะใภ้กลับมาบ้าน
“ใช่ค่ะแม่ ไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำมาค่ะ ที่นั่นเย็นสบายดีนั่งได้ทั้งวัน” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะคิดว่าเธอเองก็ทำแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วแม่จะมีโวยวายกับเธอทำไม
“นี่ถ้าพี่สะใภ้ไม่ไปตาม เธอก็คงไม่กลับมาใช่ไหม” เว่ยอู๋ซินพี่ชายคนรองถามเสียงดุเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้องสาวของตนเองถึงได้มีนิสัยแบบนี้ แต่แล้วอย่างไร ไม่ว่าชาวบ้านจะรังเกียจเว่ยอ้ายเหม่ยแค่ไหน แต่สำหรับเขา อย่างไรอ้ายเหม่ยก็คือน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา
“กลับมาสิ ไม่กลับได้ยังไง หิวข้าวจะตาย พี่รองก็ถามแปลก” เด็กสาวตอบกลับพร้อมทำคิ้วขมวดใส่พี่ชาย และคิดว่าพี่ชายถามมาได้อย่างไรคำนี้ หากไม่กลับบ้าน แล้วจะให้เธอไปหาข้าวกินที่ไหนกันล่ะ
“รู้นี่ว่าหิวและต้องกินข้าว แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านมาช่วยทำอะไรบ้างหรือยังไง วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ถามจริง ๆ เถอะ ไม่เบื่อบ้างเหรอ ที่มัวแต่เที่ยวและกินกับนอน” เว่ยตงพี่ชายคนโตดุน้องสาวบ้าง เขาเองเริ่มเอือมระอากับน้องสาวคนนี้แล้วเหมือนกัน นับวันนิสัยยิ่งน่ารังเกียจ แต่จะให้ทำยังไงได้ เพราะเธอเป็นน้องสาวคนเดียว เบื่อหน่ายสักแค่ไหนก็ต้องทำเป็นมองผ่าน
เว่ยอ้ายเหม่ยรู้สึกไม่สบอารมณ์นักที่โดนพี่ชายทั้งสองคนตำหนิ แต่เธอก็ไม่ได้ถึงขั้นเดือดร้อนกับคำดุด่าของพี่ชาย แต่ก็อดที่จะโต้ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกัน
“ที่บ้านก็มีพี่สะใภ้อยู่นี่ ถ้าฉันช่วยก็เท่ากับแย่งงานพี่สะใภ้ทำ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก ฉันไม่อยากแย่งหน้าที่ใคร เดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่า ๆ ”
หลี่ฟางเจียวถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ของวันนี้ ไม่ว่าใครจะบ่น จะด่า จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเว่ยอ้ายเหม่ยให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้เลย นอกจากไม่ฟังแล้ว ยังเถียงคำไม่ตกฟากจนตอนนี้ชาวบ้านต่างพากันโจษจันกันแล้วว่าลูกสาวบ้านรองเว่ยขี้เกียจสันหลังยาว แถมยังไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง
แต่เว่ยอ้ายเหม่ยก็ไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านจะมองเธอเป็นคนอย่างไร แม้แต่ครอบครัวของเธอเอง เด็กสาวยังไม่สนใจ แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านและคนอื่นกันล่ะ
“เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ รู้ไหมว่าคนในหมู่บ้านโจษจันถึงเธอว่ายังไงบ้าง เขาว่าเธอขี้เกียจตัวเป็นขน ใครได้แต่งกับเธอคงเป็นคนที่ซวยตลอดชาติ” เว่ยอู๋ซินพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ใครอยากพูดอะไรก็พูดไปสิ พอพูดจนเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดพูดไปเองนั่นแหละ ส่วนฉันนะเหรอ ก็ขอใช้ชีวิตแบบนี้อย่างสบายใจดีกว่า และฉันจะไม่แต่งออกไปไหน ฉันจะอยู่บ้านเราตลอดไป” เธอพูดขึ้นมาพร้อมกับเดินไปนั่งเอนหลังรอกินข้าว
“วันๆ เอาแต่ไปเที่ยวเล่นไม่เบื่อหรือยังไง” เว่ยตงเท้าเอวมองแล้วถามขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมต้องเบื่อละพี่ใหญ่ เที่ยวเล่นสบายจะตาย ดีกว่าทำงานจนปวดหลัง เหงื่อโทรมกายตั้งเยอะ” เด็กสาวยังคงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
ส่วนคนอื่นเมื่อได้ยินคำตอบนั้นต่างก็พากันส่ายหัวและเดินหนีไปจัดแจงยกอาหารออกมาเพื่อจะได้กินมื้อเย็น จากนั้นก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำก่อนจะเข้านอน
วันต่อมา...
วันนี้เว่ยอ้ายเหมยก็ยังคงมาเที่ยวเล่นที่ริมแม่น้ำเช่นเคย ในขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับเพราะความเย็นสบายอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงใครบางคนแว่วเข้าหูพอดี
“อ้ายเหม่ย ลูกสาวฉันจะแต่งงานวันพรุ่งนี้แล้วนะ แล้วเธอล่ะ มีชายหนุ่มมาสนใจบ้างหรือยัง” นางหวังที่อยู่บ้านหลังถัดไปจากบ้านเว่ยพูดขึ้นมา ตอนที่กำลังจะตักน้ำพอดี เมื่อเห็นว่าลูกสาวบ้านรองเว่ยอยู่ตรงนี้เลยเอ่ยถามเหมือนจะโอ้อวดเล็กน้อย
“อือ” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับอย่างขอไปที ในใจนั้นเธอกลับคิดว่า ‘เพิ่งจะอายุเท่านี้ จะรีบแต่งงานไปทำไมกัน อยู่บ้านกับพ่อแม่พี่ชาย พี่สะใภ้ ก็ดีอยู่แล้ว’
“อ้าว ไม่คิดจะตื่นตัวบ้างเลยเหรอ อีกไม่กี่ปีก็จะถึงวัยแต่งงานแล้ว ที่พูดเนี่ยก็เพราะหวังดีหรอกนะ ลูกสาวคนอื่นเขาก็มีคนหมายปองกันหมดแล้ว เหลือก็แต่เธอนั่นแหละ มัวแต่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ ” นางยังคงพูดต่อ ที่จริงแล้วหล่อนไม่ได้จะหวังดีอะไรกับเว่ยอ้ายเหม่ยหรอก เพียงแต่จะมาอวดว่าลูกสาวตนเองกำลังจะแต่งงานแล้วก็เท่านั้นเอง
เมื่อได้ยินแบบนั้น เว่ยอ้ายเหม่ยจึงขี้เกียจฟังต่อ เนื่องจากเธอเองก็ไม่พอใจที่ป้าหวังคนนี้มารบกวนเวลาพักผ่อนอันสุนทรีของเธอ จึงตอบกลับอย่างตัดบทไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ยินดีด้วยก็แล้วกันนะป้า ป้าไม่ต้องโอ้อวดว่าลูกสาวจะได้แต่งงานอีกหรอก เรื่องนี้คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้แล้ว ส่วนฉันจะมีคนมาหมายปองหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับป้า พ่อแม่ฉันยังไม่ยุ่ง แล้วป้าเป็นใครถึงมายุ่ง ไป ๆ จะไปไหนก็ไป ฉันจะนอนเล่นต่อ”
นางหวังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมกับข่มอารมณ์โมโหไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินหันหลังกลับบ้านไปตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
ส่วนเว่ยอ้ายเหม่ยนั้นก็ยังคงเอนกายแช่เท้าในแม่น้ำอย่างสบายใจต่อ