หลังจากที่วาสินีจากไปแล้ว นรีกุลก็ถูกแวววรรณลากไปคุยในที่ลับตาคน
“ป้าแวว เบาๆ ค่ะเดี๋ยวกุลสะดุดหกล้ม”
“เออ ฉันไม่ทำอะไรแกแรงหรอกน่ะ เพราะถ้าแกแท้งขึ้นมา จะเอาอะไรข่มขู่ไอ้ผู้รากมากดีอย่างผัวแกล่ะ”
คนเป็นหลานก้มหน้าหลบตา หัวใจยังคงเจิ่งนองไปด้วยหยาดน้ำตา
“ป้าอย่าเรียกร้องอะไรจากคุณหนึ่งอีกเลยนะจ๊ะ เท่าที่คุณหนึ่งให้มาก็มากพอแล้วล่ะจ้ะ”
“อย่ามาบีบน้ำตาหน่อยเลย มันร้ายกับเอ็งขนาดนี้ยังจะไปปกป้องมันอีกเหรอ”
แม้จะไม่ได้รักหลานเท่ากับรักตัวเอง แต่แวววรรณก็อดเวทนานรีกุลไม่ได้ เพราะปรมะใจร้ายกับนรีกุลเหลือเกิน
“ก็เพราะเราไปแบล็คเมล์เขาก่อน เขาก็เลยทำกับเราแบบนี้...”
“หึ แต่มันก็ได้เอ็งไม่ใช่เหรอ ได้เอ็งแล้วก็ต้องรับผิดชอบสิ ไม่ใช่จะมาเอาเงินฟาดหัว ข้าไม่ยอมหรอก ยังไงซะถ้ามันจะทิ้งเอ็ง มันก็ต้องเสียหลายสิบล้าน”
“ป้า... กุลไม่อยากเรียกร้องอะไรอีกแล้ว...”
“เอ็งไม่อยากเรียกร้องอะไรก็อยู่เฉยๆ เถอะน่า เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
“ป้าแวว... กุลขอร้องล่ะ เราไปจากที่นี่กันเถอะ กุลสัญญาว่ากุลจะหาเลี้ยงป้าแววเอง...”
หญิงสาวพยายามอ้อนวอน เพราะไม่ต้องการให้ป้าแท้ๆ ของตัวเองเรียกร้องอะไรจากปรมะอีก
“โอ๊ย... จะมาเป็นคนดีอะไรนักหนา เอ็งก็รักมันไม่ใช่เหรอ ได้อยู่กับมัน ได้มีลูกกับมัน เอ็งน่าจะขอบคุณข้ามากกว่านะนังกุล”
หล่อนสะอื้นไห้หนักขึ้น น้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด
“เพราะกุลรักคุณหนึ่งยังไงล่ะจ๊ะ กุลถึงไม่อยากอยู่เป็นภาระให้กับคุณหนึ่งอีก กุลอยากไปจากที่นี่ ไปหาที่สงบๆ เลี้ยงลูกคนเดียว”
“ชีวิตมันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะนังกุล ยิ่งเอ็งท้องแบบนี้ด้วย จะไปหาเลี้ยงตัวเองหาเลี้ยงลูกยังไง เชื่อข้าสิ อยู่ที่นี่แหละ ทนให้ไอ้คุณหนึ่งมันด่านิดด่าหน่อย แต่เอ็งกับลูกก็สบาย”
เมื่อเห็นหลานสาวนิ่งเงียบ แวววรรณจึงพูดออกมาอีก
“เชื่อข้าเถอะ ความรักน่ะมันกินไม่ได้หรอก เงินต่างหากที่กินได้ เดี๋ยวพอเอ็งคลอดลูกแล้วก็เรียกร้องเงินจากไอ้คุณหนึ่งเยอะๆ แล้วก็ห้ามหย่าเด็ดขาดนะ ถ้าไม่ได้ห้าสิบล้านน่ะ”
“ป้าแววก็รู้ว่าคุณหนึ่งจะทำยังไงหลังจากที่กุลคลอดลูกแล้ว”
“มันจะทำอะไรได้ นอกจากต้องรับเลี้ยงทั้งแม่ทั้งลูกน่ะ”
นรีกุลทำได้แต่เพียงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจชุ่มโชกไปด้วยหยาดเลือดแห่งความเจ็บปวด
“กุล... ขอตัวเอายาไปเก็บที่ห้องก่อนนะป้า”
“เอ่อ ไปเถอะ แล้วก็พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวงานของเอ็ง ข้าจะทำให้เอง”
“ไม่เป็นไรจ้ะป้า เดี๋ยวกุลออกมาจัดการเอง”
“เชื่อฟังข้าเถอะน่ะ ไปพักผ่อนซะ หน้าซีดเผือดแบบนี้ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งมาจะยุ่ง ไปได้แล้ว”
“แต่ว่า...”
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าไอ้ผัวคนรวยของแกสั่งให้หยุดทำงานบ้านน่ะ”
เมื่อแวววรรณยกคำสั่งของปรมะขึ้นมากล่าวอ้าง นรีกุลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมทำตาม
“ขอบคุณจ้ะป้า”
“นี่ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งจะทุกข์ทรมานขนาดนี้ ข้าเลือกผู้ชายคนอื่นให้เอ็งแทนคุณหนึ่งไปแล้วนังกุลเอ๋ย”
แวววรรณถอนใจออกมาแรงๆ ขณะมองตามร่างบอบบางของหลานสาวที่กำลังเดินไปยังเรือนพักคนรับใช้ด้วยสายตาเวทนาระคนละอายใจ
รถยนต์ของวาสินีเลี้ยวจอดข้างทาง เพราะดวงตาถูกหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดบดบัง
ทัศนวิสัยการในการมองเห็นจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“ไม่จริง... ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่หนึ่งจะมีเมียแล้ว แถมยังกำลังจะมีลูกอีกต่างหาก ทำไมชีวิตถึงเล่นตลกกับคนน่าสงสารอย่างฉันแบบนี้นะ... ฮือ...”
วาสินีคร่ำครวญด้วยความผิดหวัง อยากจะคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความฝัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคำพูดของผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนนั้นยังติดแน่นอยู่ในหู
พี่หนึ่งมีเมียแล้วจริงๆ
หล่อนกลับมาช้าเกินไป
“ทำไมพี่หนึ่งไม่รอวาก่อน ฮืออออ...”
ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายถูกมีดแหลมคมกระซวกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อความรักแรกตั้งแต่วัยเด็กกำลังหลุดลอยไป
ไม่สิ...
ไม่ใช่แค่กำลังหลุดลอยไป แต่มันลอยหายไปแล้วต่างหาก
หญิงสาวซบหน้าลงกับพวงมาลัย สมองเต็มไปด้วยความมืดดำไม่ผิดจากคืนราตรีไร้แสงจันทร์ มือเล็กกำรอบพวงมาลัยรถเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
ภาพเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
วันนั้นหล่อนตามเมธวินผู้เป็นพี่ชายไปเที่ยวบ้านของปรมะซึ่งเขาก็คือพี่หนึ่งของหล่อนนั่นเอง
แล้วบังเอิญวันนั้นหล่อนลงไปว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่บ้านของปรมะแล้วก็เกิดเป็นตะคริวทำให้จมน้ำ
ตอนนั้นหล่อนคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้ว และคงกลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำอย่างแน่นอน เพราะตรงสระน้ำไม่มีใครอยู่เลย
หล่อนจำได้ว่าร่างของหล่อนกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นสระ ก่อนสติจะดับวูบลงแขนของหล่อนก็ถูกดึงเอาไว้จากอุ้งมืออบอุ่นของใครบางคน แต่ก็มองไม่ชัดว่าเป็นใคร จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นว่า
ปรมะกำลังประคองกอดหล่อนอยู่
ใช่แล้วล่ะ...
พี่หนึ่งช่วยชีวิตของหล่อนเอาไว้
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หัวใจของหล่อนก็มีแต่ปรมะแต่เพียงผู้เดียว
หนี้ชีวิตที่ติดค้างกับชายหนุ่มเอาไว้ หล่อนตั้งใจจะทำให้มันกลายเป็นหนี้รัก แต่ปรมะก็ปฏิเสธหล่อน แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยละความพยายามเลย
หล่อนถูกส่งตัวไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ และแน่นอนว่าเมื่อกลับมาแล้ว หล่อนจะเดินหน้าขายขนมจีบปรมะให้เต็มคาราเบล แต่สุดท้ายกลับถูกชีวิตสู้กลับเต็มคาราเบลเช่นกัน
พี่หนึ่งมีเมียแล้ว...!
วาสินีปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถลดความเจ็บช้ำภายในจิตใจได้ หล่อนปล่อยให้ตัวเองร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจภายในรถยนต์อยู่นานเกือบหนึ่งชั่วโมง
ร้องไห้จนน้ำตาไม่เหลืออีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัยรถ และตัดสินใจโทรหาเพื่อนชายแต่ใจสาวคนสนิท ที่กลับมาจากเรียนเมืองนอกพร้อมกันทันที
“นังพีท ทำอะไรอยู่”
นังพีท หรือ พีระพล เพื่อนที่หล่อนไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้
“เพิ่งซั่มกับผัวเสร็จ มึงมีอะไรนังวา” พีระพลตอบกลับมาเสียงสดชื่น
“ฮือออ กูอกหักแล้วว่ะนังพีท”
“เดี๋ยวก่อน! อะไรกันคืออกหัก มึงอกหักจากใครวะ”
พีระพลละล่ำละลักถามเพื่อน และก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสะอึกสะอื้นมาตามสาย
"อย่าบอกนะว่าพี่หนึ่งของมึงน่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ กูมีคนที่ชอบอยู่คนเดียว มึงก็รู้”
“ตายแล้ว ทำไมมึงอกหักล่ะ มึงสารภาพรักกับเขาอีกครั้งแล้วเหรอ”
“กูยังไม่ทันได้สารภาพรักอีกรอบเลยมึง...”
“อ้าว ยังไม่ได้สารภาพรัก แล้วมึงจะอกหักยังไงวะนังวา”
“ก็จะไม่ให้กูอกหักได้ยังไง พี่หนึ่งมีเมียแล้ว แถมเมียยังท้องอีกด้วยมึง... ฮือออ กูเสียใจ กูกลับมาช้าเกินไป... ฮืออออ”
“ทำใจดีๆ เอาไว้นะนังวา”
พีระพลรีบปลอบเพื่อน
“แล้วนี่มึงอยู่ไหน”
“กูอยู่ในรถ บนถนนน่ะ ฮือออ กู... เจ็บจนคิดอะไรไม่ออกแล้วนังพีท...”
“โอเค งั้นมึงส่งโลฯ มาให้กูนะ เดี๋ยวกูออกไปหา”
“ขอบใจมากนังพีท... นี่ถ้าไม่มีมึงกูก็ไม่รู้จะโทรหาใครแล้ว กูเจ็บเหลือเกิน... ฮือออ”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวกูไป กูใส่กางเกงก่อน รอกูก่อนนะ”
“อืมม”
หลังจากวางสายกับพีระพลไปแล้ว วาสินีก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ภายในรถอีกครั้ง